ongard370 wrote:ไม่ได้เข้ามาตอบ...แต่อยากถาม เคารพผ้าเหลือง...คืออะไร
โดยส่วนตัว เคารพแต่พระที่ปฏิบัติชอบ
ต้องเคารพทุกคนที่ห่มเหลืองหรือ![]()
![]()
ต้องเคารพคนห่มเหลือง...ที่ถือธงเย้วๆๆนำหน้าม๊อบหรือ![]()
![]()
ต้องเคารพคนห่มเหลือง(หรือห่มแดง)...ที่เอาเลือดไปสาดใส่คนอื่นหรือ![]()
![]()
แล้วเหตุการณ์ต่างกรรมต่างวาระ...การกระทำที่เหมือนกันแต่เหตุต่างกันต้องแสดงความเห็นเหมือนกันหรือ![]()
![]()
สุดท้าย...ความชอบธรรมวัดกันที่จำนวนคนเป็นแสนๆๆหรือ![]()
pornchokchai wrote:mr_satan wrote:เอาเป็นว่าผมชอบท่านมหาแล้วกันผมว่าท่านพูดถูก
ผมว่าความคิดคุณดอกเตอร์แปลกๆ ทุกข้อเลย ไม่อธิบายขี้เกียจคิดว่าอธิบายไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ใช่่ว่าไม่ฉลาดนะแต่คุณตาบอดสี มองไม่เห็นหรอก
ทำเลือกง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมครับ งง
ตอบ
ความศรัทธาอาจทำให้เราหลงนะครับ
eastisred wrote:pornchokchai wrote:mr_satan wrote:เอาเป็นว่าผมชอบท่านมหาแล้วกันผมว่าท่านพูดถูก
ผมว่าความคิดคุณดอกเตอร์แปลกๆ ทุกข้อเลย ไม่อธิบายขี้เกียจคิดว่าอธิบายไปคุณก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ใช่่ว่าไม่ฉลาดนะแต่คุณตาบอดสี มองไม่เห็นหรอก
ทำเลือกง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมครับ งง
ตอบ
ความศรัทธาอาจทำให้เราหลงนะครับ
ขอเพิ่มเติมที่เน้นเป็น สี ฟ้านะครับ
พระพุทธเจ้า ได้ทดลอง แล้วว่า การทรมาน ร่างกาย ก็ดี การเสพ ผ่าน ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กายก็ดี มิใช่ หนทาง ไปสู่ที่เย็น คือนิพพานครับ
และพระองค์มิได้ใช้ศรัทธาเป็น ตัว นำ ครับ แต่ทรงใช้ หลักการพิจารณาเป็นตัวนำครับ
การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้
การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหา
ตามอริยสัจ 4
เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา
การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบ ชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม
และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
Gop wrote:เอาให้ชัดๆ ซักข้อก็ได้นะครับ คุณพรโชคชัย
สิ่งที่คุณเขียน มันเหมือนคนพูดจาไม่รู้เรื่องครับ
pornchokchai wrote:อย่าลืมนะครับ
ศาสนาพุทธของเรา เราจะบรรลุได้ ไม่ใช่ด้วยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชา
ter162525 wrote:pornchokchai wrote:ter162525 wrote:ขอโทษครับ เรื่องอื่นผมอาจจะไม่รู้แต่ผมอยากจะบอกว่า อริยสัจ 4 ศีล สมาธิ ปัญญา สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ถ้าทุกคนปฎิบัติจริง
และที่คุณบอกว่า"เอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบ ชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว"
นั้นเพราะเขาไม่ได้ใช้ปัญญา ครับ ไม่ได้ใช้ปัญญาในการพิจราณา ให้เห็นจริงว่าอะไรเป็นเหตุของความกลัดกลุ้มนั้น ละเหตุนั้น คุณเคยนั้งคิดไหมว่าตัวเองต้องตาย ตายแล้วจะเอาอะไรติดตัวไปได้ ทั้งชื่อเสียงเงินทองที่ดินทรัพย์สมบัติ ทั้งหลาย ถ้าไม่เคยผมแนะนำ ครับลองคิดพิจราณา ทุกลมหายใจ ว่าตัวเองต้องตาย เราอาจจะตายวันนี้วัน พรุ่งนี้ หรือตอนนี้ก็ได้ ถ้าเราตายตอนกำลังโลภเราอาจจะไปเป็นเปรตก็ได้ เป็นต้น
ศีล ถ้าทุกคนมีผมบอกได้คำเดียวครับว่า ประเทศนี้ก็น่าอยู่ขึ้นมากแล้ว และแต่ละศาสนาเขามีศีลเป็นของตัวเองครับ ศีลคือข้อบังคับเพื่อความดีงาม (ศีล 5 ข้อ ทำได้หมดหรือยังครับ)
สมาธิ เอาไว้ข่มจิดใจ ถ้าบอกว่าศีลเป็นข้อบังคับแล้วจิดใจอยากจะทำอยู่ก็ใช้ตัวนี้ครับ ข่มจิตใจไม่ให้อยากเพราะสมาธิเป็นการตั้งจิตให้มั่นในเรื่องเดียว แต่ต้องใช่ตัวสุดท้าย
ปัญญา ปัญญาเหมือนเป็นตัวที่ขุดรากถอนโคน การใช้ปัญญาเพื่อพิจราณาให้เห็นว่า มันเป็นแบบนี้จริงนะ เราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่จิตเท่านั้น บ้าน ที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง มันก็เอาไปไม่ได้แม้แต่เงินปากผีสัปหร่อ ยังงัดเอาไป คุณจะรักษาสิ่งที่มันมีอยู่จริง หรือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงละครับ ตั้งแต่เกิดจนตายจิตอยู่กับคุณตลอด แต่ทรัพย์สมบัติต่างๆ ละอยู่กับคุณตลอดไหม ลองคิดว่าคนเราถ้าไม่โลภอยากได้ของคนอื่นคุณจะวางสมบัติของคุณไว้ตรงไหนก็ไม่หาย สิครับว่าบ้านเมืองจะน่าอยู่แค่ไหน อันนี้แค่ข้อเดียวเท่านั้น
ศีลข้อ 2 อทินนาทาน ควมคุม สมาธิสะกดความโลภในจิตใจ ปัญญาพิจารณาว่าเราตายไปก็เอาไปไม่ได้ จะอยากได้ของเขาทำไม
อันนี้ผมแค่ยกตัวอย่างแค่ข้อเดียวเท่านั้น บ้านเมือง ประเทศชาติ โลกมันจะน่าอยู่ขนาดไหน ตำรวจไม่ต้องมีก็ยังได้
ถ้าทุกคนเพียงมีแค่ ศีล สมาธิ ปัญญา จริง ย้ำนะครับ ไม่ใช่การตอบแบบกำปั้นทุบดินเลย
สุดท้าย สิ่งที่คุณไม่เคยลองอย่าพึ่งบอกว่ามันใช้ไม่ได้ครับ ส่วนข้ออื่นก็แล้วแต่ความคิดของคุณผมไม่ขอตอบ เพราะแค่ข้อนี้ก็ตอบได้หมดแล้ว
อ่านตามนี้อีกทีนะครับ
5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
แล้วจะให้ทำยังไงครับ ก็ปัญหามันอยู่ที่คน คุณจะแก้คนยังไง พระพุทธเจ้ายังไม่สามารถแก้ไขคนได้ทุกคน ท่านก็บอกแต่ว่าตัวท่านเป็นเพียงป้ายบอกทางเท่านั้น ใครเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อท่านก็ทำอะไรไม่ได้
ถ้าบอกให้นำพาแก้ไขต้นเหตุของปัญหา คุณจะแก้ไขเขายังไงครับ มีบางคนรวยเป็นพันๆล้าน แต่กูอยากได้เป็นหมื่นแสนๆล้าน ได้แล้วไม่พอ อยากได้ประเทศอีก ได้ประเทศมันก็คงอยากเป็นจ้าวโลกอีก ถ้าเป็นได้ มันก็จะไปยึดดาวอื่นอีก คุณจะแก้ไขมันยังไงครับ
ให้มานั่งคิดไหมครับว่าทำไมมันไม่รู้จักพอนะเอานั้นเอานี้ให้มันไปเยอะๆนะจะได้หมดปัญหา ถ้ามันยังไม่พอล่ะ หรือจะเอากฎหมายป้องกัน กันดีนะ พอมันรวมพวกแบบมันได้มาก พวกก็แก้กฏหมายซ่ะ ใครจะทำไม ท่าน ว.ท่านก็เป็นเพียงป้ายบอกทางแล้วแต่ใครจะเชื่อหรือไม่แค่นั้น ระบบจะดีวิเศษแค่ไหนแต่คนใช้ไม่มีศีลมีธรรมมันก็แค่นั้น
ter162525 wrote:ระบบจะดีวิเศษแค่ไหนแต่คนใช้ไม่มีศีลมีธรรมมันก็แค่นั้น
Gop wrote:เอาให้ชัดๆ ซักข้อก็ได้นะครับ คุณพรโชคชัย
ดูทีละประโยคในข้อ ๕ นะครับการพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้
ประโยคนี้เป็นข้อวิจารณ์ของคุณว่า ที่ท่านมหาเสนอการแก้ปัญหาด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเป็นการตอบแบบครอบจักรวาล อันนี้พอเข้าใจได้ แต่ดูประโยคถัดไปนะครับการพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหา
ตามอริยสัจ 4
ไม่ทราบว่า นี่คือผลที่ตามมา( consequence ) จากประโยคแรกหรือครับ![]()
![]()
คุณพูดเหมือนกับว่า การ ใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา คือการ ไม่แก้ปัญหาที่สาเหตุตามหลักอริยสัจ ๔ !!
มันคนละเรื่องเลยครับ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นแนวทางการปฏิบัติ แต่อริยสัจ ๔ คือสภาวธรรม ที่ต้องใช้การพิจารณา เพื่อให้เข้าใจและเกิดปัญญาอย่างแท้จริง ถ้าให้เปรียบเทียบกับการเรียน อริยสัจ ๔ คือ เนื้อหาวิชา ส่วนศีล สมาธิ ปัญญา คือแนวทางในการเข้าถึงเนื้อหาวิชาครับ ดังนั้น เราต้องมีการปฏิบัติที่ถูกต้องก่อน ถึงจะเข้าถึงเนื้อหาวิชาได้อย่างถูกต้องครับ สรุปว่า ต้องใช้ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเข้าถึงอริยสัจ ๔ ครับ ไม่ใช่ใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วทำให้ไม่เข้าถึงปัญหา อย่างที่คุณบอกครับ ไม่มีเหตุผลเลย
แล้วคุณก็ตามด้วยประโยคนี้เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา![]()
ไม่ทราบว่าศีล สมาธิ ปัญญา เกี่ยวอะไรกับการท่องมนต์ ท่องคาถาครับ![]()
![]()
![]()
ผมชักสงสัยแล้วว่า คุณเข้าใจสิ่งที่ตัวเองกำลังเขียนอยู่หรือเปล่า ??
ดูประโยคถัดมากันต่อนะครับการแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบ ชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม
อันนี้ยิ่งไปกันใหญ่เลยครับประโยคนี้ มันเกี่ยวเกี่ยวกับคำพูดท่านมหาที่ว่า การแก้ปัญหาต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา ตรงไหนครับ "การแก้ปัญหาแบบข่มใจ" เกี่ยวอะไรกับการแก้ปัญหาด้วย ศีล สมาธิ ปัญญาครับ ?? ส่วนเรื่องการนั่งสมาธิแล้วสงบชั่วคราว ก็เป็นเรืองธรรมดา ของคนที่เข้าถึงแค่สมาธิ แต่ยังไม่เข้าถึงปัญญา
ผมงง ว่าคุณเขียนมาแต่ละประโยค มันเกี่ยวกับสิ่งที่คุณวิจารณ์ตรงไหน?? แล้วดูข้อความสรุปของคุณนะครับ
และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว
บอกตรงๆนะครับ ผมอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วอยากถามว่า คุณเขียนอะไรของคุณอยู่ครับ?? เอาแค่ข้อความก่อน คุณสรุปเอาดื้อๆว่า คนที่นั่งสมาธิแล้วสงบชั่วคราวนั้น เป็นการทำให้ศาสนากลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว![]()
![]()
![]()
ไม่เป็นไรครับ อันนี้คงเป็นความเห็นของคุณ แต่ผมเห็นแย้งว่า การที่จิตใจสงบชั่วคราวนั้นก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย นอกจากนี้ ศาสนาพุทธได้สอนให้เข้าถึงความสงบอย่างถาวรไว้ด้วย ( แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก พระอรหันต์ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ) ดังนั้นคนที่ทำจิตให้สงบได้ชั่วคราว ก็ถือว่าเป็นคนเข้าใจในศาสนาได้ระดับหนึ่ง ซึ่งผมมองว่าดีกว่าไม่เข้าใจเลย และไม่รู้ว่าจะจัดการกับความกลัดกลุ้มอย่างไรแม้เพียงชั่วคราว แต่ถ้าคุณมองว่าเป็นการทำให้ศาสนากลายเป็นยาเสพติด ก็ตามสบายครับ
กลับมามองภาพรวมอีกครั้ง ประโยคสรุปของคุณมันเกี่ยวกับสิ่งที่คุณวิจารณ์ตรงไหนครับ? ตกลงคุณจะวิจารณ์อะไรครับ เรื่องการนั่งสมาธิ หรือว่าจะวิจารณ์บทสัมภาษณ์กันแน่ ??
สิ่งที่ผมรู้สึกอัศจรรย์ที่ได้อ่านข้อนี้ก็คือ แต่ละประโยคมีความหมายของตัวมันเอง แต่พอเอามาเรียงกัน กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายเลยครับ ผมไม่แน่ใจว่า คุณเข้าใจสิ่งที่คุณเขียนหรือเปล่า![]()
แต่ละประโยคที่คุณเอามาเรียงกัน มีแต่ความไม่สมเหตุสมผล เหมือนเอาอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาวางไว้ด้วยกัน ถ้าจะให้วิจารณ์สั้นๆสำหรับข้อนี้นะครับ ขอบอกว่า สิ่งที่คุณเขียน มันเหมือนคนพูดจาไม่รู้เรื่องครับ
pornchokchai wrote:Gop wrote:ไม่ตอบความเห็นผมบ้างเหรอครับ คุณเจ้าของกระทู้???
คุณควรอำนวยความสะดวกสักนิด คุณวิจารณ์ว่าอะไรตรงไหน พูดซ้ำอีกทีก็ได้ นี่ตั้งหลายหน้า อาจตกหล่นไปบ้าง ว่ามาใหม่เลยครับ ว่าคุณเห็นต่างจากกระทู้ผมตรงไหนนะครับ
คนไกล wrote:70 คำต่อนาที![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
pornchokchai wrote:ter162525 wrote:ระบบจะดีวิเศษแค่ไหนแต่คนใช้ไม่มีศีลมีธรรมมันก็แค่นั้น
จขกท.ตอบหน่อยครับว่าจะให้ทำไงอิอิอิ
pornchokchai wrote:เคารพในผ้าเหลือง แต่ไม่ใช่วิจารณ์พระไม่ได้นะครับ
3. เรื่องที่ว่าประชาชนไม่มีศักยภาพในการตัดสินใจ โดยยกตัวอย่างความเชื่อแต่เดิมว่าโลกแบน ถ้าให้ประชาชนผู้ไม่รู้วิทยาการออกเสียงในสมัยโบราณว่าโลกกลมหรือแบบ ส่วนใหญ่ก็ต้องออกเสียงว่าโลกกลม กรณีศิลปวิทยาการนั้น เราไม่สามารถถามเสียงส่วนใหญ่ เช่นในขณะนี้เราก็คงไม่สามารถถามคนส่วนใหญ่ว่าจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ได้อย่างไร ต้องถามนักวิทยาศาสตร์ต่างหาก แต่ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นเรื่องของปุถุชน ทุกคนรู้เท่าทันกัน เสียงส่วนใหญ่ย่อมถูกต้องเสมอ <1>
เสียงส่วนใหญ่คือสัจธรรม อย่างผมทำอาชีพการประเมินค่าทรัพย์สิน ผมทราบความจริงอย่างหนึ่งว่า ประชาชนส่วนใหญ่คือเสียงสวรรค์ คือความถูกต้อง ในตลาดเปิดทั่วไป ถ้าคนส่วนใหญ่ซื้อบ้านในราคาหนึ่ง ราคานั้นก็จะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ในความเป็นจริงอาจมีข้อมูลที่สูงหรือต่ำผิดปกติ (outliers) อยู่บ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย อย่างไรก็ตาม “กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น” เช่น เสียงส่วนใหญ่ของโจรย่อมใช้ไม่ได้ แต่โจรก็ยังเป็นคนส่วนน้อยในสังคม