jerasak wrote:
ooo wrote:jerasak wrote:
ในคำพิพากษากล่าวไว้หลายครั้งว่า การยึดทรัพย์นั้นเนื่องมาจากการได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร
ซึ่งเป็นผลมาจากการปฎิบัติหน้าที่หรือใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์ อันถือว่าเป็นการร่ำรวยผิดปกติ
ดังนั้น จากคำพิพากษาจึงอาจสรุปได้ว่า ลำพังแค่ถือหุ้นสัมปทานรัฐแต่ไม่มีพฤติการณ์เอื้อประโยชน์ก็ยึดไม่ได้ครับ
ลองอ่านคำพิพากษาดูครับ
http://www.supremecourt.or.th/webportal ... hp?base=24
see-u wrote:** น่าจะปักหมุด กระทู้นี้ นะ
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
มาตรา 4 ให้ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับการร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของ
แผ่นดินไว้ 2 กรณี ได้แก่
คำว่า "ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ" ซึ่งหมายความว่า การที่ทรัพย์สินหรือหนี้สินใน
บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ยื่นเมื่อ
พ้นจากตำแหน่งมีการเปลี่ยนแปลงไปจากบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
ที่ได้ยื่นไว้เมื่อเข้ารับตำแหน่งในลักษณะที่ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติหรือหนี้สินลดลงผิดปกติ
และคำว่า "ร่ำรวยผิดปกติ" ซึ่งหมายความว่า การมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมี
ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สิน
มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง
หน้าที่
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความหมายของคำดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า มูลคดีของการ
ร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน อาจแยกได้เป็น 2 กรณี กล่าวคือ
เมื่อเปรียบเทียบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นเมื่อเข้ารับตำแหน่ง กับที่ยื่นเมื่อ
พ้นจากตำแหน่งแล้ว พบว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีทรัพย์สินมากผิดปกติ
หรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติกรณีนึง
กับการที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจาก
การปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ อีกกรณีหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ดี ยังมีข้อต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า เงินปันผล และเงินที่ได้จากการขายหุ้น เป็นทรัพย์สินที่ได้มา
โดยไม่สมควรทั้งจำนวนหรือไม่ ในข้อนี้หากพิจารณาความหมายของคำว่า ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ และ
ร่ำรวยผิดปกติ แล้ว เห็นว่า ไม่ว่ามูลคดีจะเป็นกรณีใดกรณีดังที่กล่าวมา ทรัพย์สินอันจะนำมาพิจารณาว่า
เพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ย่อมต้องเป็นทรัพย์สินนอกเหนือจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งทาง
การเมืองมีอยู่แล้ว อันอยู่ในความหมายธรรมดาของการร่ำรวยผิดปกตินั่นเอง
สำหรับเงินปันผลค่าหุ้นที่ได้จากบริษัท ชินคอร์ป เป็นส่วนของกำไรที่ได้จากการประกอบกิจการของบริษัท
ชินคอร์ป บางส่วนและที่ได้จากเงินปันผลตามจำนวนที่ถืออยู่ในบริษัท เอไอเอส และบริษัท ไทยคม บางส่วน
ถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มานอกเหนือจากที่มีอยู่แล้ว และต้องตกเป็นของแผ่นดินทั้งจำนวน
ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้น เป็นเงินที่มีมูลค่าเดิมของหุ้นรวมอยู่ด้วย ทรัพย์สินที่ได้มานอกเหนือจากที่มีอยู่แล้ว
คือ ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น การจะให้ค่าขายหุ้นตกเป็นของแผ่นดินทั้งจำนวน ย่อมเป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา
เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของการห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหรือคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน
หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ตนปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็น
เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม หรือในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัญญาสัมปทานจากรัฐ
ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
มาตรา 100
ประกอบพฤติการณ์กับผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 หาทางหลีกเลี่ยงข้อห้ามตามกฎหมาย ด้วยการให้
ผู้คัดค้านที่ 2-5 เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ไว้แทน
รวมทั้งผู้ถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี กระทำการต่างๆ
อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ป และบริษัทในเครือดังที่กล่าวมาแล้ว
ย่อมไม่เป็นการสมควรที่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 จะได้รับประโยชน์ที่มีผลมาจากการฝ่าฝืนต่อ
บทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น จึงถือว่า ประโยชน์จากราคาหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ส่วนที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่วันก่อนที่ผู้ถูกกล่าวหาจะ
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวาระแรก คือ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไป เป็นทรัพย์สินที่ได้มา
โดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหา
jerasak wrote:ไม่แน่ใจว่าคุณ ooo จะยังติดใจเข้ามาโต้แย้งอะไรอีกหรือเปล่า
แต่ขอฝากคำถามทิ้งไว้ให้ลองตอบดูนะครับ
1. คุณทักษิณฝ่าฝืนกฎหมายโดยถือหุ้นสัมปทานรัฐระหว่างเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
2. คุณทักษิณได้รับผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาทจากการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อ 1 ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
3. แม้ไม่ได้ทุจริตในหน้าที่เลย คุณทักษิณก็อาจได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อ 1 ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
4. ผลประโยชน์ที่ได้รับตามข้อ 2 หรือ 3 ได้มาโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
5. คุณทักษิณไม่ควรได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการฝ่าฝืนกฎหมาย ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
6. ควรยึดทรัพย์คุณทักษิณที่ได้จากการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อ 1 ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
ต้องไปแล้วครับ มีโอกาสจะพยายามแวะมาคุยด้วยอีกนะครับ
คิดถึงเพื่อนๆเสรีไทยทุกคนเสมอครับ
ริวเซย์ wrote:ขออนุญาตคุณจีปักหมุดกระทู้ครับ
บิ๊กป็อก wrote:คิดมาก ไปซาวน่ากันเถอะ
ooo wrote:jerasak wrote:ไม่แน่ใจว่าคุณ ooo จะยังติดใจเข้ามาโต้แย้งอะไรอีกหรือเปล่า
แต่ขอฝากคำถามทิ้งไว้ให้ลองตอบดูนะครับ
1. คุณทักษิณฝ่าฝืนกฎหมายโดยถือหุ้นสัมปทานรัฐระหว่างเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
2. คุณทักษิณได้รับผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาทจากการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อ 1 ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
3. แม้ไม่ได้ทุจริตในหน้าที่เลย คุณทักษิณก็อาจได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อ 1 ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
4. ผลประโยชน์ที่ได้รับตามข้อ 2 หรือ 3 ได้มาโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
5. คุณทักษิณไม่ควรได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการฝ่าฝืนกฎหมาย ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
6. ควรยึดทรัพย์คุณทักษิณที่ได้จากการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อ 1 ใช่หรือไม่? (ใช่/ไม่ใช่)
ต้องไปแล้วครับ มีโอกาสจะพยายามแวะมาคุยด้วยอีกนะครับ
คิดถึงเพื่อนๆเสรีไทยทุกคนเสมอครับ
1. ใช่ครับ
2. ไม่ใช่ครับ การทีทักษิณได้ผลประโยชน์ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการที่ไปถือหุ้นสัมปทานรัฐ เพราะลำพังแค่การถือหุ้นดังกล่าว
ทักษิณอาจจะขาดทุน หรือได้กำไรตามปกติก็ได้ แต่ที่ทักษิณได้ประโยชน์มากมายนั้นเป็นผลโดยตรงมาจากการปฎิบัติหน้าที่
และใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปเอื้อประโยชน์
3. ไม่ใช่ครับ ถ้าไม่ใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์ ทักษิณก็ไม่มีทางได้ประโยชน์มหาศาลขนาดนั้น อาจได้กำไรหรือขาดทุนตามปกติ
ทางการค้าเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องร่ำรวยผิดปกติแต่อย่างใด
4.การได้ประโยชน์มาเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายในเรื่องการไปเอื้อประโยชน์ ไม่ใช่แค่ไปถือหุ้นสัมปทานรัฐแล้วได้ประโยชน์มากมาย
5.ใช่ครับ
6.การฝ่าฝืนกฎหมายโดยเพียงแค่ไปถือหุ้นสัมปทานรัฐ ยังไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ครับ
การที่ศาลจะสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินได้ต้องเป็นเรื่องร่ำรวยผิดปกติ และในคดีของทักษิณนี้ ศาลตีความคำว่า ร่ำรวยผิดปกติ
หมายถึง การได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฎิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งครับ...
เทียบเคียงง่ายๆกับกฎหมายในชีวิตประจำวัน...
นาย ดำ ไปเปิดร้านขายยา หรือร้านขายของเก่าโดยตนเองไม่ได้รับอนุญาต
เห็นได้ชัดว่าผิดกฎหมายแน่ๆ แต่นาย ดำ ก็ค้าขายโดยสุจริตไม่ได้ขายยาปลอม
ไม่ได้รับซื้อของโจร ไม่ได้หลอกลวงใคร ถามว่าในกรณีนี้จะยึดกำไรที่นาย ดำ
ค้าขายมาโดยสุจริตได้หรือไม่ ก็คงต้องตอบว่าไม่ได้ นายดำทำผิดในส่วนที่ไม่ได้รับ
อนุญาตให้เปิดร้าน ก็ลงโทษในส่วนนั้นไป จะขยายไปยึดทรัพย์ที่ได้มาจาการค้าโดยสุจริตไม่ได้...
naiare wrote:คนยากจนผิดปรกติ ต่อสู้เพื่อคนร่ำรวยผิดปรกติ
ประเทศไทยจึงผิดปรกติ