http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=264453http://www.ryt9.com/s/nnd/951182ผลประโยชน์ของไทย กับ MoU 2543 (สารส้ม)พฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2553 06:54:04 น.
ปัญหาสืบเนื่องมาจากการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลก ปรากฏว่า ภาคประชาสังคมในประเทศไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MoU) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนาม ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา วันที่ 14 มิถุนายน 2543
เนื่องจากมองว่า บันทึกความเข้าใจดังกล่าว จะเป็นตัวผูกมัดประเทศไทยให้ต้องยอมรับแผนที่อัตราส่วน 1 : 200,000 ของฝ่ายกัมพูชา อันจะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนไปให้ฝ่ายกัมพูชา มากกว่า 1 ล้านไร่
1) บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก วันที่ 14 มิถุนายน 2543 หรือ "MoU 2543" ลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ และ นายวาร์ คิม ฮง ตัวแทนรัฐบาลกัมพูชา
ฝ่ายไทยและกัมพูชา ตกลงกันไว้ว่า วิธีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนจะดำเนินการในแนวทางตามเอกสารสำคัญ คือ
(1) อนุสัญญาระหว่างกรุงสยามและฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904
(2) สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907
(3) แผนที่ทั้งหลาย(Maps) ซึ่งเป็นผลของการปักปันเขตแดน โดยคณะกรรมาธิการร่วมอินโดจีน-สยาม ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามหนังสือสัญญาทั้งสองข้างต้น
2) สิ่งที่ฝ่ายไทยสามารถจะยืนยัน หรือควรจะต้องยืนยันแน่นหนักต่อไป คือ บรรดาแผนที่ทั้งหลาย ขณะนี้ ยังไม่มีแผนที่เขตแดนไทย-กัมพูชา ฉบับใดได้รับการตกลงรับรองอย่างเป็นทางการร่วมกันทั้งสองฝ่าย
และยังไม่มีแผนที่ใดเป็นผลงานสำเร็จของการดำเนินการตาม MoU 2543 เลยแม้แต่น้อย
หากฝ่ายกัมพูชาจะอ้างว่า ใน MoU 2543 ระบุให้เข้าใจไปถึงแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ก็ไม่อาจจะตีความเกินเลยไปถึงว่าให้ยึดถือตามแผนที่ดังกล่าวเป็นที่สุด เพราะถ้าตีความอย่างนั้น แล้วจะให้มีคณะกรรมการดำเนินการร่วมกันไปทำไมเล่า
นอกจากนี้ แม้แต่แผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างอิง นำเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกครั้งนี้ด้วยนั้น ก็จัดทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาระหว่างกรุงสยามและฝรั่งเศส 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904
หากแต่เกิดขึ้นโดยการเดินสำรวจของฝรั่งเศสฝ่ายเดียว (คนของฝรั่งเศส ชื่อ พ.อ.แบร์นาร์ด เป็นผู้จัดทำ โดยมีผู้ช่วยเป็นทหารเขมร)
ยิ่งกว่านั้น การจัดทำแผนที่ดังกล่าว ยังขัดแย้งต่อหลักสำคัญของอนุสัญญาระหว่างกรุงสยามและฝรั่งเศส ค.ศ.1904 ที่ให้ยึดถึอแนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน และหากยึดตามแนวสันปันน้ำ ก็จะเห็นว่า ปราสาทพระวิหารทั้งหมดอยู่ในเขตแดนของไทยด้วยซ้ำไป
3) เมื่อแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 จัดทำขึ้นมาโดยไม่ถูกต้องตามสนธิสัญญาฉบับแม่ด้วยซ้ำ
แถมคำพิพากษาของศาลโลก ก็ไม่ได้ให้การยอมรับแผนที่ฉบับนี้เอาไว้เลยด้วย
รัฐบาลและประชาชนคนไทย จึงพึงแสดงออกถึงจุดยืนเดียวกันอย่างแน่นหนัก คือ แผนที่ฉบับนั้น มีค่าไม่ต่างจากแผนผังในหนังสือนวนิยายของกัมพูชา
4) ฝ่ายไทยเราควรกล่าวอ้างขึงขังเสียด้วยว่า การที่ฝ่ายกัมพูชามาลงนาม "MoU 2543" นั้น ก็เป็นการยอมรับอยู่ในตัวเองว่า เขตแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่มีข้อยุติเป็นที่สุดตามแผนที่ฉบับใดๆ ทั้งสิ้น จึงต้องมาดำเนินการปักปันเขตแดนร่วมกันนั่นเอง
อันนี้ ถึงจะไม่ใช่หลัก "กฎหมายปิดปาก" แต่ก็อาจจะเป็นหลัก "กรรมชี้เจตนา"
5) ใน "MoU 2543" ระบุแนวทางการปักปันเขตแดนร่วมกันเอาไว้ด้วยว่า "ฝ่ายไทยและกัมพูชาจะดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) เพื่อรับผิดชอบการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัน" และ "ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ในขณะที่กำลังสำรวจเขตแดน จะต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ในสภาพแวดล้อมของบริเวณพื้นที่เขตแดน"
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นับตั้งแต่มีการทำข้อตกลงดังกล่าว ขณะกำลังดำเนินการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชายังไม่แล้ว เสร็จ ฝ่ายกัมพูชามิได้ทำตามคำมั่นสัญญา มีการละเมิดข้อตกลงหลายครั้ง โดยเข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่บริเวณเขตแดนที่มีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับ ซ้อนกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การปลูกสร้างที่พัก บ้านเรือน ตัดต้นไม้ เคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆ ฯลฯ
ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยยื่นหนังสือประท้วงฝ่ายกัมพูชาไปแล้วกว่า 50 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น กรณีตลาดค้าขายบริเวณทางขึ้นประสาทพระวิหาร กรณีขนย้ายเครื่องจักรก่อสร้างถนนเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อน กรณีการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก จากหมู่บ้านโกมุย อ.เขาพระวิหาร จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ยาวกว่า 60 กิโลเมตร เพื่อขึ้นมาสู่พื้นที่ทับซ้อน ฯลฯ
ฝ่ายไทยย่อมสามารถกล่าวอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า เรามิได้ไปรุกราน กลั่นแกล้ง เอารัดเอาเปรียบ หรือคดโกงประเทศเพื่อนบ้านเลย
ตรงกันข้าม เพื่อนบ้านที่เราให้ความเคารพ และหวังจะอยู่ร่วมกันโดยสันติสุขสืบไป กลับมิได้ให้ความสำคัญกับการรักษาคำมั่นสัญญาที่มีต่อกัน
6) ท่าทีล่าสุดของรัฐบาลไทย มีมติคัดค้านแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่กัมพูชานำเสนอต่อ คณะกรรมการมรดกโลก และถ้าที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกมีการโหวต หรือมีแนวโน้มว่าจะรับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามที่ฝ่าย กัมพูชาเสนอ ก็มอบหมายให้ตัวแทนรัฐบาลไทยแสดงท่าทีคัดค้านอย่างเด็ดขาด และให้ประท้วงโดยออกจากห้องประชุม
การแสดงท่าทีข้างต้น เป็นเรื่องจำเป็น แต่อาจจะไม่เพียงพอ!
ควรจะต้องสื่อให้ประชาคมโลกเข้าใจแจ่มชัดว่า ไม่ใช่ฝ่ายไทยที่ละเมิดข้อตกลง "MoU 2543" - ละเมิดดินแดน - ละเมิดสิทธิของประเทศเพื่อนบ้าน
และไม่ว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะตัดสินใจอย่างไร ประเทศไทยก็จำต้องยืนยันสิทธิอันถูกต้องชอบธรรม และอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถึงที่สุด
ในการนี้ คนไทยทั้งผอง ทุกฝ่ายในสังคม จะต้องแสดงท่าทีแข็งขัน ประสานเสียงไปในทิศทางเดียวกัน ประกาศจุดยืนร่วมกันอย่างเหนียวแน่น ดังที่ภาคประชาสังคมไทย อาทิ กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ไปประท้วงที่สำนักงานยูเนสโกนั้น ถูกต้องแล้ว
ตรงกันข้าม ชาติอาจล่มจม ถ้าคนไทยทุกคนมีพฤติกรรมเหมือนนักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน ที่ออกมาโวยวายให้เอาผิดคนไทยที่ไปประท้วงยูเนสโก เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ แทนที่จะร่วมกันรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน กลับจ้องหาช่องทางเล่นเกมการเมืองโดยไม่ดูกาละเทศะ
.....แนวหน้าออนไลน์