นายกอภิสิทธิ์ยืนยัน ไม่ใช้แผนที่ระวางดงรักที่มีปัญหา...แต่ยึดหลักสันปันน้ำ ตามที่ MOU 43 ซึ่งอ้างถึง สนธิสัญญา 1904,1907

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขียนข้อความถึงประชาชน หัวข้อ..."ปรับความสมดุลให้ประเทศ คืนความเป็นปรกติสุขสู่สังคมไทย" เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2553 ผ่านทางเฟซบุ๊ค...มีข้อความตอนหนึ่งว่า...
"ผมยืนยันอีกครั้งว่าเป้าหมายของกลุ่มพันธมิตรฯกับผมตรงกัน คือ การรักษาสิทธิและอธิปไตยของชาติ เราต่างกันเพียงแค่วิธีการเท่านั้น ผมจึงรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่ประเด็นนี้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทั้ง ๆ ที่เราล้วนมีเจตนาดีต่อบ้านเมือง
การแก้ปัญหาในเรื่องอาณาเขต ดินแดน เป็นหน้าที่ของรัฐบาล และผมก็ไม่มีวาระซ่อนเร้นหรือผลประโยชน์ทับซ้อนที่จะนำผลประโยชน์ชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว
การที่ผมยังเห็นว่าเอ็มโอยู 43 มีประโยชน์ไม่ได้เป็นเพราะมีอัตตากลัวเสียหน้าที่ต้องยกเลิกบันทึกข้อตกลงดังกล่าวซึ่งทำขึ้นในยุคที่คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีข้อเท็จจริงรองรับแล้วว่าเพราะมีเอ็มโอยู 43 กัมพูชาจึงไม่สามารถยื่นแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารต่อคณะกรรมการมรดกโลกได้ และผมได้เสนออย่างเป็นทางการกับทางสมเด็จฮุนเซนว่าทั้งสองประเทศต้องหาข้อยุติร่วมกันก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกจะมาถึงในเดือนมิถุนายนปีหน้า โดยย้ำจุดยืนประเทศไทยว่าเรายึดหลักสันปันน้ำและจะไม่ยอมให้กัมพูชาเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ๆป็นดินแดนของไทย ซึ่งเป็นการแสดงออกที่คณะกรรมการมรดกโลกต้องนำไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจในเดือนมิถุนายนปีหน้าด้วย ส่วนความกังวลเกี่ยวกับข้อเสียเปรียบที่กลุ่มพันธมิตรมีความหวาดกลัวแผนที่หนึ่งต่อสองแสนนั้น ผมก็พูดชัดเจนไปแล้วในการแลกเปลี่ยนความเห็นร่วมกันผ่านการถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ว่า แผนที่หนึ่งต่อสองแสนไม่สามารถนำมาใช้ในการจัดทำหลักเขตแดนได้ เนื่องจากในเอ็มโอยู 43 ระบุชัดเจนว่า แผนที่ที่จะนำมาใช้ต้องเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมระหว่างสยามและอินโดจีน แต่ศาลโลกได้มีคำพิพากษาแล้วว่าแผนที่หนึ่งต่อสองแสน เฉพาะระวางดงรักไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันฯ ดังนั้นแผนที่ดังกล่าวจึงนำมาใช้ในการจัดทำหลักเขตแดนตามเอ็มโอยู 43 ไม่ได้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็เคยทำหนังสืออย่างเป็นทางการชี้แจงกับทางกัมพูชาไปแล้ว
นอกจากนี้รัฐบาลยังปรับทีมงานเจรจาใหม่และให้นโยบายชัดเจนเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติว่าเรายึดหลักสันปันน้ำและแผนที่หนี่งต่อสองแสนที่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันฯเท่านั้น
ซึ่งไม่รวมแผนที่ระวางดงรักที่เป็นปัญหา
ผมจึงไม่คิดว่าการเจรจาภายใต้เอ็มโอยู 43 จะทำให้ไทยเสียเปรียบ แต่การมีเอ็มโอยู 43 ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีช่องทางเจรจาแทนการใช้กำลัง
การจะใช้กำลังทหารมาแก้ปัญหาไม่ยากหรอกครับ และคงจะทำให้ผมได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนส่วนหนึ่งที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเด็ดขาด แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นก็เท่ากับผมขาดความรับผิดชอบต่อประเทศ เพราะผลที่ตามมาไม่มีทางจบในระยะเวลาอันสั้น และผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณนั้น เราคงไม่อยากเห็นพี่น้องของเราต้องใช้ชีวิตท่ามกลางเสียงระเบิดและควันปืนไม่นับความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นกับประชาคมโลก
สิ่งที่ผมเดินหน้าในขณะนี้ คือ การให้กัมพูชาปฏิบัติตามเอ็มโอยู 43 โดยเฉพาะกรณีที่มีการรุกเข้ามาในพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ ผมเข้าใจดีถึงความเป็นห่วงของประชาชนที่อยากให้มีการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่โดยเร็ว และบางคนไปไกลถึงขั้นคิดว่าไทยเสียอธิปไตยไปแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ฯลฯ
ที่มา
บันทึกของ Abhisit Vejjajiva
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
3 ธันวาคม 2553


0000000000000
กระผมขอเรียนว่า MOU ๒๕๔๓ เป็นเครื่องมือที่ไทยกับกัมพูชาใช้ในการดำเนินการเรื่องเขตแดนระหว่างทั้งสองประเทศเพื่อหาว่า เส้นเขตแดนที่สยามกับฝรั่งเศสได้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วในอดีต ว่าอยู่ที่ใด กระผมหมายถึงตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ดังนั้น MOU ๒๕๔๓ จึงไม่ใช่ความตกลงเพื่อปักปันเขตแดน หรือเพื่อกำหนดหรือแบ่งเขตแดนกันใหม่ นอกจากนี้ MOU ๒๕๔๓ ยังเป็นกรอบของทั้งสองฝ่ายที่เสนอว่า จะใช้เอกสารใดบ้าง ดังนั้น เมื่อเป็นการเจรจาทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายจึงเสนอเอกสารหลักฐานที่ฝ่ายตนเชื่อว่าเป็นหลักฐานสำคัญ แม้ MOU จะมีการกำหนดแผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน ๑:๒๐๐,๐๐๐ เป็นหนึ่งในเอกสารตามข้อ ๑ (ค) ใน MOU ๒๕๔๓ แต่ก็มิได้หมายความว่าเป็นการยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวผูกพันฝ่ายไทยแต่อย่างใด ดังนั้น MOU ๒๕๔๓ จึงไม่ใช่การยอมรับแผนที่ระวางดงรักมาตราส่วน ๑: ๒๐๐,๐๐๐ แต่เป็นเพียงเอกสารหนึ่งในเอกสารหลาย ๆ ฉบับที่ต้องนำมาใช้ประกอบการพิจารณา ร่วมกับเอกสารสำคัญอีกสองฉบับ คือ อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ๑๙๐๔ (๒๔๔๗) และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๗ (๒๔๕๐) ซึ่งอาจเทียบเคียงได้กับกระบวนการในศาล กรณีการเสนอพยานหรือหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายสามารถเสนอได้ แต่มิได้หมายความว่า จะผูกมัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ต้องยอมรับพยานหรือหลักฐานนั้น หรือยอมรับความถูกต้องของพยานหรือหลักฐานนั้น
โดยในการดำเนินการตาม MOU ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการดำเนินการสำรวจภูมิประเทศจริง การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่คือภาพถ่ายทางอากาศมาตรวจสอบ ประกอบเอกสารต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความถูกต้องนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
2 พ.ย. 2553
ที่มา
คำกล่าวตอบของรัฐมนตรีว่าการฯ
ในการประชุมของรัฐสภาเพื่อพิจารณาบันทึกการประชุม
คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา รวม ๓ ฉบับ
๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓