คลิกเพื่อดูภาพขยายขนาดใหญ่
http://img34.imageshack.us/img34/86/1250328377.jpgในหลวงของเราก็เสียภาษีด้วยนะในหลวงทรงทำเ็ป็นแบบอย่างที่ดี...ในการชำระภาษีในขณะที่บุคคลร่ำรวยในประเทศไทยอีกมาก...พยายามเลี่ยงภาษีทรัพย์สินของพระองค์ แบ่งเป็น สองประเภทคือ
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กับ ทรัพย์สินส่วนพระองค์
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะได้รับการยกเว้นภาษี
ส่วนที่สองซึ่งซึ่งเป็นสินทรัพย์ส่วนพระองค์ยังต้องทรงเสียภาษีอยู่
ดังมี รายละเอียดดังนี้....
-สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
(Crown Property Bureau หรือย่อว่า CPB)เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามความ
ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
พุทธศักราช 2479 เดิมมีฐานะเป็นหน่วยงานราชการ
สังกัดกระทรวงการคลัง และได้ยกฐานะขึ้น เป็น นิติบุคคลเมื่อปี พ.ศ. 2491
มีหน้าที่ดูแลรักษาและบริหารทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ที่กำหนดให้แยกต่างหากจากทรัพย์สินส่วนพระองค์
(เช่น วังสระปทุม ที่ทรงได้รับสืบทอดมาจากพระราชบิดา)
ซึ่งดูแลโดยสำนัก งานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์
และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (เช่น พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน)
ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
โดยสรุปแล้วก็คือ
พระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรี
(สินทรัพย์ส่วนพระองค์)ที่แยกต่างหากจากทรัพย์สินของแผ่นดิน เช่น
เงินจากการแต่งสำเภาค้าขายต่างประเทศของรัชกาลที่ 3
หรือที่เรียกว่า
"เงินถุงแดง"ซึ่งตกทอดมาถึง รัชกาลที่ 5 และ
ใช้จ่ายค่าปฏิกรรมสงครามแก่ประเทศฝรั่งเศส หลังเหตุการณ์สงคราม ร.ศ. 112
สงคราม ร.ศ. 112
ซึ่งมีส่วนช่วยให้ประเทศสยามรักษาเอกราชไว้ได้ หรือ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ที่ก่อตั้งโดยรัชกาลที่ 6
ต่อมาภายหลังการปฏิวัติปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475
เนื่องจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นพระราชทรัพย์ของราชวงศ์ จักรีที่
แยก ต่างหากจากทรัพย์สินของราชการ
เพื่อความเหมาะสมจึงมีการออกกฎหมายกำหนดให้มีผู้
รับผิดชอบบริหาร จัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ
คือพระราชบัญญัติจัดระเบียบ ทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479
และมีการแก้ไขปรับปรุงมาจนถึงปัจจุบัน
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้รับการยกเว้นภาษีอากรเช่น เดียวกับทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินเนื่องจากมิได้เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่เป็นของแผ่นดินตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติ
จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479
ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ในความดูแล
ของสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์
ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีอากรสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีทรัพย์สินในความดูแลเป็นที่ดินกว่า 54 ตร.กม.ใน
กรุงเทพมหานคร และ 160 ตร.กม.ในจังหวัดอื่น
โดยทำสัญญาให้เช่าแก่หน่วยงานราชการ
องค์กร ธุรกิจและบุคคลทั่วไปรวมประมาณ 36,000 สัญญา
นอกจากนี้ยังมีหลักทรัพย์ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นใน 3 บริษัทหลักคือ
ปูนซิเมนต์ไทย
ธนาคารไทยพาณิชย์
และเทเวศประกัน
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
ไม่ใช่ทรัพย์สินของส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึง
ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกบริหารงานในรูปแบบองค์กรนิติบุคคลภายใต้ชื่อ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้น
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของในหลวงยังทรงมีการลงทุนส่วนพระองค์เองโดยไม่ผ่านสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยการเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) 43.87%[38] บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) 18.56%[39] และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) 2.04% เป็นต้น
ทรัพย์สินส่วนพระองค์นี้ยังหมายรวมถึง เงินทูลเกล้าถวายฯ ตามพระราชอัธยาศัยต่าง ๆ
ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นไม่ได้รับการยกเว้นเรื่องภาษี
และต้องเสียภาษีอากรตามปกติ
ในหลวงไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกอย่างที่นิตยสารฟอร์บจัดอันดับพระองค์ทรงได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บ
ให้เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ซึ่งความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากในความเป็นจริง "ทรัพย์สินที่นับมาประเมินนั้นเป็น
ทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์"การบริหารงานสินทัพย์ส่วนพระมหากษัตริย์พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479
กำหนดให้มี คณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่า 4 คน
ซึ่งพระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้ง
และในจำนวนนี้จะได้ทรงแต่งตั้งให้เป็น
ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 1คน
กรรมการบริหารทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ปัจจุบัน-นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
เป็นกรรมการ และ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
-ม.ร.ว. ยงสวาสดิ์ กฤดากร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น รองผู้อำนวยการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง
นาย เชาวน์ ณ ศีลวันต์ เป็นกรรมการ
นายสุธี สิงห์เสน่ห์ เป็นกรรมการ
เรือ อากาศโทศุลี มหาสันทนะ เป็นกรรมการ
นายพนัส สิมะเสถียร เป็นกรรมการ
นาย เสนาะ อูนากูล เป็นกรรมการ
ในหลวงมิได้ทรงเป็นเจ้าของปูนซิเมนต์
และเจ้าของธนาคารแต่เพียงผู้เดียว
พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น
และหุ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ถือในนามทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์รายละเอียดผู้ถือหุ้นบริษัทปูนซิเมนต์-SCC : บริษัท
ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ฯ ถือหุ้นประมาณ 30%เอกสารอ้างอิง
http://www.siamcement.com/th/04investor_governance/04_shareholder_services.php-SCB : ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ฯ ถือหุ้นประมาณ 21.31%
ถือหุ้นในนามทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มิใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์เอกสารอ้างอิง
http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=SCB&language=th&country=THหยุดให้ร้ายพระองค์ท่านว่าทรงร่ำรวยที่สุดโดย
ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ในหลวงทรงเ็ป็นแบบอย่างที่ดี...ในการชำระภาษีในขณะที่บุคคลร่ำรวยในประเทศไทย อีกมากยังพยายามเลี่ยงภาษีเพราะแม้แต่สินทรัพย์ส่วนพระองค์ สุดท้ายแล้วพระองค์ก็ทรงนำมาใช้
ให้การบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พระชาชน..
ลองฟังข่าวพระราชสำนักให้ดีๆ ในหลวงกับพระราชินี
ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ในการช่วยเหลือ....อ้างอิง :
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8Ahttp://atcloud.com/stories/70589เรารักในหลวง เราจะซาบซึ้ง
เพราะพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน