ฟังความเจ้าของ MOU 2543
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เจ้าของบันทึกความเข้าใจไทย - กัมพูชา (MOU) 2543 ออกแถลงการณ์วันนี้ ยืนยันว่าไทยมิได้เสียประโยชน์จากการลงนามครั้งนี้ เป็นเพียงวิธีดำเนินการ ไม่ใช่การยอมรับ
เอกสารแถลงการณ์ ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อดีต รมช.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ซึ่งได้เผยแพร่ในวันนี้ (๔) ชี้แจงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา (MOU) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนาม ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา เมื่อวันที่ ๑๔ มิ.ย.๒๕๔๓ มีใจความว่า บันทึกฉบับดังกล่าวเป็นไปเพื่อเสริมสัมพันธ์ไมตรีของรัฐบาลทั้งสองที่มี เจตนารมณ์ตรงกันในเรื่องความจำเป็นที่ต้องจัดทำหลักเขตแดนทางบกขึ้นมาอีก ครั้ง
ทั้งนี้ เนื่องจากหลักเขตซึ่งได้จัดทำโดยคณะปักปันเขตแดนร่วมกรุงสยามและประเทศ ฝรั่งเศสได้สูญหาย ชำรุด หรือถูกเคลื่อนย้ายในช่วงเวลากว่า ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดสงครามในกัมพูชากว่า ๒๐ ปี การสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและในทางปฏิบัติมีอุปสรรคนานัปการในการดำเนินการ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงต้องมีความเข้าใจตรงกันก่อนว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร มิฉะนั้น ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นได้ วิธีดำเนินการที่ดีที่สุด คือ การดำเนินการจัดทำหนังสือสัญญา เพื่อนำไปใช้เป็นกรอบและประเด็นอ้างอิงในการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขต แดนใหม่ได้ ซึ่งหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นข้อผูกมัดในเรื่องวิธีการดำเนินการเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อผูกมัดถึงผลของการดำเนินการ
“ตามธรรม เนียมปฎิบัติทางการทูต ลักษณะของหนังสือสัญญาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ คือ บันทึกลงนามความเข้าใจ (MOU) ซึ่งไทยได้ทำกับประเทศเพื่อนบ้าน ๒ ประเทศก่อนหน้านี้มานานแล้ว คือ มาเลเซีย และลาว ทั้งนี้ การทำบันทึกลงนามความเข้าใจทั้งสองฝ่ายเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ เพราะถ้าไม่สามารถได้ข้อสรุปในกรอบการทำงานก็ไม่สามารถเริ่มต้นการทำงานได้ ซึ่งจะมีผลทำให้ปัญหาเขตแดน เป็นเงื่อนไขความขัดแย้งต่อไป"
ตอนหนึ่งในแถลงการณ์ระบุ และว่าอาจกล่าวได้ว่ามาตรา ๕ ของบันทึกลงนามความเข้าใจ เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยด้วยซ้ำ เพราะในช่วงนั้นฝ่ายกัมพูชาเริ่มทำถนนเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน และ ชาวกัมพูชาได้เข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ดังกล่าว แต่ด้วยบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ทำให้ฝ่ายไทยมีเครื่องประกันเป็นลาย ลักษณ์อักษรว่ากัมพูชาจะไม่ทำถนนเข้าไปในพื้นที่ และจะดูแลไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น”
นับ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ฝ่ายกัมพูชามิได้ทำตามคำมั่นสัญญา ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ซึ่งมีการอ้างสิทธิ อธิปไตยทับซ้อน โดยที่รัฐบาลไทยในช่วงนั้นมิได้มีการทักท้วงแต่อย่างใด แต่ในขณะเดียวกันยังไม่ควรสรุปว่าบันทึกลงนามความเข้าใจไม่เป็นประโยชน์ใน ทางใดทั้งสิ้น
บันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ได้เป็นกรอบสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาชาย แดน ไทย-กัมพูชา เห็นได้จากที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ขึ้นถึง ๓ ครั้ง โดยนายประชา คุณะเกษม เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทยทั้ง ๓ ครั้ง และในช่วงที่เกิดข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ใช้บันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้เป็นเอกสารอ้าง อิงในการทักท้วงทุกครั้งไป
บันทึกลงนามความ เข้าใจยังไม่มีรัฐบาลของฝ่ายใดมองว่าเป็นข้อตกลงที่ทำให้ประเทศตนเองเสีย เปรียบ แม้แต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ (ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔) และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้นำบันทึกลงนามความเข้าใจไปใช้ ซึ่งหากบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้สร้างความเสียหายแก่ฝ่ายไทยจริงก็คงได้ มีการวิพากษ์วิจารณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว และอาจได้มีการดำเนินการแก้ไขเนื้อหาไปอีกด้วย โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้ดำเนินการไปอย่าง ไม่ถูกต้อง
ผลของการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นพ้องต้องกันในทุกประเด็น ดังนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถยอมรับในประเด็นใดๆ ก็ตามสามารถชะลอการพิจารณาไปก่อนได้ เพราะไม่มีอำนาจใดบังคับให้เกิดการยอมรับในสิ่งที่ไม่ต้องการได้ ยิ่งไปกว่านั้นผลสรุปของ JBC ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเพราะจะต้องได้รับความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาอีก ด้วย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้เป็นเครื่องประกันไม่ให้ไทยต้อง สูญเสียดินแดนในพื้นที่มีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อนกัน
nanase wrote:MOU43 มันก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งไทยและเขมรและครับ
อยู่ที่ใครwin
-ไทย สันปันน้ำ
-เขมร 1:200000
ไทยมีแต่เสมอตัวกับแพ้ เพราะปกติมันคือแผ่นดินไทย
nanase wrote:(ก) (ข) (ค)
อนุสัญญา สนธิสัญญา แผนที่
อันไหนน้ำหนักมากกว่ากันครับ
คนที่อยากให้ยกเลิก MOU มันไม่ต้องการ (ค)
เพราะ(ค) มันขัดกับ (ข) แล้วจะเจรจาไงละทีนี้ นอกจากเสนอประโยชน์ทางอื่นให้มัน
อ้างไปซิครับว่า แผนที่ต้องเป็นไปตามสนธิสัญญา แต่ไอ้ฮุนเซน+เขมร มันจะฟังมั้ย
เขมรถือว่าแผนที่เกิดจากสนธิสัญญา1907 ถูกต้องไม่ถูกต้องมันไม่สน หลักสันปันน้ำมันไม่สน แต่แผนที่เกิดขึ้นแล้ว
แล้วจะเอาไง ให้เอา(ค)ออกแล้วทำ(ค)จาก(ข)ใหม่ ทำได้มั้ย คนที่อยากให้ยกเลิกก็เพราะว่ามันทำไม่ได้
ปล.ผมไม่อยากให้ยกเลิกนะ ถ้ายกเลิก แผนที่1907 มันจะเป็นแผนที่ตายตัวไม่มีแผนที่อื่นมาแย้งได้ (ผิดถูกไม่ว่ากันนะครับ อ่านเรื่องนี้คร่าวๆ ไม่ค่อยมีเวลา มันเยอะจริงๆ)
see-u wrote:** คุณ finder .. ดิฉัน ถามหน่อย
สมุติว่า .. ถ้ามีการคุยกันแล้วรัฐบาลตอบคำถามคาใจทั้งหมดออกมาได้
จะมีการจับมือกันระหว่าง พธม. กับ รัฐบาล .. เพื่อเดินไปข้างหน้า
[color=#0000FF]สังเกตุว่าพธม.เริ่มพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ยุคนพดล-สมชาย และมาหนักตอนสุวิทย์
เพราะผลที่เขมรเดินหน้าไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการหยุด ส่วนไทยกลับไม่มีอะไรเป็นมรรคผล
รัฐบาลก็พูดแต่ว่าไทยไม่เสียดินแดน ทั้งๆที่ปัญหาเรื่องหมุดและการไล่คนไทยเข้าอยู่หลังแนวหมุด
ได้เกิดขึ้นจริง ขณะที่ปล่อยให้เขมรเข้ามาอยู่แทนคนไทย
ปัญหาเหล่านี้ถ้ารัฐบาลเคลียร์ได้ เขาคงทำไปแล้ว ไม่ปล่อยให้คนที่เดือดร้อนออกมารวมกลุ่มกัน
หรอกครับ คุณไม่สงสัยหรือครับว่า ทำไมจนป่านนี้ รัฐบาลก็ยังปล่อยให้คนเขมรอยู่ล้ำเข้าในดินแดนไทย
อภิสิทธิ์ก็แค่อ้างว่าไม่อยากให้เกิดสงคราม จะทำให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่ได้ ตกลงเขาห่วงเขมรหรือ
ห่วงคนไทยครับ ก็ขอตอบว่า ถ้าเคลียร์ได้คงไม่มีปัญหา แต่ดูแล้วคงเคลียร์ไม่ได้มากกว่า
แค่ทำให้เรื่องมันหยุดไว้ชั่วคราว ถ้าเผลอก็กลับมาทำใหม่
แล้วให้ปัญหานี้เป็นแค่เรื่องระหว่าง 2 ประเทศเท่านั้น คือ ไทยกับเขมร ที่จะตกลงเจรจากัน
โดยกันส่วนหนึ่งใน 7 ชาติที่เข้ามาวุ่นวายออกไปเพื่อผลประโยชน์ของทั้งคู่
มันพอจะเป็นไปได้มั๊ย![]()
ปล. ขออภัยทุกท่านที่เสวนาในกระทู้นี้ .. ที่ถาม เฉี่ยว ประเด็นไป[/color]
antiseptic wrote:ที่ผ่านมา mou 43 ให้ประโยชน์อะไรแก่เขมรบ้างแล้วล่ะครับ?
ถ้าจะเอาเป็นเอกสารคงเถียงกันสนุก ขอเอาที่เห็นเป็นรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วมาให้ดูอีก คนที่เคยอ่านแล้วอาจคิดว่า ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ ผมก็ขอให้คิดตามว่าจริงไหม
จาก http://www.komchadluek.net/detail/20100 ... B8%B3.html
คมชัดลึก : ถึงแม้จะมีเอกสารชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับหมุดปริศนาที่เข้ามาโผล่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 73 หมุด รุกล้ำเข้ามาในเขตไทย 12.5 กิโลเมตร โดยกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธว่า หมุดนี้ไม่ใช่หมุดที่แบ่งอาณาเขตไทยกับกัมพูชา แต่เป็นหมุดขยายโครงข่ายจีพีเอส (GPS) ซึ่งหมุดดังกล่าวจะฝังไว้ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา ทว่าก็ยังเป็นข้อกังขาของชาวบ้านว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ภาครัฐจึงไม่สามารถให้คำตอบที่กระจ่างชัดแก่พวกเขา ?!!
"คม ชัด ลึก" ลงพื้นที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ เกี่ยวกับหมุดปริศนา โดยมุ่งหน้าไปที่บ้านภูมิชลอน จ.ศรีสะเกษ ที่ตั้งปราสาทเขาพระวิหาร มี กำลังทหารกองทัพภาคที่ 2 ตั้งด่านสกัดทางขึ้นปราสาทบริเวณผามออีแดงอย่างเคร่งครัด จากการตรวจสอบกับทหารและชาวบ้านภูมิชลอนได้รับคำตอบว่า ขณะนี้บริเวณปราสาทเขาพระวิหารและบริเวณรอบๆ รวมถึงบันไดทางขึ้น คนไทยไม่สามารถเข้าไปในบริเวณนี้ได้อีกต่อไป
ปัจจุบันมีกำลังทหารและชาวกัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่ดังกล่าว และระหว่างวันที่ 7-25 กรกฎาคมนี้ จะมีการฉลองชัยชนะที่ยูเนสโกตัดสินเรื่องการครอบครองปราสาทเขาพระวิหารให้ เป็นของกัมพูชาด้วย !?!
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาว บ้านในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านภูมิชลอนถูกผลักดันไม่ให้เข้าไปทำกินในพื้นที่รอบๆ ปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น แต่พื้นที่กว่า 750 กิโลเมตรตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา คนไทยชายขอบถูกผลักดันออกจากแนวสันปันน้ำ ซึ่งเป็นแนวชายแดนเดิมแทบทั้งหมด
"สิงห์สุวรรณภร สาครไพรสนณ์" เลขาธิการเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ เล่าว่า ราวเดือนสิงหาคม 2552 มีชาวบ้านพบหมุดปริศนาบริเวณสันเขื่อนห้วยเมฆา บ้านสายตรี 4 ใต้ หมู่ 7 ต.บึงเจริญ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ห่างจากแนวเขตเดิม 12.5 กิโลเมตร ชาวบ้านรู้สึกแปลกใจอย่างมาก เพราะหมุดดังกล่าวระบุว่าเป็นแนวเขตแบ่งดินแดนไทยและกัมพูชา ชาวบ้านพยายามตรวจสอบว่ามีหมุดลักษณะนี้ที่ไหนอีกหรือไม่ก็พบหมุดลักษณะดัง กล่าวอีกหลายจุด เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่พยายามตรวจสอบว่าหมุดเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร โดยตรวจสอบกับชาวบ้านประมาณปี 2550 มีเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหารเป็นผู้เอาหมุดดังกล่าวมาฝังไว้ ชาวบ้านสอบถามก็ได้รับคำตอบว่า เป็นภารกิจลับของทางการทหารจึงไม่ได้สนใจอะไร
ต่อมามีความผิดปกติเกิดขึ้น โดยปี 2552 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเริ่มผลักดันชาวบ้านไม่ให้เข้าไปหลังแนวหมุด พร้อมกับเพิ่มเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่นๆ ลงไปในพื้นที่ เช่น เจ้าหน้าที่ป่าไม้ กรมการปกครอง โดยเคร่งครัดกับคำสั่งข้างต้นมาก มีการจับกุมชาวบ้านที่เข้าไปทำมาหากินในพื้นที่ต้องห้าม ตรงกันข้ามกับชาวกัมพูชาที่เริ่มขยับเข้ามาปักหลักทำกินติดแนวชายแดนมากขึ้น สิงห์สุวรรณภรบอกว่า ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมีการล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทยตลอดแนวชายแดน 7 จังหวัด ตั้งแต่อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด
"เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่พยายามตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็ทราบ ว่า หมุดทั้งหมดที่โผล่มามีความเกี่ยวพันกับข้อสัญญาเอ็มโอยู (MOU) ปี 2543 ทั้งไทยกับกัมพูชามีข้อสัญญาใช้ชายแดนร่วมกัน แต่ทั้งสองประเทศถือแผนที่กันคนละฉบับ ถ้าใช้แผนที่ของกัมพูชาในสัญญา พื้นที่หลังแนวสันปันน้ำของไทยจะตกเป็นของกัมพูชา ดังนั้น เพื่อความสบายใจรัฐบาลจะต้องออกมายืนยันว่า หมุดเหล่านี้เป็นอะไรกันแน่ และจะมีผลสืบเนื่องอย่างไรหลังจากนี้ไป" สิงห์สุวรรณภรกล่าว
เลขาธิการเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่บอกว่า ข้อกังขาของชาวบ้านตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ยังไมได้รับคำตอบที่ชัดเจน และรัฐไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ในสิ่งที่ประชาชนสงสัย จะมีก็แต่เพียงหลังการเข้าไปสอบถามแต่ละครั้งทางทหารก็จะเข้ามาเปลี่ยนชื่อ หมุด เช่น หมุดที่ห้วยเมฆาครั้งแรกที่เจอระบุว่า เป็นเขตแดนไทย-กัมพูชา พอมีการทวงถามก็เปลี่ยนเป็นหมุดขยายโครงข่าย เมื่อเข้าไปถามซ้ำอีกว่าเป็นโครงข่ายอะไรก็ไม่ได้รับคำตอบ แถมยังมีการลบชื่อหมุดออก ไม่นานหมุดก็ถูกกลบด้วยยางมะตอยแทน
"บุญมี ศีลศิริ" ชาวบ้านภูมิชลอนวัย 45 ปี ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการหาของป่าขายมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ตั้งแต่มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน เขาและนายพรานคนอื่นๆ ไม่สามารถเข้าไปหาของป่าได้เหมือนอย่างเคย
บุญมีบอกว่า คนชายแดนอย่างเขาไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง และที่ดินที่ใช้ทำกินก็ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ จึงต้องอาศัยอยู่ตามป่าเขาตลอดแนวชายแดน หาเลี้ยงชีพด้วยการหาของป่าเล็กๆ น้อยๆ มาขาย แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขากับเพื่อนร่วมอาชีพไม่สามารถเข้าไปในป่าได้อีกต่อไป เจ้าหน้าที่ทหาร ป่าไม้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ สกัดกั้นไว้ทั้งหมด ที่ผ่านมามีชาวบ้านหลายคนฝ่าฝืนถูกจับดำเนินคดี เพราะไม่รู้จะทำมาหากินอะไร จึงเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน บางคนหนักถึงขั้นถูกจับในพื้นที่ของตัวเองด้วยซ้ำไป
"ใครทนอยู่ได้ก็อยู่ต่อไป ส่วนที่ทนไม่ไหวก็ออกนอกพื้นที่ไปหางานต่างถิ่นทำ" บุญมีกล่าวปลงๆ ถึงชีวิตที่เปลี่ยนไป
หนึ่งในคนที่ผันตัวเองจากแม่ค้าขายของริมบันไดทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร มาเป็นพนักงานบัญชีในตัวเมืองศรีสะเกษ คือ "สินิตรา" ชาวบ้านภูมิชลอนโดยกำเนิด ก่อนหน้านี้เธอกับครอบครัวค้าขายอยู่เชิงปราสาทเขาพระวิหาร แต่พอเกิดเรื่องพิพาทขึ้น เธอและแม่ค้าคนไทยถูกผลักดันออกจากพื้นที่ จึงต้องออกมาหางานทำเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนแทน
"ตอนนี้พวกเราเดือดร้อนมาก คนไม่มีความรู้ก็ออกมาเป็นกรรมกรรับจ้างแบกหามรายวัน ไม่สามารถเข้าไปทำมาหากินได้ตามปกติ" สินิตรากล่าวทิ้งท้าย
เอามาทั้งหมดโดยไม่ตัดทอน ให้เห็นว่าเขาลงพื้นที่แล้ว หัวใจหลักของข่าวมันตรงกับที่ASTV เคยเสนอไป ดังนั้นกรุณาอย่ามาแถว่า อภิสิทธิ์ไม่ทำให้เสียดินแดน เค้าลางมันก็บอกอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเอาหลักฐานมาจากไหน และหลักฐานจะบอกอย่างไร แต่ความจริงที่เกิดขึ้นณ.ขณะนี้คือ คนไทยที่ชายแดนด้านนี้ไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่เดิมที่ตนอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยถูกกีดกันจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่คนเขมรกลับสามารถเข้ามาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ของไทย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ยอมไล่ออกไป
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตอบ
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตอบ
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตอบ
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตอบ
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตอบ
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตอบเดะเดะ wrote:ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยจะไม่เข้าร่วมในแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอ จนกว่าปัญหาหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาจะได้ข้อยุติ
แต่ทั้งนี้จะยังคงเข้าร่วมในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เพราะเห็นว่า ยังสามารถใช้เวทีดังกล่าว ในการให้ข้อมูลได้ ซึ่งดีกว่าปล่อยให้กัมพูชาเสนอข้อมูลด้านเดียวnoway2know wrote:
นายกฯรับปากไม่ยอมเสียตาเมือนธมแม้ตารางนิ้วเดียวหลังกูเกิ้ลชี้ให้เป็นของเขมร
ดูวีดีโอประกอบจาก Manager Multimedia
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กรกฎาคม 2553 20:45 น.
รวมทั้งดูท่าทีของนายกรัฐมนตรีต่อการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญครั้งที่ 34 ในระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม ที่ประเทศบราซิล โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงท่าทีว่า “เราจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว เราจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาดินแดนไว้”
ถ้าที่ผ่านมา ท่านพูดแล้วท่านทำได้อย่างพูด ประชาชนคงวางใจ แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ความน่าเชื่อถือในคำพูดของท่าน มีถึง50%หรือเปล่าครับ
นายปริญญา กล่าวต่อว่าทั้งนี้ตนได้รายงานถึงเรื่องนักวิชาการที่แย้งว่าตัวแทนที่จะไปประชุมคณะกรรมการ มรดกโลก ควรมีนักวิชาการไปด้วย เผื่อมีปัญหาจะได้ช่วยกันแก้ไข ซึ่งตรงนี้เราก็ชี้แจงว่า ถ้าคณะกรรมการที่จะให้ไปประชุมด้วย เราก็จะยินดี รวมทั้งนายกฯ ยังแสดงท่าทีต่อประเทศกัมพูชาว่า ปล่อยให้มีปัญหาความขัดแย้งดีกว่าที่จะให้ทหารออกไป เพราะถ้ามีความรุนแรงในพื้นที่ที่มีปัญหา ก็จะทำให้เกิดความรุนแรงและจะทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกทำได้ยาก
เวรกรรม,นายกฯเรากลัวเขมรไม่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก แน่ใจนะว่าใช้ปากพูด ฟังแล้วอยากจะอ้วก...
นายปริญญากล่าวถึงพื้นที่ตามแนวตามชายแดนจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ที่เป็นพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติที่คนไทยไม่สามารถเข้าไปได้ แต่คนกัมพูชาเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ซึ่งนายกฯกล่าวว่า ได้มีการทวงถามเป็นวาจาไปที่ประเทศกัมพูชาแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร
นั่นสิ,ใช้วาจาแล้ว เขมรก็เฉย แล้วจะเอาไงครับ ท่านนายกฯ คงไม่รอจนมันฮุบไปหมดก่อนนะถึงคิดออก แล้วจะมาทำสงสครามตอนนั้นยิ่งยากใหญ่ เหมือนตอนปล่อยให้ม๊อบโตที่ราชประสงค์ สุดท้ายก็ต้องปราบ แล้วง่ายไหมครับfinder wrote:
การที่เราเข้าดินแดนของเราไม่ได้ ก็เหมือนเสียดินแดนโดยพฤตินัย
ถ้าจะอ้างสนธิสัญญามาไล่ภายหลังแล้วเขาไม่ออก จะเกิดเป็นปัญหาชนกลุ่มน้อย
ถ้าตอนนั้นเกิดความรุนแรงเหมือนในหลายประเทศ อาจต้องให้สหประชาชาติเข้ามาถามว่า
พวกสูเจ้าจะอยู่กับใคร ถ้ามันตอบว่า อยากอยู่กับเขมร แล้วจะทำอย่างไรครับ
กลุ่มกบฎพยัคฆ์ทมิฬในศรีลังกาคือกรณีศึกษาเรื่องนี้ แต่โชคดีที่
รัฐบาลศรีลังกาปราบได้เสียก่อน แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยมาเป็นสิบๆปี ทำลายเศรษฐกิจไปมหาศาล
จะรอให้เป็นอย่างนี้ก่อนใช่ไหมครับ
มาต่อสักหน่อยให้สมบูรณ์
1.ถ้ารัฐบาลรอจนคนเขมรเข้ามาตั้งบ้านเรือนจนเต็มไปหมด อย่าหวังว่าคนเหล่านี้
จะยอมถอนออกไปด้วยการเจรจา เพราะจุดประสงค์ของคนเขมรคือต้องการปราสาททั้งหมด
ตามแนวชายแดน เจ้าสีหนุเองก็สั่งลูกๆไว้เช่นนั้น โดยเฉพาะปราสาทพระวิหารต้องเอามาให้ได้
อีกหน่อยจะต้องเกิดปัญหาชนกลุ่มน้อยขึ้นแน่นอน เขมรเองเดินเกมนี้อยู่แล้ว ถ้ารอจนเขาพร้อม
จะยิ่งยุ่งยาก เพราะเขมรสามารถส่งอาวุธสนับสนุนคนกลุ่มนี้ รวมทั้งสามารถเข้าช่วยรบด้วย
เนื่องจากพื้นที่ต่อเนื่องกัน
2.อีกปัญหาหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิมของเขมร ต้องช่วยเขมรในเวทีโลกอย่าง
แน่นอน ก็ดูยูเนสโก้เป็นตัวอย่างก็ได้ ปัญหานี้จะยิ่งแก้ยากมากขึ้น ตอนนั้นจะให้ใครมาหนุนไทยครับ
3. ปัญหาถัดมาคือเมื่อเขตแดนถูกกินลึกเข้ามาโดยพฤตินัย และหลักหมุดอัปรีย์ที่ไปฝังลึกเข้ามาใน
เขตไทย ผมมั่นใจว่าไทยต้องเสียดินแดนครับ เพราะถ้ายังไม่รู้ว่าเขตแดนอยู่ที่แนวสันปันน้ำใด
(ยังไม่กำหนดร่วมกันกับเขมร) การมาลงหมุดไว้ก่อน จะมีประโยชน์อะไรครับ รู้ได้ไงว่า
หมุดเหล่านี้อยู่ห่างจากแนวเขตแดนจริงเท่าไร ดังนั้น หมุดเหล่านี้จะมาใช่เพื่ออ้างอิงไปวาดแผนที่ได้ไงครับ
ในเมื่อยังไม่รู้แนวเขตแดนจริงเลย ทั้งหมดนี้คือคิดอย่างชาวบ้านธรรมดาที่ได้ข้อมูลมาเหมือนทุกๆท่านเด็กเด็ก wrote:ดูแผนที่ ระดับคอนทัวร์มีหมดแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าสันปันน้ำอยู่ที่ใด
มันสำคัญว่าจะลากได้ตลอดเส้นทาง 750 กิโลเมตรหรือไม่
ถ้าเป็นที่ราบ จะใช้หลักอะไร มัวงมแต่ สันปันน้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ
แล้วมันจบมั๊ย
ตามสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ยึดแนวสันปันน้ำ ใครๆก็รู้ แม้จะไม่มีแนวสันปันน้ำอยู่ตลอดแนวชายแดนเพื่อให้ชี้แนวเขตแดนได้ แต่ก็ต้องใช้แนวสันปันน้ำทั้งหมดเท่าที่มีเพื่ออ้างอิง ส่วนที่ไม่ใช่สันปันน้ำก็ต้องคุยกันกับเขมรเพื่อกำหนดเขตแดนกัน ตอบแค่นี้คงชัดนะครับ
เมื่อยังคุยกับเขมรไม่จบในเรื่องเขตแดน ทำไมเขมรจึงยึดพื้นที่ที่ชาวบ้านฝั่งไทยใช้ทำมาหากินมาแต่บรรพบุรุษไป โดยเจ้าหน้าที่ของไทยสนับสนุนเขมรอยู่กลายๆ ตอบคำถามนี้สิครับ
ข้อความที่ผมนำมาแปะไว้ บ่งบอกด้วยข้อมูลของคนในพื้นที่ เป็นเรื่องที่นายกฯยังไม่ยอมตอบและยังไม่มีใครที่สนับสนุนข้อมูลของรัฐบาลในเวบนี้มาแย้งครับ
1. การปักปันเขตแดนของJBC ทำให้คนไทยถูกกันออกมาจากพื้นที่เดิมที่เขาอยู่มา แต่กลับให้คนเขมรเข้าไปอยู่แทน อย่างนี้เรียกว่าเสียดินแดนโดยพฤตินัยใช่ไหมครับ แล้วJBCเกิดจากMOU43ไม่ใช่หรือครับ อย่าอ้างว่าแล้วเราจะเอาคืนภายหลัง เพราะผมบอกไว้แล้วว่า เขมรไม่มีวันถอยอย่างสงบ
2.ในMOUคงไม่บอกตรงๆว่าทำให้ไทยเสียดินแดนหรอกครับ ไม่เช่นนั้น คนที่เกี่ยวข้องคงพังกันหมด แต่ผลจากการกระทำของJBCต่างหากที่ที่แสดงให้เห็นว่า
สัญญาจะทำให้เกิดผลออกมาเป็นอย่างไร
และผลก็เกิดขึ้นแล้วตามที่คม ชัด ลึก นำมาลงไว้ อย่างนี้ยังไม่ชัดหรือครับ อย่าพยายามหาข้อผิดในเอกสารดีกว่า เพราะคงเถียงกันไม่จบ เอาผลที่เกิดขึ้นมาพิจารณาก็ชัดเจนแล้วครับ
แล้วถ้าบอกว่าฮุนเซ็นกลัวเรายกเลิกจริงก็ดีสิครับ จะได้เก็บไว้ขู่มันเรื่อยๆ
แล้วงี้จะให้รีบยกเลิกไปทำไม?
-3- wrote:สุวิทย์ไปเซ็นอะไรตอนไหนครับ![]()
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:ให้ประโยชน์เขมรเป็นหลักอะไรบ้างละครับ สมมติฐานที่ว่า
แล้วถามว่าคนที่ไปทำมันปัญญาอ่อนให้ประโยชน์แก่เขมรมากกว่าทำไม
ลองใช้ตรรกะของคุณอธิบายมาสิครับ
นายชวน ทำไมให้เขมรได้ประโยชน์มากกว่า
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ทำไมให้ประโยชน์เขมรมากกว่า
นักการเมืองเหล่านี้มีเหตุผลอะไรถึงให้ประโยชน์แก่เขมร
ฟังความเจ้าของ MOU 2543
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เจ้าของบันทึกความเข้าใจไทย - กัมพูชา (MOU) 2543 ออกแถลงการณ์วันนี้ ยืนยันว่าไทยมิได้เสียประโยชน์จากการลงนามครั้งนี้ เป็นเพียงวิธีดำเนินการ ไม่ใช่การยอมรับ
เอกสารแถลงการณ์ ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อดีต รมช.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ซึ่งได้เผยแพร่ในวันนี้ (๔) ชี้แจงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา (MOU) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนาม ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา เมื่อวันที่ ๑๔ มิ.ย.๒๕๔๓ มีใจความว่า บันทึกฉบับดังกล่าวเป็นไปเพื่อเสริมสัมพันธ์ไมตรีของรัฐบาลทั้งสองที่มี เจตนารมณ์ตรงกันในเรื่องความจำเป็นที่ต้องจัดทำหลักเขตแดนทางบกขึ้นมาอีก ครั้ง
ทั้งนี้ เนื่องจากหลักเขตซึ่งได้จัดทำโดยคณะปักปันเขตแดนร่วมกรุงสยามและประเทศ ฝรั่งเศสได้สูญหาย ชำรุด หรือถูกเคลื่อนย้ายในช่วงเวลากว่า ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดสงครามในกัมพูชากว่า ๒๐ ปี การสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและในทางปฏิบัติมีอุปสรรคนานัปการในการดำเนินการ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงต้องมีความเข้าใจตรงกันก่อนว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร มิฉะนั้น ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นได้ วิธีดำเนินการที่ดีที่สุด คือ การดำเนินการจัดทำหนังสือสัญญา เพื่อนำไปใช้เป็นกรอบและประเด็นอ้างอิงในการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขต แดนใหม่ได้ ซึ่งหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นข้อผูกมัดในเรื่องวิธีการดำเนินการเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อผูกมัดถึงผลของการดำเนินการ
“ตามธรรม เนียมปฎิบัติทางการทูต ลักษณะของหนังสือสัญญาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ คือ บันทึกลงนามความเข้าใจ (MOU) ซึ่งไทยได้ทำกับประเทศเพื่อนบ้าน ๒ ประเทศก่อนหน้านี้มานานแล้ว คือ มาเลเซีย และลาว ทั้งนี้ การทำบันทึกลงนามความเข้าใจทั้งสองฝ่ายเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ เพราะถ้าไม่สามารถได้ข้อสรุปในกรอบการทำงานก็ไม่สามารถเริ่มต้นการทำงานได้ ซึ่งจะมีผลทำให้ปัญหาเขตแดน เป็นเงื่อนไขความขัดแย้งต่อไป"
ตอนหนึ่งในแถลงการณ์ระบุ และว่าอาจกล่าวได้ว่ามาตรา ๕ ของบันทึกลงนามความเข้าใจ เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยด้วยซ้ำ เพราะในช่วงนั้นฝ่ายกัมพูชาเริ่มทำถนนเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน และ ชาวกัมพูชาได้เข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ดังกล่าว แต่ด้วยบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ทำให้ฝ่ายไทยมีเครื่องประกันเป็นลาย ลักษณ์อักษรว่ากัมพูชาจะไม่ทำถนนเข้าไปในพื้นที่ และจะดูแลไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น”
นับ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ฝ่ายกัมพูชามิได้ทำตามคำมั่นสัญญา ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ซึ่งมีการอ้างสิทธิ อธิปไตยทับซ้อน โดยที่รัฐบาลไทยในช่วงนั้นมิได้มีการทักท้วงแต่อย่างใด แต่ในขณะเดียวกันยังไม่ควรสรุปว่าบันทึกลงนามความเข้าใจไม่เป็นประโยชน์ใน ทางใดทั้งสิ้น
บันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ได้เป็นกรอบสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาชาย แดน ไทย-กัมพูชา เห็นได้จากที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ขึ้นถึง ๓ ครั้ง โดยนายประชา คุณะเกษม เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทยทั้ง ๓ ครั้ง และในช่วงที่เกิดข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ใช้บันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้เป็นเอกสารอ้าง อิงในการทักท้วงทุกครั้งไป
บันทึกลงนามความ เข้าใจยังไม่มีรัฐบาลของฝ่ายใดมองว่าเป็นข้อตกลงที่ทำให้ประเทศตนเองเสีย เปรียบ แม้แต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ (ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔) และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้นำบันทึกลงนามความเข้าใจไปใช้ ซึ่งหากบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้สร้างความเสียหายแก่ฝ่ายไทยจริงก็คงได้ มีการวิพากษ์วิจารณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว และอาจได้มีการดำเนินการแก้ไขเนื้อหาไปอีกด้วย โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้ดำเนินการไปอย่าง ไม่ถูกต้อง
ผลของการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นพ้องต้องกันในทุกประเด็น ดังนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถยอมรับในประเด็นใดๆ ก็ตามสามารถชะลอการพิจารณาไปก่อนได้ เพราะไม่มีอำนาจใดบังคับให้เกิดการยอมรับในสิ่งที่ไม่ต้องการได้ ยิ่งไปกว่านั้นผลสรุปของ JBC ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเพราะจะต้องได้รับความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาอีก ด้วย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้เป็นเครื่องประกันไม่ให้ไทยต้อง สูญเสียดินแดนในพื้นที่มีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อนกัน
แดง ขาว น้ำเงิน wrote:แดง ขาว น้ำเงิน wrote:ให้ประโยชน์เขมรเป็นหลักอะไรบ้างละครับ สมมติฐานที่ว่า
antiseptic wrote:แน่ใจนะครับ ว่าถ้าสุวิทย์ไม่เซ็นแล้วทุกอย่างจะหยุดอยู่กับที่?
ไม่ว่าจะเซ็นไม่เซ็นหรือผลจะเป็นอย่างไร กมม. ก็จ้องจะด่ารัฐบาลอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นจะโวยวายอะไรกับ mou นักหนา
ไอ้ที่ว่ารักชาติก็แค่ข้ออ้างไว้หาเสียง และเป็นงี้มาตั้งแต่เสื้อแดงชุมนุมแล้ว
นี่แหละคือความเฮงซวยของการเมืองใหม่!!!
see-u wrote:** อือ .. ขอบคุณที่ตอบค่ะ คุณ finder
ขอติงเรื่อง จุกจิก เล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนนะ![]()
1. ไปเปลี่ยนสีตัวหนังสือที่ โควท ข้อความ ดิฉัน ในส่วนที่คุณตอบมาได้มั๊ยจะได้อ่านง่ายขึ้น
2. ไม่ต้องใช้ฟร้อนตัวหนังสือเท่าหม้อแกงได้ป่าว..เอาตัวหนังสือแบบธรรมดานี่แหละ
รำคาญ.. เวลามีคนใช้ตัวหนังสือตัวเบ้ง ๆ .. ดิฉัน ไม่ใช่คนสายตายาว
( ตรงนี้เคยพูดกับหลายคนแล้ว )
[color=#800000]นิสัยผมเสียแล้วครับ แก้ไม่ได้แล้ว..5555............................................................
** ที่ ดิฉัน .. เขียนไปในโพสข้างบนเรื่อง ถ้ารัฐบาล ( จริงใจ ) และตอบได้เคลียร์ในเรื่องที่ตอบได้
น่าจะมีการร่วมกันเดินไปข้างหน้า .. แล้วให้เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่าง " เราสองคน "
" เราสองคน " ในที่นี้ คือ ไทยกับเขมร มาเจราจากัน[/color]
แล้วให้เกิดผลประโยชน์ในระหว่าง 2 ชาติมากที่สุด..โดยที่ไม่มี เหลือบ ไร ( ชาติ อื่น ๆ ) เข้ามาเกี่ยว
มันก็น่าจะเป็นแนวทางที่ดีนะ ...![]()
ดิฉัน.ว่า ภาคประชาชน ที่ลงมาลุยในระยะกลาง ๆ ของเรื่องนี้เขาก็มีแนวคิดแบบนี้นะ![]()
ว่า .. ดัน ชาติ อีแอบ ส่วนเกินออกไป
แล้วให้ตกลงกันเฉพาะ 2 ประเทศ น่าจะเคลียร์ที่สุดแล้ว
เอาคร่าวๆ ประธานบราซิลคุยแยกไทย-กับเขมร ปรากฎว่าทั้ง2ฝ่ายไม่ยอมในข้อตกลง
จึงขอให้ทั้ง2ฝ่ายคุยกันเอง และสุวิทย์ยอมเซ็นในที่สุด ลองคิดดูก็ได้
ทำไมประธานต้องลงมาคุยเองครับ และทำไมต้องเจรจาทุกทางเพื่อให้เกิดการเซ็นครั้งนี้ให้ได้ ทำไมครับ
ballack_za wrote:แต่ ตอนนี้ เขมร อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ยั่วเยี้ย ไปหมดแล้ว เรายังเข้าไปตรงนั้นไม่ได้เลย
tarrzz wrote:ballack_za wrote:แต่ ตอนนี้ เขมร อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ยั่วเยี้ย ไปหมดแล้ว เรายังเข้าไปตรงนั้นไม่ได้เลย
แต่นี่คือเรื่อง จริง ที่พวกแถบ้าบอ ตามไม่ได้ ว่า ทำไมๆๆๆ รัฐบาล![]()
![]()
antiseptic wrote:tarrzz wrote:ballack_za wrote:แต่ ตอนนี้ เขมร อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ยั่วเยี้ย ไปหมดแล้ว เรายังเข้าไปตรงนั้นไม่ได้เลย
แต่นี่คือเรื่อง จริง ที่พวกแถบ้าบอ ตามไม่ได้ ว่า ทำไมๆๆๆ รัฐบาล![]()
![]()
หลักฐานล่ะครับ? โฉนดที่ดินที่ รบ. ออกให้เขมรล่ะครับ?