บันทึก น้ำตากรุงเทพภาพเหตุการณ์ความไม่สงบช่วง “
เมษา ๒๕๕๒ “ ยังไม่ทันจางหายไปจาก
ความรู้สึกของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯ ภาพการจราจลที่
กระจายไปทั่วเขตเมืองหลวง ภาพกลุ่มมวลชนที่บ้าคลั่งประทุษร้ายหมายเอา
ชีวิตของคณะบริหารบ้านเมือง

ภาพการไล่ล่านายกรัฐมนตรีอย่างไร้สติ ที่มหาดไทย ภาพชุมชนดินแดงที่
ถูกจับเป็นตัวประกันด้วยรถแก๊สพร้อมจุดระเบิดได้ทันที ภาพไฟที่โหมใหม้
รถ ขสมก ที่กระจายอยู่ตามพื้นผิวถนน ภาพการปะทะกันระหว่างกลุ่มมวล
ชนและชุมชนชาวเพชรบุรีเพียงเพื่อปกป้องสถานที่สำคัญทางศาสนา หรือ
แม้กระทั่งภาพการเสียชีวิตของชาวบ้านย่านนางเลิ้งที่ออกมาปกป้องชุมชน
อันเป็นที่พักอาศัยให้ปลอดภัยจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น

ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยังคงอยู่ในความทรง
จำของคนกรุงเทพฯ “
สงกรานต์เลือด ๕๒ “
วันที่ ๑๙ ต่อเนื่อง วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เขม่าควันไฟ ปกคลุมท้อง
ฟ้ากรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมร จนมืดคลึ่ม หยาดน้ำตากรุงเทพมหานคร
ค่อย ๆ หลั่งไหล ใจกลางกรุงเทพเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง
หากย้อนกลับไปหลายร้อยปีที่ผ่านมา ภาพควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นกลางเมือง
หลวง ย่อมหมายถึงการประกาศชัยชนะของอริราชศัตรูภายนอกประเทศที่
เข้ารุกรานพื้นแผ่นดินไทย หาใช่เกิดจากน้ำมือของคนไทยด้วยกันไม่
บรรพบุรุษสละเลือดเนื้อ ชิวิต เพียงเพือปกปักรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน
เช่น เรา ๆ ท่าน ๆ หวังเพียงให้ลูกหลานได้มีแผ่นดินได้อาศัยทำมาหากิน
มิต้องตกเป็นทาสของประเทศใด ๆ

ควันไฟในครั้งนั้น ประชาชนคนไทยน้ำตานองทั่วทั้งแผ่นดิน
สิ้นแล้วแผ่นดิน คนไทยตกเป็นเชลยของอริราชศัตรู

ควันไฟในครั้งนี้ หาได้เกิดจากน้ำมือของอริราชศัตรูจากภายนอกประเทศ
หากแต่เกิดขึ้นจากน้ำมือของชนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน ...
สาเหตุใดเล่า ที่พวกเค้าเหล่านั้นจึงกระทำกับประเทศตนเองได้ถึงเพียงนี้...เพียงเพราะ ความต้องการอำนาจของนายใหญ่ ความต้องการทรัพย์สินของ
เหล่าแกนนำที่ไร้สามัญสำนึก ใช่หรือไม่... คงมิอาจคาดเดาได้....
หากย้อนกลับไป ไล่เรียงลำดับการเคลื่อนไหวของมวลชนบางกลุ่มโดยสรุป
๒๖ กพ. ๕๓ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มีคำสั่งยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ให้ตกเป็นของแผ่นดินมูลค่า
๔๖,๓๗๓,๖๘๐,๗๕๔.๗๕ บาท (สี่หมื่นหกพันสามร้อย...ล้านบาท) ตาม
คำฟ้องของอัยการสูงสุด
๑๔ มีค. ๕๓ กลุ่มแนวร่วมเข้ายึดพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า และบริเวณ
ถนนราชดำเนิน เพื่อชุมนุมใหญ่ขับไล่คณะบริหารบ้านเมือง
๑๕ มีค. ๕๓ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.๑ พัน ๑ รอ.)
บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต โดนลอบยิงด้วยอาวุธ M79 จำนวน ๖ ลูก มีทหาร
ได้รับบาดเจ็บ ๒ นาย
๑๖ มีค. ๕๓ แกนนำ นปช และแนวร่วมเจาะเลือดคนละประมาณ ๑๐ ซีซี
นำไปทำพิธีเทเลือดบริเวณประตูทำเนียบทั้ง ๘ ประตู โดยมีชายแต่งกาย
คล้ายพรามหณ์เป็นผู้ทำพิธีสาบแช่งเลือดครั้งนี้ หลังจากนั้นแกนนำและ
แนวร่วมเดินทางไปทำพิธีเทเลือดยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เลือดที่
ใช้ทำพิธี เป็นเลือดผสมน้ำเกลือบรรจุในขวดน้ำขนาด ๕ ลิตรจำนวนประ
มาณ ๓๐ – ๓๕ แกลลอน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพบว่า เลือดที่ใช้ในพิธีดังกล่าว มีเซลบาง
ส่วนที่พอจะอนุมานได้ว่า อาจจะเป็นเซลเลือดของสิ่งมีชีวิตที่นอกเหนือ
จากเลือดมนุษย์...ประเด็นนี้ คงมิอาจรับรองได้ว่า จริงเท็จประการใด เพราะถ้อยความสามารถ
ในการตรวจวิเคราะห์ทางเดมี คงยกประเด็นไว้ ณ ที่นี้
๑๗ มีค. ๕๓ แนวร่วม นปช ภายใต้การนำของ อริสมันต์, ณัฐวุฒิ ฝ่าวงล้อม
ของเจ้าหน้าที่ภายใต้ความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.วิชัย นำเลือดที่เหลืออยู่
เทราดบริเวณหน้าบ้านพักท่านนายกอภิสิทธิ์ ภายใต้สายฝนที่กระหน่ำลงมา
อย่างหนัก เพื่อชะล้างสิ่งเลวร้ายมิให้แปดเปื้อน คนดีพระท่านย่อมคุ้มครอง
เป็นสัจจะธรรม...ประเด็นนี้ มิได้กล่าวเกินความจริง หลายท่านเป็นพยานได้
อริสมันต์และแนวร่วม ต่างระดมปาถุงบรรจุเลือดและสิ่งไม่พึงประสงค์ เข้าไป
ภายในบ้านพักท่านนายกอย่างบ้าคลั่ง ไร้สติ
๒๐ มีค. ๕๓ พาเหรดแดง...แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมจัดขบวนรถเคลื่อนไป
รอบกรุงเทพ ตามเส้นทางสายสำคัญ เริ่มต้นจาก ถนนหลานหลวง- รัชดา-
ลาดพร้าว-รามคำแหง-คลองเตย –สีลม –เยาวราช กลับสู่ สะพานผ่านฟ้า


ขบวนรถประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และ นักรบพระองค์ดำ...
ประเด็นนี้ เป็นนักรบสังกัดใด ขอละไว้ มิอาจบอกเล่าได้มากกว่านี้...ตัวเลข
โดยประมาณจากนครบาล มีผู้ร่วมขบวนไม่น้อยกว่า ๖๕,๐๐๐ คน, รถจักร-
ยานยนต์ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คัน และรถยนต์ประมาณ ๗,๐๐๐ คัน...
ก้อแค่ตัวเลขโดยประมาณเท่านั้น..ท่านกล่าวไว้เช่นนี้
๒๗ มีค. ๕๓ แกนนำและแนวร่วม นปช เคลื่อนกำลังเข้ากดดันเจ้าหน้าที่
ทหารตามจุดต่าง ๆ ตามประกาศ พรก เพื่อให้กลับเข้ากรมกอง พร้อมประ
กาศศักดา เข้าตรวจค้น ยึดอาวุธประจำกาย ถึงแม้ว่าจะส่งคืนในภายหลัง
แต่ยังคงมีอาวุธที่สูญหาย..
คงมิอาจบอกกล่าวได้ว่า อาวุธที่หายไปนั้นผู้ใดหนอที่ครอบครองไว้...

ในขณะเดียวกัน อริสมันต์ นำแนวร่วมบางส่วนเข้าสักการะพระบรมราชานุ-
สาวรีย์ ร.๗ ขอพรให้ได้รับชัยจากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ พร้อมทำการ
เผารัฐธรรมนูญฉบับย่อ บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.๗ โดยไม่รู้สึก
สะทกสะท้านใด ๆ ... กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนกลับไปยังผู้ก่อ...
อริสมันต์, สุภรณ์ กลายเป็นนักโทษหนีคดี หลบหนีออกนอกประเทศ๒๘ มีค. ๕๓ คณะรัฐบาล และ แกนนำ นปช เปิดการเจรจารอบแรกที่สถา
บันพระปกเกล้า มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศฝ่ายรัฐบาลประกอบด้วย
ท่านนายกอภิสิทธิ์, นายกอร์ปศักดิ์ และ นายชำนิ ขณะที่ นปช นำโดย
นายวีระ, นพ.เหวง และ นายจตุพร การเจรจาครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
๒๙ มีค. ๕๓ การเจรจารอบ ๒ จบลง ด้วยเหตุ ฝ่าย นปช ไม่รับข้อเสนอที่
ฝ่ายรัฐ เสนอให้มีการจัดการเลือกตั้งภายใน ๙ เดือน และ นปช บางคนยัง
ประกาศจะไม่เจรจากับรัฐอีก เป็นอันปิดฉาก สันติวิธี ภายใต้ความกังวลใจ
ของทุกฝ่าย
๓ เมย. ๕๓ กลุ่มแนวร่วมเคลื่อนคนเข้าปักหลักยึดพื้นที่บริเวณสี่แยกราช
ประสงค์ อันเป็นเสมือนใจกลางเศรษฐกิจกรุงเทพฯ สร้างความเดือดร้อนให้
บุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ในบริเวณโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ
เอกชน หรือองค์กรระหว่างประเทศ
๙ เมย. ๕๓ แนวร่วมบางส่วนบุกเข้าไปในสถานีภาคพื้นไทยคม เพื่อกดดัน
ให้รัฐยกเลิกคำสั่งปิดสัญญาณการถ่ายทอดของสถานีในเครือข่ายแนวร่วม
๑๐ เมย. ๕๓ เจ้าหน้าที่ทหารพยายามเข้าขอพื้นที่ บริเวณสะพานผ่านฟ้า
และบริเวณถนนราชดำเนิน ตั้งแต่ช่วงบ่าย กระทั่งช่วงค่ำ...กลุ่มเจ้าหน้าที่
โดนลอบยิงด้วย M79 และ อาวุธสงครามร้ายแรง จากกลุ่มบุคคลแต่งกาย
ด้วยชุดสีดำ ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มแนวร่วม
ถังแก๊สและระเบิด กระหน่ำลงกลางกลุ่มเจ้าหน้าที่โดยไม่มีคาดคิด ระเบิด
M79 ยิงจากที่สูงเข้าสู่เต้นท์ผู้บังคับบัญชาอย่างแม่นยำ...

การสูญเสียในวันนี้ มากเกินกว่า
การชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ..มีผู้เสียชิวิตจากเหตุปะทะทั้งสิ้น ๒๖ ราย
หนึ่งในนั้น พันเอกร่มเกล้า (ยศขณะนั้น) พี่เปาของน้อง ๆ ต้องสังเวยชีวิต..
เพียงเพราะ..ใครคนหนึ่งที่ต้องการกลับคืนสู่บัลลังค์อำนาจ โดยไม่สนใจว่า
ต้องเหยียบย่ำลงบนกองเลือดเนื้อของพี่น้องร่วมชาติ...๒๑ เมย. ๕๓ ขอนแก่นโมเดล กลุ่มแนวร่วมขอนแก่นรวมตัวกัน เพื่อสกัด
กั้นมิให้ขบวนรถไฟลำเลียงเจ้าหน้าที่ทหาร อาวุธรวมทั้งยานพาหนะ เพราะ
คาดว่าน่าจะนำมาเสริมกำลังที่กรุงเทพฯ ทำให้กลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ต่าง ๆ
นำไปเป็นแบบอย่างในการสกัดกั้นเจ้าหน้าที่ตามจุดต่าง ๆ
๒๔ เมย. ๕๓ แกนนำกลุ่มแนวร่วม นายณัฐวุฒิ ประกาศปรับเปลี่ยนแผน
การต่อสู้ ให้ผู้ร่วมชุมนุมปลดสัญญลักษณ์ที่อาจจะแสดงให้รับรู้ว่า เป็นกลุ่ม
แนวร่วมออก เป็น นักรบนอกเครื่องแบบ ทั้งขออาสาสมัครรถจักรยานยนต์
ประจำด่านละ ๒,๐๐๐ พันทั้ง ๖ ด่านโดยรอบพื้นที่สี่แยกราชประสงค์
๑๐ พค. ๕๓ แกนนำกลุ่มแนวร่วม ประกาศยอมรับข้อเสนอให้มีการจัดการ
เลือกตั้งในวันที่ ๑๔ พย. ๕๓ และให้ท่านนายกอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ
เข้ามอบตัวจากกรณีเหตุการณ์ ๑๐ เมย. ๕๓ ซึ่งเช้าวันต่อมา นายสุเทพ
เดินทางเข้ามอบตัวตามคำเรียกร้อง แต่การชุมนุมคงยังดำเนินต่อไป
๑๓ พค. ๕๓ ศอฉ เข้ากระชับวงล้อม เพิ่มมาตรการเพื่อรักษาความปลอด
ภัยบริเวณสี่แยกราชประสงค์และบริเวณใกล้เคียง โดยการตั้งด่านตรวจโดย
รอบ แยกราชเทวี ถนนเพชรบุรี ถนนวิทยุ ถนนพระรามสี่ถึงแยกสามย่าน
ถนนพญาไท ชนแยกราชเทวี บริเวณสถานนีรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟใต้
ดินในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด

แต่แล้ว...เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด
เสธ.แดง โดนลอบยิง ขณะให้สัม
ภาษณ์นักข่าวต่างประเทศ บริเวณแยกศาลาแดง..และเสียชีวิตในเช้าวันที่
๑๗ พค. ๕๓ เป็นการปิดตำนาน เสธ.แดง...
๑๔ พค. ๕๓ กลุ่มแนวร่วม เริ่มก่อเหตุเผายางรถยนต์ในบริเวณโดยรอบ
พื้นที่การชุมนุม ไม่ว่าจะเป็น ชุมชนบ่อนไก่ ดินแดง ถนนเพชรบุรี ใจกลาง
เมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงปีน เสียงระเบิดเป็นระยะ...
เสมือนหนึ่งว่า เป็นดินแดนกลางสมรภูมิเมื่อหลายร้อยปีก่อน...
๑๙ พค. ๕๓ เจ้าหน้าที่ทหารเข้าสลายการชุมนุม ใช้รถหุ้มเกราะลำเลียง
พลเข้าสลายด่านสวนลุมพินี และ บริเวณโดยรอบสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งใน
ขณะนั้นไม่ต่างจากภาวะสงคราม..หากแต่
เป็นสงครามที่เกิดจากน้ำมือของพี่น้องร่วมชาติเดียวกัน
จากคำบงการของใครคนนั้นที่ทุกท่านย่อมทราบดี.. เสียงปืน เสียงระเบิด ดังขึ้นตลอดทั้งวัน...

ในที่สุด..แกนนำแนวร่วมประกาศยุติการชุมนุมลงในช่วงบ่าย ซึ่งแนวร่วมบาง
กลุ่มคัดค้านไม่ยอมรับการยุติการชุมนุม ภายหลังแกนนำทยอยเข้ามอบตัวที่
สตช แนวร่วมที่มีทัศนคติชอบความรุนแรงบวกกลับข้อมูลบิดเบือนที่ได้รับมา
โดยตลอด ผนวกกับคำปราศรัยของ แกนนำ ที่เคยกล่าวไว้บนเวทีหลายต่อ
หลายครั้ง
“ นำขวดเปล่ามาคนละใบ มาใส่น้ำม้นที่นี่ “
“ พวกคุณสลายการชุมนุมเมื่อไหร่ เรา เผา “
“ พวกท่านเผา ผมรับผิดชอบเอง “
“ หากมีการสลายการชุมนุมเมื่อใด ก็ให้พวกท่านตกใจตามที่ตกลงกันไว้ “มีการบุกรุกเข้าไปในห้างสรรพสินค้าและอาคารใกล้เคียง อาทิ เซ็นทรัลเวิล์ด
เกษรพลาซ่า สยามพารากอน อาคารโรงหนังสยาม อาคารเซ็นเตอร์วัน
ล้วนได้รับความเสียหายจากเปลวเพลิงที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของคนภายในชาติ
ประวัติศาสตร์นับร้อยปีของโรงหนังสยามที่มิอาจประเมินค่าได้ สูญหายไปกับ
เปลวเพลิง...
ทรัพย์สินมีค่าหลายรายการสูญหาย จากการบุกรุก ทุบทำลาย หยิบฉวย อัน
เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็น *** ที่ซ่อนเร้นอยู่ในกลุ่มแนวร่วม ฉกฉวย
โอกาส ในขณะที่ประเทศกำลังได้รับความเสียหาย อย่างไร้ซึ่งสามัญสำนึก...
ควันไฟ ลอยปกคลุมพื้นฟ้ากรุงเทพ ต่อเนื่องจนกระทั้งวันที่ ๒๐ พค. ๕๓...
วันมิคสัญญี ผ่านพ้นไปแล้ว พร้อมหยาดน้ำตากรุงเทพฯ ที่หลั่งรินทุกตรอก
ซอกซอย...
หากแต่...ฝันร้ายของประเทศยังไม่สิ้นสุด ตราบจนกว่า
มันผู้นั้น ที่คิดเผาบ้านเผาเมือง
มันผู้นั้น ที่คิดล้มล้างระบบการปกครอง
มันผู้นั่น ที่คิดครอบครอง บังอาจคิดมักใหญ่ใฝ่สูง
ฝันร้ายยังไม่สิ้นสุด จนกว่า มันผู้นั้น จะได้รับโทษทัณต์อย่างสาสม...
ขอบคุณท่านผู้บันทึกทุก ๆ ภาพถ่ายมา ณ โอกาสนี้
ทุกภาพประกอบค้นหาจากเว็บไซด์ต่าง ๆ คัดเลือกภาพที่ไม่รุนแรงเกินไป
เพราะถึงอย่างไร พวกเราก็คือ คนไทยด้วยกันทุกคน
บางท่านอาจจะทำผิด เกินเลยไปบ้าง จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
หากผิดแล้วสำนึกผิด ก็ควรค่าแก่การให้อภัย มิใช่หรือ