pornchokchai wrote:
5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2
ศาสดาของพระพุทธศาสนา คือ พระโคตมพุทธเจ้า ทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงประสูติในดินแดนชมพูทวีป ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 80 ปีก่อนพุทธศักราช ณ สวนลุมพินีวัน เจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา ทรงดำรงตำแหน่งรัชทายาท ผู้สืบทอดราชบัลลังก์กรุงกบิลพัสดุ์แห่งแคว้นศากยะ[12] และเมื่อพระชนมายุ 16 ชันษา ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธราแห่งเมืองเทวทหะ ต่อมาเมื่อพระชนมายุ 29 ชันษา ทรงมีพระโอรสกับเจ้าหญิงยโสธรา 1 พระองค์พระนามว่า ราหุล[13]
ในปีเดียวกันนี้เองที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกผนวชเป็นสมณะ เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นอันนำไปสู่การบรรลุความหลุดพ้นจากทุกข์ คือ ความแก่ เจ็บ และตาย ในปีเดียวกันนั้น ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที[14] และหลังจากออกผนวชมา 6 พรรษา ทรงประกาศการค้นพบว่าการหลุดพ้นจากทุกข์ทำได้ด้วยการฝึกจิตด้วยการเจริญสติ ประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา จนสามารถรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริงว่า เป็นทุกข์เพราะสรรพสิ่งไม่สมบูรณ์ ไม่แน่นอน และบังคับให้เป็นดั่งใจไม่ได้ จนไม่เห็นสิ่งใดควรยึดมั่นถือมั่นหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จวบจนได้ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ[15] คือ การตรัสรู้ อริยสัจ 4 ขณะมีพระชนมายุได้ 35 ชันษา ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม จากนั้นพระองค์ได้ออกประกาศสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ตลอดพระชนม์ชีพ เป็นเวลากว่า 45 พรรษา ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงมั่นคงในฐานะศาสนาอันดับหนึ่งอยู่ในชมพูทวีปตอนเหนือ[16] จวบจนพระองค์ได้เสด็จปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุได้ 80 พระชันษา ณ สาลวโนทยาน (ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6)[17]
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-prayuth/lp-prayuth-04-01.htm
หัวใจพุทธศาสนา : พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)
ถ้าพูดว่าหัวใจพระพุทธศาสนาคือ " เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส " หัวใจที่ว่านี้เป็นหลักในเชิงปฏิบัติเป็นเรื่องการดำเนินชีวิตว่า เราจะไม่ทำชั่ว ทำดี และทำใจให้ผ่องใส
ทีนี้ลองไปดูหลักอริยสัจสี่ ซึ่งมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จะเห็นว่าข้อที่ ๔ คือ " มรรค " เป็นข้อปฏิบัติ
มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น และสัมมาสมาธิเป็นข้อสุดท้าย องค์ทั้ง ๘ นี้ ก็จำยาก จึงย่อง่าย ๆ เหลือ ๓ เท่านั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล คือ เว้นชั่ว สมาธิ คือ ทำความดีให้ถึงพร้อม ปัญญา คือ ชำระจิตใจให้ผ่องใส พอแยกแยะอย่างนี้แล้วก็เห็นว่า เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ที่ว่าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา นั้น ก็อยู่ใน มรรค นี่เองเป็นอริยสัจ ข้อที่ ๔ คือ ข้อสุดท้าย
ทุกข์ คือตัวปัญหา เป็นสิ่งที่เราไม่เอา ยังไม่ต้องปฏิบัติ เราต้องรู้ให้ชัดว่าอะไรเป็นปัญหาที่เราจะต้องพ้นไป สมุทัย คือตัวเหตุแห่งทุกข์ ต้องสืบสาวให้รู้ตามหลักความจริงที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยว่า ทุกข์เกิดจากเหตุ และเหตุนั้นคืออะไร เหตุนั้นเรารู้ว่าจะต้องกำจัด แต่เรายังไม่ได้ทำอะไร จากนั้นเราก็รู้ว่าเมื่อกำจัดเหตุแห่งทุกข์ได้ เราจะเข้าถึงจุดหมายคือ นิโรธ แต่ทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ด้วยการลงมือทำในข้อสุดท้ายคือ มรรค ฉะนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ สามอย่างนี้เราเข้าใจว่ามันคืออะไร เราจะต้องทำอะไรต่อมัน แต่เราปฏิบัติมันไม่ได้ สิ่งที่จะปฏิบัติได้คือ ข้อที่ ๔ ได้แก่ มรรค เมื่อเราปฏิบัติตาม มรรค เราก็กำจัด สมุทัย แก้เหตุแห่งทุกข์ได้เราก็พ้นทุกข์ หมดปัญหา และเราก็บรรลุนิโรธ เข้าถึงจุดหมายได้สามารถทำให้สำเร็จงานสำหรับ ๓ ข้อแรกทั้งหมด เป็นอันว่า สิ่งที่เราต้องปฏิบัติมีอยู่ข้อเดียวคือ ข้อ ๔ แต่เราต้องรู้ ๓ ข้อข้างต้นด้วย
ถึงตอนนี้กลับไปดูหลัก เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ จะเห็นว่าเป็นหลักในภาคปฏิบัติทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ใน มรรค คือ ข้อที่ ๔ ของอริยสัจ เพราะมรรคเป็นฝ่ายลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ ในแง่ของหลักความจริงตามสภาวะว่าเป็นอย่างไร จุดหมายคืออย่างไร ก็อยู่ในข้อ ๑ - ๒ - ๓ ของอริยสัจ
เพราะฉะนั้น อริยสัจ กว้างกว่าและครอบคลุมหลัก เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ด้วย สำหรับชาวพุทธทั่วไป เริ่มต้นก็ให้เห็นก่อนว่าจะปฏิบัติอะไร เมื่อปฏิบัติไปได้ระดับหนึ่งก็จะต้องรู้หลักความจริงทั่วไปด้วย มิฉะนั้นการปฏิบัติก็ไปไม่ตลอด ถึงตอนนั้นต้องรู้หลักอริยสัจสี่
อย่าลืมว่า ได้หลักแน่ชัดแล้วนะ เริ่มด้วย " เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส " นี่แหละเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ก่อน แล้วก้าวต่อไปให้ครบ อริยสัจทั้ง ๔ ให้ได้จึงจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงและสมบูรณ์
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-prayuth/lp-prayuth-04-01.htm
อริยสัจ คือ ธรรมที่นำเสนอเป็นระบบปฏิบัติการ ให้มนุษย์บริหารประโยชน์จากความจริงของธรรมชาติ
อริยสัจนั้น แท้จริงเป็นหลักของเหตุและผล ธรรมดาเราจะพูดเหตุก่อนแล้วจึงพูดถูกผลใช่ไหม ให้สังเกตว่าพระพุทธเจ้ากลับทรงยก ผล ขึ้นแสดงก่อน แล้วแสดง ผล ทีหลัง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ตามปกติพระพุทธเจ้าก็ตรัสเหตุก่อนผล แต่ในกรณีนี้กลับแสดงผลก่อนเหตุ เพราะเป็นเรื่องวิธีสอน ซึ่งต้องเริ่มด้วยสิ่งที่มองเห็นอยู่ เริ่มที่ปัญหาก่อน โดยชี้ปัญหาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำความเข้าใจปัญหาแล้วจึงค้นหาสาเหตุ เสร็จแล้วชี้ถึงจุดมุ่งหมาย หรือ สิ่งที่ต้องการ แล้วบอกวิธีปฏิบัติที่จะให้เข้าถึงจุดหมายวิธีสอนอย่างนี้เป็นที่เร้าใจด้วย พอพูดถึงปัญหาโดยเฉพาะปัญหาของตัวเอง หรือปัญหาที่เกี่ยวกระทบถึงตัว คนก็สนใจอยากจะรู้ อยากจะแก้ปัญหานั้น แล้วจึงสืบว่าปัญหานี้เกิดจากเหตุอะไร เมื่ออยากกำจัดเหตุแล้ว พอพูดถึงจุดหมายว่าดีอย่างไร คนก็อยากจะไปถึงจุดหมายนั้น แล้วจึงบอกวิธีปฏิบัติ ถ้าเราไปบอกวิธีปฏิบัติก่อน วิธีปฏิบัติอาจยากมาก คนก็ท้อใจ ไม่อยากทำ ไม่อยากไป แต่ถ้าชี้จุดหมายให้เห็นว่าดีอย่างไร ใจเขาจะใฝ่ปรารถนา ยิ่งเห็นว่าดีเท่าไร ประเสริฐอย่างไร เขายิ่งอยากไปและเต็มใจที่จะทำ เราจึงค่อยบอกวิธีปฏิบัติ ตอนนี้เขาสนใจ ตั้งใจเต็มที่แล้ว เขายินดีพร้อมที่จะทำสุดแรงของเขา
ในการปลุกระดมก็ใช้วิธีนี้จึงจะได้ผล แม้จะไม่สุจริต เขามุ่งแต่จะให้สำเร็จ เพราะเป็นวิธีที่ได้ผลคือตอนต้นพูดชี้ปัญหาก่อน….. " เวลานี้มันแย่ มีปัญหาทั้งนั้น มีความยากจน มีความเดือนร้อน อะไร ๆ ก็ไม่ดี มันเลวร้ายอย่างนั้น ๆ " ถ้าจะปลุกระดมต้องชี้เรื่องที่ไม่ดีให้เห็นออกมาชัด ๆ ว่าเยอะแยะไปหมด ร้ายแรงอย่างไร ชี้ทุกข์ให้ชัดก่อนว่าน่าเกลียดน่ากลัวร้ายแรงจนคนไม่พอใจมาก อยากจะแก้ไข ทีนี้ก็ชี้สาเหตุว่า นี่ตัวการ ตัวร้ายอยู่นี่ เป็นเหตุให้เกิดปัญหา ถึงตอนนี้คนก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ใจก็เกิดพลัง เกิดความตื่นเต้น เกิดเรี่ยวแรงกำลังขึ้นมาว่าต้องจัดการ กำจัดมันละนะ เราเห็นตัวการแล้ว พอคนกระหายอยากจะจัดการแล้ว ก็ชี้เป้าหมาย จุดหมายนั้นต้องชี้ให้เห็นเด่นชัดว่าดีที่สุด ใจคนก็พุ่งเป้าพร้อมเต็มที่ พอบอกวิธีปฏิบัติว่า " ต้องทำอย่างนี้ ๆ ๆ ๆ " ตอนนี้วิธีปฏิบัติถึงจะยากก็ไม่กลัวแล้ว ไม่ว่าจะยากอย่างไร ก็เอาทั้งนั้น ระดมกำลังเต็มที่ มรรคมาได้เลย
รวมความว่า อริยสัจเป็นหลักที่เชื่อมระหว่างความจริงของธรรมชาติ กับปฏิบัติการของมนุษย์
pornchokchai wrote:Dothex wrote:pornchokchai wrote:คนไกล wrote:จขกท ต้องการอะไรหรอ อย่าดึงพระที่ไม่ได้แสดงตนว่าเอียงสีไหนมายุุ่งกับเรื่องการเมืองดีกว่า หรือถ้าจะให้ดีคุณ ด๊อกเตอร์ ช่วยเขียนให้ครบทุกรูป ทุกวัดเลยจะดีมากๆ
Logic คุณนี่เพี้ยน ๆ นะครับ ควรคิดใหม่ครับ
จขกท. คงมีปัญญาที่เป็นเลิศ ถึงตีความหลักธรรม ได้กว้างและรู้แจ้ง ผมคนไทย ปัญญาน้อย ครับ
ก็เลยไม่รู้ว่าหลักธรรมที่ จขกท. ที่จะชี้ให้เห็นคือ อะไร และที่โต้แย้งกัน นั้น เนื้อหาหลักธรรมเป็นอย่างไร และหลักธรรมที่ถูกต้องเป็นอย่างไร รบกวน จขกท. ยกตัวอย่างและช่วยอธิบายให้ด้วยครับ จะได้กระจ่าง จะเป็นพระคุณยิ่ง
เอาง่าย ๆ นะครับ ผมวิจารณ์มหาเขาไป 9 ข้อ คุณเห็นด้วยหรือไม่ ข้อไหน ก็ว่ามาครับ อย่าไปท้าวความ
1. พิธีกรไปถามพระ ๆ ก็ต้องนึกถึงทางออกด้านพุทธศาสตร์ที่รำเรียนมาเป็นสำคัญ ถามนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ ก็ได้มุมมองจากพื้นฐานความรู้นั้น ๆ แต่ว่าแต่ละศาสตร์โดด ๆ ก็คงไม่สามารถนำมาแก้ไขปัญหาการเมืองได้ การบอกว่านักการเมืองไม่มีธรรมะ แล้วในประเทศตะวันตกที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เขามีธรรมะข้อไหน ถ้าบอกว่าศาสนาอื่นก็มีธรรมะของพุทธแฝงอยู่ หรือว่าพุทธศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอื่นหรืออย่างไร
2. ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม ก็เหมือนนักการเมือง การที่พระมหาวุฒิชัยพูดในห้วงแหลมคมของการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรก็ เท่ากับต้องการตำหนิว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีทศพิธราชธรรม ซึ่งจะจริงหรือไม่ผมคงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
3. เรื่องที่ว่าประชาชนไม่มีศักยภาพในการตัดสินใจ โดยยกตัวอย่างความเชื่อแต่เดิมว่าโลกแบน ถ้าให้ประชาชนผู้ไม่รู้วิทยาการออกเสียงในสมัยโบราณว่าโลกกลมหรือแบบ ส่วนใหญ่ก็ต้องออกเสียงว่าโลกกลม กรณีศิลปวิทยาการนั้น เราไม่สามารถถามเสียงส่วนใหญ่ เช่นในขณะนี้เราก็คงไม่สามารถถามคนส่วนใหญ่ว่าจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ได้ อย่างไร ต้องถามนักวิทยาศาสตร์ต่างหาก แต่ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นเรื่องของปุถุชน ทุกคนรู้เท่าทันกัน เสียงส่วนใหญ่ย่อมถูกต้องเสมอ <1>
เสียงส่วนใหญ่คือสัจธรรม อย่างผมทำอาชีพการประเมินค่าทรัพย์สิน ผมทราบความจริงอย่างหนึ่งว่า ประชาชนส่วนใหญ่คือเสียงสวรรค์ คือความถูกต้อง ในตลาดเปิดทั่วไป ถ้าคนส่วนใหญ่ซื้อบ้านในราคาหนึ่ง ราคานั้นก็จะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ในความเป็นจริงอาจมีข้อมูลที่สูงหรือต่ำผิดปกติ (outliers) อยู่บ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย อย่างไรก็ตาม “กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น” เช่น เสียงส่วนใหญ่ของโจรย่อมใช้ไม่ได้ แต่โจรก็ยังเป็นคนส่วนน้อยในสังคม
4. การที่บอกว่าประชาชนไม่มีศักยภาพ ในแง่หนึ่งอาจเป็นการให้ท้ายกับพวกเผด็จการรัฐประหาร ให้มาตัดสินใจแทนประชาชนโดยอ้างว่าประชาชนไม่มีศักยภาพอยู่ร่ำไป และเมื่อเข้ามาแล้ว ก็มาโกงกิน เห็นได้ชัดตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ และสามทรราช อาจรวมทั้ง รสช. หรืออาจรวม คมช. ด้วยก็ได้ มีใครเชื่อได้โดยสนิทใจว่ารัฐมนตรีในยุคสุรยุทธ์ใสสะอาดกว่ายุคอื่น
5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหา ตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบ ชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
Gop wrote:งง![]()
![]()
เจ้าของกระทู้หายต๋อมไปเลย คนเค้าแสดงความคิดเห็นแล้ว หายหน้าไปไหนเนี่ย![]()
Canthai wrote:ท่านด็อกเตอร์ ไปตอบในประชาไทครับ
http://www.prachatai.com/node/30441/talk
รู้สึกจะไปเอาดีทางเว็บเสื้อแดงซะงั้น
bangkaa wrote:คุณ ยัง ไม่ตื่น อีกเหรอ....
ไอ คำอ้าง กากๆ ว่า "ประชาธิปไตย" เนี่ย...
ประชาธิปไตย ที่พูดๆกันใน ประเทศไทย มันกาก ทั้งนั้น...
ไม่มี ใครทำได้จริง เพราะ ไม่ยอมทำ... มีแต่เอามาอ้างหลอกแดก.....
ประชาธิปไตย เอย..
เสียงข้างมากเป็นใหญ่ เอย..
การเลือกตั้ง คือ ความถูกต้อง เอย....
ขอโทษนะครับ.....
ยัง ท่อง กันอยู่ อีกเหรอ....
ท่าน จขกท. ก็ไม่ใช่ ตาสีตาสา ที่ไหน...... ..
งมงาย อยู่ได้...
แกล้งโง่ ทำไม....
... หรือว่า ไม่ได้ แกล้ง....
Moon wrote:อ่านมาหลายวันแล้ว (เพราะโดนแบน) บอกตรงๆ ไม่มีปัญญาจะโต้แย้ง ดร.จริงๆ
เอาเป็นว่า ผมรบกวนขอให้ท่าน ดร. ช่วยออกให้ความเห็นต่อบทสัมภาษณ์ของท่านพระอาจารย์พยอมซักหน่อยจะได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ
Dothex wrote:จกขท. นับถือศาสนาอะไรครับ
จะอธิบายและคุยกันตรงประเด็น
อย่างข้อนี้นะครับ ที่ผมเข้าใจอย่างคนนับถือศาสนาพุทธ (ผมไม่ได้จบ ดร. ครับ ผมเข้าใจอย่างนี้)
2.ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม
-- >>ทศพิธราชธรรม--> ถามว่าทศพิธราชธรรม มีหรือไม่ ตอบมี ถ้าอยากรู้มีอะไร บ้างไปหาอ่านเอา
-->>ในการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์จะใช้พระราชอำนาจโดยตรง แต่เมื่อคณะราษฎร์ทำการเปลี่ยนการปกครอง(คือการเอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์) เมื่อได้อำนาจมาแล้ว
แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมนั้น คือไม่ได้ใช้อำนาจที่ได้มาโดยยึดหลักทศพิธราชธรรม ไม่ทราบว่าเข้าใจไม่ครับ
[/quote]Jseventh wrote:5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
Solidus wrote:ไม่มีตรงไหนเลยที่ให้ไปนั่งท่องมนต์ ท่องคาถา นั่งสมาธิ เลย![]()
![]()
แต่ที่แน่ ๆ พระพุทธเจ้ายกสัมมาทิฏฐิเป็นประธานนะครับ เพราะถ้าเริ่มต้นด้วยความเห็นผิดแล้ว มันก็พาผิดกันหมด
คนไกล wrote:pornchokchai wrote:Dothex wrote:pornchokchai wrote:คนไกล wrote:จขกท ต้องการอะไรหรอ อย่าดึงพระที่ไม่ได้แสดงตนว่าเอียงสีไหนมายุุ่งกับเรื่องการเมืองดีกว่า หรือถ้าจะให้ดีคุณ ด๊อกเตอร์ ช่วยเขียนให้ครบทุกรูป ทุกวัดเลยจะดีมากๆ
Logic คุณนี่เพี้ยน ๆ นะครับ ควรคิดใหม่ครับ
จขกท. คงมีปัญญาที่เป็นเลิศ ถึงตีความหลักธรรม ได้กว้างและรู้แจ้ง ผมคนไทย ปัญญาน้อย ครับ
ก็เลยไม่รู้ว่าหลักธรรมที่ จขกท. ที่จะชี้ให้เห็นคือ อะไร และที่โต้แย้งกัน นั้น เนื้อหาหลักธรรมเป็นอย่างไร และหลักธรรมที่ถูกต้องเป็นอย่างไร รบกวน จขกท. ยกตัวอย่างและช่วยอธิบายให้ด้วยครับ จะได้กระจ่าง จะเป็นพระคุณยิ่ง
เอาง่าย ๆ นะครับ ผมวิจารณ์มหาเขาไป 9 ข้อ คุณเห็นด้วยหรือไม่ ข้อไหน ก็ว่ามาครับ อย่าไปท้าวความ
ไม่มีความเห็นว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เพราะ ไม่เช้าใจในตัวคุณ ด๊อกเตอร์ ไงละค่ะ ทุกๆเรื่องมันต้องมีการท้าวความทั้งนั้นแหละค่ะ ผู้อ่านถึงจะเข้าใจ อ่านตอนจบเลยเนี่ย โดยส่วนตัวแล้วไม่เข้าใจจริงๆค่ะ
mr_satan wrote:เอาเป็นว่าผมชอบท่านมหาแล้วกันผมว่าท่านพูดถูก
ผมว่าความคิดคุณดอกเตอร์แปลกๆ ทุกข้อเลย ไม่อธิบายขี้เกียจคิดว่าอธิบายไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ใช่่ว่าไม่ฉลาดนะแต่คุณตาบอดสี มองไม่เห็นหรอก
ทำเลือกง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมครับ งง
pornchokchai wrote:Moon wrote:อ่านมาหลายวันแล้ว (เพราะโดนแบน) บอกตรงๆ ไม่มีปัญญาจะโต้แย้ง ดร.จริงๆ
เอาเป็นว่า ผมรบกวนขอให้ท่าน ดร. ช่วยออกให้ความเห็นต่อบทสัมภาษณ์ของท่านพระอาจารย์พยอมซักหน่อยจะได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ
ตอบ
ตอนนี้เราคุยเรื่องนี้ คุณจะให้ผมไปนอกเรื่องหรือครับ?
อย่างนี้เป็นการพาลพาโลนะครับ
สัมมาทิฏฐิ การเข้าใจที่ถูกต้องมันเป็นแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลตรงไหนมิทราบครับ คุณจะแก้ปัญหาเรื่องไหนคุณก็ต้องเข้าใจเรื่องนั้นให้ถูกต้องซะก่อน เอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจมันเป็นสัมมาทิฏฐิทุกเรื่องรึเปล่าล่ะครับ ใช้กับบางเรื่องมันเป็นมิจฉาทิฏฐินะครับ เพราะมันไม่ได้แก้ปัญหา แต่เป็นการหนีปัญหา ถ้าคนมีสัมมาวาจา ไม่พูดให้ร้ายกันปัญหามันจะเกิดรึเปล่าครับ ถ้าคนมีสัมมากัมมันตะ เคารพกฎหมายปัญหาจะเกิดไหมครับ สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้แก้ต้นเหตุของปัญหาหรือครับ หรือว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ไม่ได้เกิดจากคนทำผิดกฎหมาย พูดจาใส่ร้ายกัน เห้นผิดเป็นชอบpornchokchai wrote:Solidus wrote:ไม่มีตรงไหนเลยที่ให้ไปนั่งท่องมนต์ ท่องคาถา นั่งสมาธิ เลย![]()
![]()
แต่ที่แน่ ๆ พระพุทธเจ้ายกสัมมาทิฏฐิเป็นประธานนะครับ เพราะถ้าเริ่มต้นด้วยความเห็นผิดแล้ว มันก็พาผิดกันหมด
ตอบ
ที่ผมเขียน
5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
คือมหาเขาพูดแบบ "พูดอีกก็ถูกอีก" ตามตำราว่างั้น ผมเลยบอกว่า "เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา" ครับ
pornchokchai wrote:Dothex wrote:จกขท. นับถือศาสนาอะไรครับ
จะอธิบายและคุยกันตรงประเด็น
อย่างข้อนี้นะครับ ที่ผมเข้าใจอย่างคนนับถือศาสนาพุทธ (ผมไม่ได้จบ ดร. ครับ ผมเข้าใจอย่างนี้)
2.ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม
-- >>ทศพิธราชธรรม--> ถามว่าทศพิธราชธรรม มีหรือไม่ ตอบมี ถ้าอยากรู้มีอะไร บ้างไปหาอ่านเอา
-->>ในการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์จะใช้พระราชอำนาจโดยตรง แต่เมื่อคณะราษฎร์ทำการเปลี่ยนการปกครอง(คือการเอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์) เมื่อได้อำนาจมาแล้ว
แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมนั้น คือไม่ได้ใช้อำนาจที่ได้มาโดยยึดหลักทศพิธราชธรรม ไม่ทราบว่าเข้าใจไม่ครับ
ตอบ
อันนี้เป็นการเล่นคำพูดให้ดูดีครับ กษัตริย์ในประวัติศาสตร์ ก็ใช่ว่ามีทศพิธราชธรรมกันทุกพระองค์ คณะราษฎร์หรือรัฐบาลหลายชุดก็ตั้งใจดีกับชาติ แต่ก็อาจมีปัญหาบ้าง อย่าติเรือทั้งโกลน หรืออย่าเห็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในสมัยโบราณดี พ้นสมัยไปนานแล้วครับ
Dothex wrote:pornchokchai wrote:Dothex wrote:จกขท. นับถือศาสนาอะไรครับ
จะอธิบายและคุยกันตรงประเด็น
อย่างข้อนี้นะครับ ที่ผมเข้าใจอย่างคนนับถือศาสนาพุทธ (ผมไม่ได้จบ ดร. ครับ ผมเข้าใจอย่างนี้)
2.ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม
-- >>ทศพิธราชธรรม--> ถามว่าทศพิธราชธรรม มีหรือไม่ ตอบมี ถ้าอยากรู้มีอะไร บ้างไปหาอ่านเอา
-->>ในการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์จะใช้พระราชอำนาจโดยตรง แต่เมื่อคณะราษฎร์ทำการเปลี่ยนการปกครอง(คือการเอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์) เมื่อได้อำนาจมาแล้ว
แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมนั้น คือไม่ได้ใช้อำนาจที่ได้มาโดยยึดหลักทศพิธราชธรรม ไม่ทราบว่าเข้าใจไม่ครับ
ตอบ
อันนี้เป็นการเล่นคำพูดให้ดูดีครับ กษัตริย์ในประวัติศาสตร์ ก็ใช่ว่ามีทศพิธราชธรรมกันทุกพระองค์ คณะราษฎร์หรือรัฐบาลหลายชุดก็ตั้งใจดีกับชาติ แต่ก็อาจมีปัญหาบ้าง อย่าติเรือทั้งโกลน หรืออย่าเห็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในสมัยโบราณดี พ้นสมัยไปนานแล้วครับ
คุณเข้าใจประเด็นผิดหรือเปล่า "พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม" พูดถึงประโยคนี้ครับ
แล้วที่คุณบอกว่า " กษัตริย์ในประวัติศาสตร์ ก็ใช่ว่ามีทศพิธราชธรรมกันทุกพระองค์ " ไม่ไดพูดถึงว่า กษัตริย์ในประวัติศาสตร์ มีหรือไม่มี ทศพิธราชธรรม
แต่พูดถึงว่า คณะราษฎร์ ไม่ไดเอาหลักของทศพิธราชธรรม มาใช้เมื่อได้อำนาจ
Gop wrote:ไม่ตอบความเห็นผมบ้างเหรอครับ คุณเจ้าของกระทู้???