เปิดประวัติ ปราสาทพระวิหารด้วยความสัตย์จริง ไม่เคยคิดที่จะขุดคุ้ย ข้องแวะ หรือ แตะต้องปมปัญาที่เกี่ยวข้อง
กับ ปราสาทพระวิหาร อันเนื่องจากปมปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และยัง
เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าความ
รับผิดชอบจะสามารถกระทำได้ จึงเลี่ยงที่จะนำเสนอถึงปมปัญหาดังกล่าวในทุก ๆ
กรณี ด้วยเกรงว่าข้อความใด ๆ อาจจะส่งผลในด้านลบ ซึ่งมิใช่สิ่งที่พึงให้เกิดขึ้น
ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีการถกเถียงกันหลากหลายมุมมอง ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
ดังกล่าว จึงใคร่ขอนำเสนอเรื่องราว ปราสาทพระวิหาร เท่าที่จะสามารถนำเสนอได้
ข้อความทุก ๆ ข้อความที่ปรากฎ ได้มาจากข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง นำมาประมวลผล
โดยจิตวิเคราะห์ส่วนตัว จึงเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวที่นำมาบอกเล่าเท่านั้น
ด้วยความเคารพ

“
ปราสาทพระวิหาร “ ชื่อเดิมที่บันทึกไว้ในศิลาจารึกของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑
ที่โคปุระของปราสาทพระวิหาร (จารึกปราสาทเข้าพระวิหาร ๔, วารสารศิลปากร
ปีที่ ๕๐, ฉบับที่ ๕ กย – ตค ๒๕๕๐) คือ “
ศรีศิขรีศวร “ ซึ่งเป็นชื่อ “
ศิวลึงค์ ”
ที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ทรงสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. ๑๕๖๑ และนำมาประดิษฐาน
ไว้ ณ ศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่อถวาย พระศิวะ ในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
บริเวณผาเป้ยตาดี ของ เทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นเทือกเขาที่กั้นระหว่างพรมแดน
ประเทศไทยและกัมพูชา ตามลักษณะภูมิศาสตร์
ภายหลังรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ต่อเนื่องรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒
ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๕๖ ถึงหลังปี พ.ศ. ๑๖๘๘ ศาสนสถาน “ ศรีศิขรีศวร “
เป็นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของขอมโบราณ ตามหลักฐานที่ปรากฎใน ศิลาจารึก
ปราสาทพระวิหาร หลัก K.383 ซึ่งจารึกเรื่องราวของศาสนสถานแห่งนี้ และประ
วัติพราหมณ์ในราชสำนักชื่อว่า “
ทิวากรบัณฑิต “

หลังรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ศาสนสถาน ศรีศิขรีศวร ได้ถูกลดบทบาทลง
เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนสถานแห่งนี้ ไม่เคยปรากฏในศิลาจารึกใด ๆ อีกเลย อาจ
มีสาเหตุมาจากภาวะความไม่สงบทั้งภายใน ประเทศ ทั้งการแย่งชิงราชบัลลังค์
และ สงครามระหว่างอาณาจักรขอม กับ อาณาจักรจามปา ทำให้ต้องเสียเมือง
พระนครให้กับจามปา ศาสนสถานศรีศิขรีศวร หรือ ปราสาทพระวิหาร จึงค่อย ๆ
เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวขอมโบราณ
ภายหลังพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แย่งชิงเมืองพระนครคืนมาจากจามปา และทรง
สถาปนาเป็น “ เมืองพระนครศรียโศธรปุระที่ ๒ “ และด้วยสาเหตุที่ว่า พระเจ้า
ชัยวรมันที่ ๗ ทรงนับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่
ทำให้ศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ภายในราชสำนักค่อย ๆ ลดความสำคัญลง
จนเลือนหายไปในที่สุด
ต่อมาเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเข้าตีเมืองพระนครศรียโศธรปุระ หรือ พระนครหลวง
ในปี พ.ศ. ๑๙๗๔ เป็นเหตุให้กัมพูชาย้ายราชธานีลงทางใต้ ซึ่งเป็นการสิ้นสุด
ยุคประวัติศาสตร์ขอมสมัยเมืองพระนคร เข้าสู่ประวัติศาสตร์หลังสมัยพระนคร
ศาสนสถาน ศรีศิขรีศวร กลายเป็นเพียงปราสาทร้างกลางป่าเขา มิได้รับการอุป
ถัมภ์จากราชสำนักอีกเลย
จวบจนกระทั้ง ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ( ร.ศ. ๑๑๘ ) พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง-
สรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
( รัชกาลที่ ๕ ) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ มณฑลอีสาน เป็น
ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหาร และทรงสลักจารึกเพื่อเป็นหลักฐานการค้นพบไว้
บริเวณปราสาทว่า “
๑๑๘ สรรพสิทธิ “

ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของประเทศ
มหาอำนาจ ฝรั่งเศสขยายอำนาจเข้าครอบครองอินโดจีน ได้ทำสนธิสัญญายก
ดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศส เพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ และ อธิปไตย ของ
ประเทศเอาไว้ ฝรั่งเศสทำแผนที่ขีดเส้นพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้น โดย
ระบุว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตประเทศไทย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ มีการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม ฉบับปี ๒๔๔๗ ซึ่งใน
ครั้งนี้ ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นใหม่ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยร่วมจัดทำ
ด้วย และมิได้เป็นไปตามเส้นสันปันน้ำ อันเป็นหลักสากล ทำให้เส้นพรมแดน
ที่ฝรั่งเศสกำหนดขึ้นใหม่ ระบุให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตกัมพูชา ซึ่งเจ้า
หน้าที่ของไทยในยุคสมัยนั้น มิได้ทักท้วง ด้วยเกรงว่า ฝรั่งเศสจะหาเรื่องเข้า
ยึดประเทศไทย
การที่ไทยมิได้ทักท้วงครั้งนี้ กลับกลายเป็นข้อกล่าวอ้างในคำพิพากษาของ
ศาลโลกในอีก ๕๕ ปีต่อมา ว่า ประเทศไทยยอมรับแผนที่ฉบับนี้ เสมือนว่า
ประเทศไทยยอมรับว่า ปราสาทพระวิหาร อยู่ในเขตของกัมพูช จึงพิพากษา
ให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา
และ แผนที่ฉบับเดียวกันนี้เอง กัมพูชาได้นำมาประกอบการขอขึ้นทะเบียน
มรดกโลกในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ อันนำมาซึ่งปมปัญหาที่ยังไม่อาจหาข้อสรุป
ได้ในปัจจุบัน
ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ช่วงสงครามอินโดจีน สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำ
การเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสยอมคืน ไชยบุรี, จำปาศักดิ์,
เสียมราฐ และ พระตะบอง ให้กับประเทศไทย ในท้ายที่สุด ไทยก็ต้องยอม
ยกดินแดนดังกล่าวคืนให้ฝรั่งเศส ภายหลังญิ่ปุ่นแพ้พ่ายสงครามโลกครั้งที ๒
(พ.ศ. ๒๔๘๘) เพื่อปรับสถานะมิให้อยู่ในภาวะแพ้สงครามเช่นเดียวกับญี่ปุ่น
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ฝรั่งเศสอยู่ในภาวะแพ้สงครามที่เดียนเบียนฟู จำต้อง
ถอนกองกำลังทหารออกจากเวียดนาม ไทยจึงส่งเจ้าหน้าที่ทหารเข้าครอบ
ครองประสาทพระวิหารอีกครั้ง และในปีเดียวกันนี้ กัมพูชาได้รับเอกราชจาก
ฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ เวียดนาม และ ลาว
เจ้านโรดมสีหนุ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น ได้เรียกร้องขอคืนปราสาท
พระวิหารจากไทย ซึ่งไทยได้ปฏิเสธมาโดยตลอด อันเนื่องมาจาก ตามหลัก
สากล พิจารณาตามเขตเส้นสันปันน้ำแล้ว ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตไทย
กลายเป็นปมปัญหาระหว่าง ๒ ประเทศ ในวันที่ ๒๔ พฤศิจกายน ๒๕๐๑
ไทยและกัมพูชาจึงประการปิดพรมแดน

ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒ เจ้านโรดมสหนุ ได้ทำการยื่นฟ้องร้องไทยต่อ
ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ต่อมาในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕
ศาลโลกพิพากษาให้ กัมพูชา ชนะคดี ด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง โดยตัด
สินให้
ปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา สร้างความเจ็บปวดให้กับชาวไทยทั่วทั้งประเทศ ซึ่งผลของคดีครั้งนี้ทำให้
ไทยต้องเสียดินแดนบางส่วนไปพร้อมกับ ปราสาทพระวิหาร
แต่ถึงกระนั้น รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประ
ท้วงคำตัดสินของศาลโลก ต่อองค์การสหประชาชาติ สงวนสิทธิที่จะเอาเขา
พระวิหารคืนจากกัมพูชา จอมพลสฤษดิ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่ง ความว่า
“
...ด้วยเลือดและน้ำตา...
สักวันหนึ่ง เราจะต้องเอาเข้าพระวิหารคืนมาให้จงได้...”

แต่ในปัจจุบัน มวลชนบางกลุ่ม บางคน ที่มีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย และ
/หรือ สัญชาติอื่น กลับสนับสนุน และ พร้อมที่จะยกดินแดนที่อยู่ภายใต้
อธิปไตยของเราให้กับเพื่อนบ้าน เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว เครือญาติ
และพรรคพวก พี่น้อง
โดยหลงลืม น้ำตา ความเจ็บปวดของชาวไทยเมื่อครั้งที่ผ่านมา อย่างไม่น่า
ให้อภัย หรือ เพราะเค้าเหล่านั้น หลงลืมไปแล้วว่า
เค้าก็คือ คนไทยคนหนึ่ง ที่มีหน้าที่ต้องปกปักรักษาแผ่นดินนี้ไว้ด้วยชีวิต....