สิ้นสุดการรอคอยครับ กระทู้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)”เสร็จเสียที คนที่ถามหาสตางค์ที่ขายได้ แต่เพราะยังขายไม่เสร็จ ยังไม่จ่ายสตางค์กัน ต้องรอให้ผ่านจากMOU43 และเริ่มMOU44ก่อน แล้วจะเห็นสตางค์ชัด
-การตั้งกระทู้เกี่ยวกับปราสาทพระวิหารครั้งนี้ ผมได้ไปหาเอกสารและบทความมาอ้างอิงด้วย เพื่อให้ผู้ที่สนใจจะได้ศึกษาข้อมูลและหลักฐานจากดัานของพันธมิตรบ้าง เนื่องจากแต่เดิม ผมจะตั้งกระทู้เรื่องนี้โดยการสรุปจากเนื้อหาที่ฟังมาจากเวทีพันธมิตรและสื่อของASTVแล้วจำได้ โดยไม่ได้อ้างอิงหลักฐานอื่นๆ คราวนี้จึงนับว่าครบถ้วนกว่าทุกครั้ง แหล่งอ้างอิงข้อมูลคือ
http://www.praviharn.net/ (อ.วัลย์วิภา จรูญโรจน์)
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000104829
-อีกประการหนึ่งที่จะขอแจ้งให้ทราบคือ ผมจะว่างตอนกลางคืนเท่านั้น และ กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ จึงอย่าได้ถามหาผมในช่วงกลางวัน ผู้ที่อยากสนทนา กรุณาทิ้งข้อความไว้ครับ แล้วผมจะมาสนทนาด้วย แต่ถ้าหลายคน ผมอาจตอบไม่ทัน ผมพิมพ์ช้าครับ โปรดเห็นใจ
-บทความนี้พยายามรวบรวมเนื้อหาที่สำคัญให้ครบถ้วน จึงยาวมาก แต่ผมได้แบ่งเนื้อหาเป็นตอนๆ เพื่อสะดวกในการเลือกดูเฉพาะเรื่องที่ท่านสนใจ
แต่อย่าพลาดตอนที่3ที่พูดเรื่องMOU43เด็ดขาด
ตอนที่1 ย้อนรอยอดีตตอนทำสัญญาและการเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000
ตอนที่2 เขมรเอาคดีขึ้นศาลโลก
ตอนที่3 การทำMOU2543 และผลของMOU2543ที่จะทำให้ไทยเสีย
ดินแดน
ตอนที่4 ข้อสังเกตและเรื่องอื่นๆที่จะยกมาให้เห็น
ตอนที่1
ย้อนรอยอดีตตอนทำสัญญาและการเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000
จากที่นี่
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000110822
-พ.ศ.2442 พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ค้นพบปราสาทพระวิหาร (เพิ่มเติม)
ย้อนกลับไปเมื่อ 106 ปีที่แล้ว สยามกับฝรั่งเศสได้ทำสนธิสัญญาปักปันเขตแดนลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สยามได้เสียดินแดนในส่วนของ หลวงพระบาง มโนไพร และจำปาศักดิ์ บนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส โดยสนธิสัญญาดังกล่าวได้กำหนดเขตแดนในย่านภูเขาดงรักภาคตะวันออกและย่าน อื่นๆ โดยกำหนดเอาไว้ว่า:
ข้อ 1 เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชา เริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาบจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส และเป็นไปตามเส้นขนานจากจุดนั้นในทางทิศตะวันออกจนกระทั่งถึงแม่น้ำ แปรก กำปง เทียม แล้วเลี้ยวไปทางด้านทิศเหนือไปพบกับเส้นตั้งฉากจากจุดบรรจบนั้นจนกระทั่งถึง ทิวเขาดงรักจากที่นั่นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำ ระหว่างลุ่มน้ำของ แม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่ง กับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง และสมทบกับทิวเขาภูผาด่าง โดยถือทวนน้ำขึ้นไปให้ถือแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนของอาณาจักรสยามตามข้อ 1 แห่งสนธิสัญญาฉบับวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1893
จากสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 ข้อ 1 แสดงให้เห็นว่า “ทิวเขาดงรัก” ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “ปราสาทพระวิหาร” ระบุเส้นเขตแดนอย่างชัดเจนว่าให้ใช้ “สันปันน้ำ”!!!
ต่อมาสยามกับฝรั่งเศสได้มีการทำสนธิสัญญาและพิธีสารแนบท้ายต่อกัน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เป็นการแลกแผ่นดิน โดยฝ่ายสยามยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส เพื่อที่จะแลกกับเมืองด่านซ้าย ตราด และเกาะทั้งหลายไปจนถึงเกาะกูดให้กลับมาเป็นของสยาม
ด้วยเหตุผลที่มีสนธิสัญญา 2 ฉบับที่มีการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินระหว่างสยามกับฝรั่งเศส จึงมีการตั้งเป็นคณะกรรมการผสมขึ้นจากตัวแทนฝ่ายสยามและฝรั่งเศสเพื่อสำรวจ และปักปันเขตแดนทางบก 2 ช่วงเวลา คือคณะกรรมการผสมชุดแรกที่เกิดขึ้นตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 และคณะกรรมการผสมชุดที่สองซึ่งเกิดขึ้นตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907
ผลจากรายงานการประชุมของคณะกรรมการผสม 2 ชุด พบว่ามีการสำรวจและกำหนดเส้นเขตแดนตามทิวเขาดงรักซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหารที่น่าสนใจตามลำดับเวลาดังต่อไปนี้
13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สยามกับฝรั่งเศสได้ทำสนธิสัญญาต่อกัน กำหนดให้สันปันน้ำเป็นเขตแดนบริเวณทิวเขาดงรัก
มกราคม ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) ได้มีการประชุมเป็น ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติงานสำรวจและกำหนดเขตแดนทางทิศตะวันออกของทิวเขาดงรักซึ่ง เป็นทิวเขาที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร
2 ธันวาคม ค.ศ. 1906 (พ.ศ. 2449) มีการประชุมตกลง กันว่าคณะกรรมการผสมจะขึ้นไปบนเขาดงรักจากที่ราบต่ำของกัมพูชา โดยผ่านขึ้นทางช่องเกน ซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันตกของพระวิหารและเดินทางไปทิศตะวันออกตามทิวเขาโดย อาศัยเส้นทางที่ ร้อยเอกทิกซีเอ กรรมการคนหนึ่งของฝรั่งเศสได้ตระเวนสำรวจเอาไว้เมื่อปี ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448)
18 มกราคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เป็นการประชุม ครั้งสุดท้ายของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดแรกเพราะปฏิบัติงานเสร็จสิ้น เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ ได้รายงานต่อรัฐมนตรีต่างประเทศในกรุงปารีสว่า ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากประธานฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการผสมว่า “การ ปักปันทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และว่าได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนขึ้นเป็นที่แน่นอนแล้วนอกจากในอาณาบริเวณ เสียมราฐ” การสำรวจและปักปันครบหมดแล้วย่อมแสดงว่าได้รวมถึงทิวเขาดงรักบริเวณปราสาทพระวิหารด้วย
20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ประธานได้ส่งรายงานไปให้รัฐบาลของตนระบุเอาไว้ว่า “ตลอดแนวเขาดงรักจนถึงแม่น้ำโขงการกำหนดเขตแดนไม่ได้ประสบความยุ่งยากใดๆ เลย”
คณะกรรมการผสมสรุปโดยไม่ต้องไปปักปันอะไรแล้วก็เพราะแนวสันปันน้ำ ซึ่งถูกระบุอยู่ในสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) ซึ่งใช้สำหรับเป็นเขตแดนตามทิวเขาดงรักนั้น “ชัดเจนตามธรรมชาติด้วยตัวมันเอง”
23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) สยามกับฝรั่งเศส ได้ลงนามในสนธิสัญญาและพิธีสารแนบท้าย เพื่อแลกแผ่นดินกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศส จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดที่ 2 เพื่อสำรวจในดินแดนที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่
พันเอกแบร์นารด์ ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการผสม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการยกร่างแสดงพรมแดนใหม่ โดยพรมแดนด้านตะวันตกที่ตกลงกันใหม่บรรจบกับดงรักพิธีสารได้กำหนดว่า:
“จากจุดที่กล่าวถึงข้างบนซึ่งตั้งอยู่บนสันเขาดงรัก เขตแดนทอดไปตามสันปันน้ำระหว่าง ลุ่มทะเลสาบใหญ่และแม่น้ำโขงทางหนึ่งและตามลุ่มแม่น้ำมูลอีกทางหนึ่ง และไปจดแม่น้ำโขงใต้ปักมูลที่ปากน้ำห้วยเดื่อ (ห้วยดอน) อันเป็นไปตามเส้นลากซึ่งคณะกรรมการปักปันคณะก่อนได้จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450)
อาศัยความบทแห่งสนธิสัญญานี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่อาจมองไปได้ว่าข้อตกลงของคณะกรรมการผสมภายใต้สนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447)อาจจะผิดแผกจากเส้นสันปันน้ำไปได้แต่ประการใด”
ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการลงนามในการแลกแผ่นดินตาม สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) แล้วก็ตาม แต่การยึดหลักสันปันน้ำบริเวณสันเขาดงรักไม่เปลี่ยนแปลงตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และไม่เปลี่ยนแปลงตามคณะกรรมการผสมชุดแรกได้ดำเนินการสำรวจไปก่อนหน้านี้อีก ด้วย
20 ธันวาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) พันเอกแบร์นารด์ ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการผสมฯ ได้ทิ้งพยานหลักฐานเป็นคำบรรยายซึ่งได้แสดงเอาไว้ในกรุงปารีสโดยได้บรรยาย ถึงงานปักปันเขตแดน 3 ครั้ง จาก ค.ศ. 1905 ถึง ค.ศ. 1907 ความตอนหนึ่งซึ่งมีความชัดเจนว่า:
“แทบทุกหนทุกแห่งสันปันน้ำประกอบเป็นพรมแดนและจะมีปัญหาโต้เถียงกันได้ก็แต่เพียงที่เกี่ยวกับจุดปลายสุดของทั้งสองด้านเท่านั้น”
แสดงว่าทิวเขาดงรักบริเวณรอบปราสาทพระวิหารซึ่งไม่ได้อยู่จุดปลายสุดทั้งสองด้านของสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนที่มีความชัดเจน
ด้วยเหตุผลนี้จึงสามารถสรุปได้ว่าคณะกรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนผสม สยาม-ฝรั่งเศส ทั้ง 2 ชุด ได้แบ่งเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารเสร็จสิ้นแล้ว โดยยึดหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาทุกประการ โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปปักปันหรือจัดทำหลักเขตแดนใดๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น
ส่วนพื้นที่ที่มีความไม่ชัดเจน และเริ่มเข้าสู่เป็นที่ราบนั้นต้องมีการปักปันและจัดทำหลักเขตแดนทางบก จึงเป็นที่มาของ 73 หลักเขตแดนทางบก ซึ่งเริ่มต้นหลักเขตแดนทางบกที่ 1 จากช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ แล้วจัดทำเรื่อยไปทางตะวันตกและลงไปทางทิศใต้ จนถึงหลักเขตที่ 73 ที่จังหวัดตราด ในขณะที่ไม่ปรากฏในรายงานการประชุมใดๆ ของคณะกรรมการผสมชุดที่ 2 เลยว่ามีการจัดทำหลักเขตแดนทางบกจากช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกไปจนถึงตัวปราสาทพระวิหารเลยไปถึงช่องบก จ. อุบลราชธานีแม้แต่น้อย เพราะมีสันปันน้ำเป็นแนวตลอดอย่างชัดเจน
จากข้อมูลทั้งหมดช่วยตอบข้อสงสัยดังนี้
การที่มีบางคนในเวบนี้อ้างว่า บริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของเขาพระวิหารไม่เคยปักปันกันเลย จึงต้องปักปันบริเวณนี้ด้วยในการทำMOU2543ครั้งนี้
จะเห็นได้ว่าเป็นแค่เล่ห์เพื่อใช่อ้างในการที่จะสามารถเข้ามาขยับเขตบริเวณนี้ได้
การเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000
หลังจากปักปันกันเสร็จแล้ว ทางฝรั่งเศสได้กลับไปทำแผนที่มาตราส่วน1:200,000 โดยได้ขีดเส้นกินแดนเข้ามาทางฝั่งไทย โดยมีข้อผิดพลาดคือ
1.แผนที่ไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเกณฑ์ตามที่กำหนดในสนธิสัญญา
2.แผนที่นี้ทำขึ้นโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียวและยังไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส เพราะกว่าแผนที่จะเสร็จ คณะกรรมการผสมก็ได้สลายตัวไปแล้ว
ด้วยเหตุผลทั้ง2ข้อนี้ จึงนับว่าแผนที่นี้ไม่มีผลทางกฎหมาย อ.เทพมนตรีใช้คำว่า“แผนที่เก๊” และฝ่ายไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้
แผนที่นี้จึงมีค่าเท่ากับเศษกระดาษ ไม่มีผลทางกฎหมายต่อไทยเลยนับแต่บัดนั้น
อาจมีผู้แย้งว่า แล้วทำไมศาลโลกจึงมีแผนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คำตอบนี้จะอยู่ในตอนที่2ครับ
จบตอนที่1
ตอนที่2
เขมรเอาคดีขึ้นศาลโลก
วันที่6 ตุลาคม 2502 กัมพูชาเป็นโจทย์ยื่นคำร้องฝ่ายเดียว เพื่อฟ้องไทยเป็นจำเลย
ขอให้ศาลยุติะรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า พื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น
อยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
ประเด็นคำฟ้องที่กัมพูชาขอให้ศาลวินิจฉัยมีทั้งหมด5ข้อดังนี้
1.สถานภาพของแผนที่ผนวก1 แนบท้ายคำฟ้อง
2.ความถูกต้องของเขตแดนที่ปรากฎบนแผนที่ผนวก1
3.ชี้ชัดว่าพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยกัมพูชา
4.ให้ไทยถอนกองกำลังจากตัวปราสาทและบริเวณที่ตั้งปราสาท
5.ให้ไทยคืนวัตถุโบราณที่หายไปจากปราสาทพระวิหารเมื่อปีค.ศ.1350-1962
ในคำขอข้อ5.กัมพุชาไม่ได้ระบุว่า วัตถุโบราณที่ต้องการเรียกคืนนั้นมีอะไรบ้าง
ตอบด้วยบทความเรื่องปราสาทพระวิหาร โดย ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล
จาก http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=94&Itemid=114
คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิจารณาพิพากษาดังนี้
(๑) ด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ศาลฯ วินิจฉัยว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
(๒) สืบ เนื่องมาจาก (๑) วินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ว่าไทยมีพันธกรณีจะต้องถอนทหารและตำรวจหรือยามผู้รักษาการณ์ออกจากปราสาทพระ วิหารหรือบริเวณใกล้เคียงที่อยู่บนดินแดนกัมพูชา
(๓) ด้วยคะแนนเสียง ๗ ต่อ ๕ วินิจฉัย ว่าไทยมีพันธะจะต้องคืนให้กัมพูชาบรรดาวัตถุที่กัมพูชาอ้างถึงในคำแถลงสรุป ข้อ ๕ ซึ่งอันตรธานไปจากปราสาทหลังจากวันที่ไทยเข้าครอบครองเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗
ปัญหาเรื่องเขตแดน
ในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ แม้เสียงข้างมากจะตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา แต่ ยังมีผู้พิพากษาอีกหลายท่านที่เขียนคำพิพากษาแย้งไว้ว่าประสาทพระวิหารยังคง อยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของไทยตามหลักสันปันน้ำที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔
พื้นที่ทับซ้อนในปัจจุบันของไทยกับกัมพูชานั้นได้แก่ตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น แม้ ในแผนที่อีกหลายฉบับลากเส้นเขตแดนไทยไม่ตรงกัน กัมพูชาถือว่าอยู่ในเขตของกัมพูชาโดยอ้างคำพิากษาของศาลยุติธรรมระหว่าง ประเทศ ไทยก็ถือว่าปราสาทพระวิหารเป็นเขตในอำนาจอธิปไตยของไทยโดยยึดสันปันน้ำเป็น เส้นแบ่งเขตตามสนธิสัญญาทวิภาคีกับฝรั่งเศสลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๒ มีใจความดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กำหนดเขตแดนบริเวณที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ให้เป็นไปตามยอดภูเขาปันน้ำระหว่างดินแดนน้ำตกน้ำแสนแลดินแดนน้ำตกแม่โขงฝ่ายหนึ่ง กับดินแดนน้ำตกน้ำมูลอีกฝ่ายหนึ่งจนบรรจบถึงภูเขาผาด่าง แล้วต่อเนื่องไปข้างทิศตะวันออกตามแนวยอดภูเขานี้จนบรรจบถึงแม่โขง ตั้งแต่ที่บรรจบนี้ขึ้นไป แม่โขงเป็นเขตแดนของกรุงสยาม ตามความข้อ ๑ ในหนังสือสัญญาใหญ่ ณ วันที่ ๓ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒
จึง สรุปได้ว่า ในบริเวณเขาพระวิหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขาบันทัดหรือเขาดงรัก เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่สันปันน้ำซึ่งเป็นพรมแดนธรรมขาติตามหลักกฏหมาย ระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาข้างต้นโดยกัมพูชาเป็นผู้สืบสิทธิ์จากฝรั่งเศส
การปักปันเขตแดน
การปักปันดินแดนระหว่างสองประเทศแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ขั้นแรกได้แก่บทนิยาม (definition) ขั้นที่สองคือการลากเส้นบนแผนที่ตามบทนิยาม (delimitation) และขั้นสุดท้าย (demarcation)
-ในกรณีที่เป็นเขตแดนตามธรรมชาติ อาทิ แม่น้ำ ให้ถือร่องน้ำลึกหรือฝั่งแม่น้ำเป็นเส้นแบ่งเขต
-หากเป็นภูเขาก็ต้องเป็นไปตามยอดเขาหรือเส้นสันปันน้ำ
-ในกรณีที่ไม่มีพรมแดนทางธรรมชาติ คณะกรรมการผสมของทั้งสองประเทศจะเป็นผู้ปักหลักเขตแดนร่วมกันด้วยความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย
แผนที่
เป็นที่น่าสังเกตุว่าปัจจุบันมีการอ้างถึงแผนที่มากมายหลายฉบับในวาระต่างๆ
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าแผนที่ฉบับเดียวที่อยู่ในประเด็นปัญหาได้แก่แผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องกัมพูชา
แผนที่ ดังกล่าวคือแผนที่ที่ทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนฝรั่งเศสฝ่ายเดียว เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๐๗ โดยไทยไม่มีโอกาสทดสอบความถูกต้องเนื่องจากไทยยังไม่ได้ก่อตั้งกรมแผนที่ ทหารบก ไทยค้นพบภายหลังว่าแผนที่ดังกล่าวผิดพลาดเพราะการลากเส้นเขตแดนมิได้เป็นไปตามสันปันน้ำแต่คลาดเคลื่อนไปหลายกิโลเมตร ทำ ให้ปราสาทพระวิหารซึ่งอยู่ในเขตไทยไปปรากฏในเขตแดนฝรั่งเศส
ฉะนั้น การที่ผู้หนึ่งผู้ใดอ้างว่าแผนที่ผนวกคำฟ้องของกัมพูชาเป็นแผนที่แสดงเขตแดน จึงผิดพลาดจากความเป็นจริง
สถานภาพของแผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา
ศาล ยุติธรรมระหว่างประเทศจะวินิจฉัยเฉพาะประเด็นคำฟ้องแรกเท่านั้น จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยคำขอเพิ่มเติมของกัมพูชาในเรื่อง
(๑) สถานภาพของแผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา หรือ
(๒) เส้นเขตแดนในบริเวณที่พิพาท
ดัง นั้น ศาลฯ จึงงดเว้นการวินิจฉัยความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา รวมทั้งสถานภาพของแผนที่ผนวก ๑ ทั้งฉบับ หรืออีกนัยหนึ่ง ศาลฯ ไม่ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
คำพิพากษาของศาลฯ และทางปฏิบัติของรัฐคู่กรณี
ผลผูกพันของคำพิพากษา ข้อ ๕๙ ของธรรมนูญศาลฯ กำหนดว่า
“คำพิพากษาของศาลฯไม่มีผลผูกพันผู้ใดนอกจากคู่กรณีและในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น”
ฉะนั้น คำพิพากษาของศาลฯ จึงผูกพันเฉพาะไทยและกัมพูชา ใช้อ้างยันกับผู้อื่นมิได้ และไม่ผูกพันประเทศที่ ๓ หรือองค์การระหว่างประเทศ อาทิ ยูเนสโกหรือคณะกรรมการมรดกโลก และไม่มีผลเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่อย่างใด เนื่องจากการขึ้นทะเบียนมิใช่ข้อพิพาทในคดีที่ศาลฯ ตัดสิน
อนึ่ง ข้อ ๖๐ ของธรรมนูญศาลฯ กำหนดว่า
“คำ พิพากษาของศาลนั้นถึงที่สุดและไม่มีการอุทธรณ์ ในกรณีที่มีการโต้แย้งเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา ศาลฯจะเป็นผู้ตีความเมื่อคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอ”
จุดยืนและท่าทีของประเทศไทย
ประเทศ ไทยพิจารณาเห็นว่า ศาลฯ มิได้วินิจฉัยคดีปราสาทพระวิหารตามกระบวนการที่ชอบ และได้ตัดสินคดีโดยขัดต่อหลักความยุติธรรมและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้ประกาศจุดยืนของประเทศไทยให้ทราบทั่วกันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย ของศาลฯ แต่ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จึงได้ปฏิบัติตามพันธะข้อ ๙๔ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ทั้ง นี้โดยยื่นคำประท้วงคัดค้านไปยังสหประชาชาติและตั้งข้อสงวนอย่างชัดเจนว่า ไทยสงวนสิทธิที่มีอยู่หรือพึงมีในอนาคตที่จะดำเนินการเรียกคืนซึ่งการครอบ ครองปราสาทพระวิหารโดยสันติวิธี
ดัง นั้น รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ยืนยันจุดยืนดังกล่าวเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ และในวันรุ่งขึ้น จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แจ้งให้ประชาชน ทราบทั่วกัน
การแถลงจุดยืนของไทย
ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง ฯพณฯ อู ถั่น รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค อ้างถึงคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประกาศจุดยืนและท่าทีของไทยว่าไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านคำพิพากษาซึ่งขัดต่อ สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ และ ๑๙๐๗ นอกจาก นั้นยังขัดต่อหลักความยุติธรรมและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่จะปฏิบัติตามพันธกรณีในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ นอกจากนั้น ไทยยังได้ตั้งข้อสงวนเกี่ยวกับสิทธิที่มีอยู่และจะพึงมีในการครอบครองปราสาทพระวิหารในอนาคตตามกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย อนึ่ง ข้อสงวนดังกล่าวมีผลตลอดไปโดยไม่จำกัดเวลา
ใน การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญที่ ๑๗ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยยังได้มอบหมายให้ นายสมปอง สุจริตกุล ผู้แทนไทยในคณะกรรมการที่ ๖ (กฎหมาย) เป็นผู้แถลงย้ำให้ผู้แทนประเทศสมาชิกสหประชาชาติในคณะกรรมการกฎหมายได้ทราบ ถึงจุดยืนของประเทศไทยตลอดจนเหตุผลทางกฎหมายในการคัดค้านคำพิพากษาโดย ละเอียด ทั้งนี้ ไม่ปรากฏว่าผู้แทนประเทศอื่นรวมทั้งกัมพูชาได้แสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้งแต่ประการใด
เอกสารข้อสงวนสิทธิ์ ปี พ.ศ. 2505
คำแปลหนังสือจาก ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์ ถึงเลขาธิการสหประชาชาติ*
(*แปลโดย ศ. ดร.สมปอง สุจริตกุล)
เลขที่ (๐๖๐๑) ๒๒๒๓๙/๒๕๐๕
กระทรวงการต่างประเทศ
กรุงเทพฯ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (ค.ศ.๑๙๖๒)
เรียน ฯพณฯ อู ถั่น
รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ
นิวยอร์ค
ข้าพเจ้าขออ้างถึงคดีปราสาทพระวิหารซึ่งกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียวได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๕๙ [พ.ศ. ๒๕๐๒] และศาลฯ ได้พิพากษาเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๖๒ [พ.ศ. ๒๕๐๕] ยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร
ในคำแถลงเป็นทางการเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๒ [พ.ศ. ๒๕๐๕] รัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับ คำพิพากษาของศาลฯ โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวขัดอย่างชัดแจ้งต่อบทบัญญัติ แห่งสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และ ค.ศ. ๑๙๐๗ ในข้อที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตลอดจนขัดต่อหลักกฏหมายและหลักความยุติธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะปฏิบัติตามพันธกรณีแห่งคำพิพากษาตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ภายใต้ข้อ ๙๔ ของกฏบัตรสหประชาชาติ
ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ท่านทราบด้วยว่าการตัดสินใจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาล ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรารถนาจะตั้งข้อสงวนอย่างชัดเจนเพื่อสงวนไว้ซึ่ง สิทธิที่ประเทศไทยมีหรือพึงมีในอนาคตในการเรียกคืนปราสาทพระวิหาร โดยใช้วิถีทางที่ชอบด้วยกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือในอนาคต และขอยืนยันการคัดค้านคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศซึ่งวินิจฉัยให้ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ข้าพเจ้าจึงขอเรียนมาเพื่อทราบพร้อมทั้งขอให้ท่านส่งเวียนหนังสือฉบับนี้ไปยังประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติทุกประเทศ
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(ลงนาม) ถนัด คอมันตร์
(ถนัด คอมันตร์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งประเทศไทย
หมายเหตุโปรดตั้งข้อสังเกตว่า หนังสือของฯพณฯท่าน ถนัด คอมันตร์ ไม่มีเอกสารอื่นหรือแผนที่แนบไปด้วย ตามที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศปัจจุบันกล่าวอ้าง
ปฏิบัติการของไทย
แม้ ศาลยุติธรมระหว่างประเทศจะไม่มีอำนาจบังคับคดี แต่เพื่อแสดงความเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ ไทยได้ดำเนินการถอนบุคลากรจากปราสาทพระวิหารและได้ล้อมรั้วรูปสี่เหลี่ยมผืน ผ้ารอบตัวปราสาทตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย และได้ย้ายเสาธงไทยออกจากบริเวณปราสาทโดยไม่มีการลดธง ทั้ง นี้ เพื่อเปิดโอกาสให้กัมพูชาส่งบุคลากรเข้าไปในบริเวณปราสาทโดยไทยมิได้สละ อำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ซึ่งปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ หรือยอมรับนับถืออธิปไตยของกัมพูชาแต่อย่างใด บริเวณที่ตั้งของตัวปราสาทจึงเป็นพื้นที่เดียวซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน”
ปฏิกิริยาของกัมพูชา
หลัง จากไทยได้ถอนบุคลากรจากประสาทพระวิหารตามคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่าง ประเทศ กัมพูชาก็ยอมรับสภาพโดยดี และมิได้โต้แย้งในการที่ไทยได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาและตั้งข้อ สงวนไว้อย่างชัดเจน กัมพูชานิ่งเฉยตลอดระยะเวลา ๕ ทศวรรษโดยมิได้เรียกร้องอะไรอื่นอีก
กัมพูชา เริ่มมีปฏิกิริยาเมื่อประมาณ ๕-๖ ปีมานี้ โดยแสดงเจตน์จำนงที่จะขยายอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในพระราชอาณาเขตของประเทศไทย เริ่มจากรื้อรั้วที่ไทยสร้างไว้รอบปราสาท นอกจาก นั้น คนชาติกัมพูชายังลอบเข้ามาตั้งถิ่นฐานในวนอุทยานเขาพระวิหารในเขตแดนไทยรวม ทั้งตั้งร้านค้าและแผงลอยซึ่งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเพื่อขายสินค้าให้นัก ทัศนาจร
พื้นที่ทับซ้อน
การกล่าวถึง “พื้นที่ทับซ้อน” ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนนั้น กัมพูชา ได้พยายามขยายขอบเขตคำพิพากษาของศาลฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยแอบอ้างว่าศาลให้ความเห็นชอบแผนที่ผนวก ๑ ซึ่งปราศจากมูลความจริง ทั้งนี้ เนื่องจากในคำพิพากษานั้นเอง ศาลฯ ได้พิจารณาและวินิจฉัยว่าแผนที่ผนวก ๑ ท้ายคำฟ้องของกัมพูชามีข้อผิดพลาดตามที่ปรากฏในรายงานคณะผู้เชี่ยวชาญฝ่าย ไทย ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกัมพูชาไม่อาจหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่า “เส้นสันปันน้ำ” บนขอบหน้าผาคือเส้นเขตแดนที่แท้จริงระหว่างไทยกับกัมพูชา เส้นเขตแดนดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนไทย
อายุความฟ้องร้อง
ปัญหา เรื่องอายุความฟ้องร้องไม่เป็นประเด็นในกฏหมายระหว่างประเทศนอกจากในกรณีที่ เกี่ยวกับการฟ้องร้องคดีต่อศาลหนึ่งศาลใดที่มีอำนาจพิจารณาข้อขัดแย้ง ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง หากจะกล่าวถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปัจจุบัน อายุความ ๑๐ ปีมีอยู่กรณีเดียว กล่าวคือการร้องขอให้ทบทวนคำพิพากษาตามข้อ ๖๑ วรรค ๕ แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรม
ใน กรณีปราสาทพระวิหาร การกล่าวถึงอายุความ ๑๐ ปีนั้นใช้เฉพาะสิทธิของคู่คดีซึ่งได้แก่ไทยหรือกัมพูชาที่จะร้องเรียนให้ศาล ทบทวนคำพิพากษาเดิมเท่านั้น ฉะนั้น หากไทยหรือกัมพูชาดำริให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศทบทวนคำพิพากษาปีพ.ศ. ๒๕๐๕ ก็จะเป็นการสายเกินไป(จะหมดไปเมื่อ2515แล้ว-finder) ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดดำริที่จะกระทำเช่นนั้น
ส่วน กรณีอื่นๆ เช่นการเพิกถอนหรือตีความคำพิพากษา การฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ หรือระงับกรณีพิพาทโดยอาศัยกลไกอื่น อาทิ ศาลอนุญาโตตุลาการ ฯลฯ ซึ่งไทยหรือกัมพูชามิได้กระทำการแต่อย่างไร ปัญหาเรื่องอายุความจึงยังไม่เป็นประเด็น
อายุความข้อสงวน
ข้อ สงวนของรัฐบาลไทยต่อคำพิพากษาของศาลในคดีปราสาทพระวิหารซึ่งไทยได้แจ้งไปยัง เลขาธิการสหประชาชาติในหนังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พร้อมทั้งส่งเวียนให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติรับทราบทั่วกันโดยไม่ปรากฏว่า มีประเทศหนึ่งประเทศใดโต้แย้ง ทักท้วง หรือค้ดค้านแต่ประการใดนั้น เป็นข้อสงวนที่ปลอดอายุความ มี ผลตลอดกาลตราบใดที่ยังอยู่ใต้บังคับของกฏหมายระหว่างประเทศ การที่ข้อสงวนดังกล่าวมิใช่เป็นการทบทวนคดีเก่าซึ่งต้องกระทำภายในกำหนดเวลา ที่จำกัดไว้ จึงยังมีผลบังคับจนทุกวันนี้ยกเว้นจะถูกเพิกถอนหรือยกเลิกอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลไทย
(finder-แทรกเพิ่มเติม ซึ่งข้อสงวนของไทยครอบคลุมถึงสิทธิของไทยที่มีอยู่ในขณะนี้ และ/หรือ จะพึงมีในอนาคต ตามกฎบัตรสหประชาชาติ และธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศทุกข้อบท รวมทั้งข้อ 60 ซึ่งไม่มีการจำกัดเวลา 10 ปี ดังเช่น ข้อ 61 ซึ่งมักมีผู้เข้าใจที่สับสนและคลาดเคลื่อน และข้อ 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติ รับรองสิทธิของประเทศคู่พิพาท อย่างกว้างขวาง ตามที่ไทยสงวนสิทธิ)
ศาสตราจารย์ ดร. สมปองสุจริตกุล*
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๒
ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
* B.A., B.C.L., M.A., D.Phil., and D.C.L. (Oxon)
Diplômé d’Etudes Supérieures de Droit International Public, Docteur en Droit (Paris)
LL.M. (Harvard)
of the Middle Temple, Barrister-at-law (United Kingdom)
Diplômé de l’Académie de Droit International de La Haye (Nederland)
-คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
-ศาสตราจารย์กิตติคุณกฏหมายระหว่างประเทศและกฏหมายเปรียบเทียบมหาวิทยาลัยกฎหมายโกลเดนเกท ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
-สมาชิกสถาบันอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศไทย
-สมาชิกสถาบันอนุญาโตตุลาการองค์การกฏหมายเอเซีย-แอฟริกา ณ กรุงไคโร และกัวลาลัมเปอร์
-อนุญาโตตุลาการอิสระ
-อดีตเลขาธิการอาเซียน (ประเทศไทย)
-อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์,เบลเยี่ยม,ลักเซมเบอร์ก,ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส,โปรตุเกส,อิตาลี,กรีก,อิสราเอล และองค์การตลาดร่วมยุโรป
-อดีตหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำ UNESCO และ FAO
-อดีตสมาชิกศูนย์ระงับข้อพิพาทการลงทุนศาลอนุญาโตตุลาการธนาคารโลก ICSID World Bank
-อดีตกรรมาธิการสหปราชาชาติเพื่อพิจารณาค่าชดเชยความเสียหายในประเทศคูเวต (UNCC)
-และทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๒-๒๕๐๕
ขอสรุปด้วยกระทู้” เข้าใจกรณีเขาพระวิหารอย่างง่ายๆ เชิญทางนี้"
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=26931
-เขมรได้สิทธิ์ตัวปราสาท จากคำตัดสินของศาลโลก
-แต่พื้นที่โดยรอบยังเป็นของไทย(ตามสนธิสัญญา) แม้แต่บันไดทางขึ้น
ตามที่จอมพลสฤษดิ์เอารั้วไปกั้นไว้ และ
-ไทยได้ตั้งข้อประท้วงและข้อสงวนตามกฎของศาลโลกว่าถ้าวันหนึ่ง
ข้างหน้าไทยมีหลักฐานเพิ่มเติมก็จะขอนำมาใช้อ้างสิทธิ์ได้อีก
(ข้อสงวนนี้ไม่มีอายุ ตามบทความของ อ.สมปอง สุจริตกุลข้างต้น)
จากผลการยื่นของไทยดังกล่าว ทำให้ไทยยังสามารถอ้างสิทธิ์ในตัวปราสาทได้อีก เท่ากับว่า
ตัวปราสาทคือพื้นที่ทับซ้อนหรือจะเรียกพื้นที่พิพาทก็แล้วแต่
เพราะอ้างสิทธิ์โดยสองประเทศ ส่วนพื้นที่รอบๆเป็นของไทย100% ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนอื่นใดอีก แผ่นดินบริเวณนั้นก็เป็นของไทย เพราะศาลโลกไม่ได้รับรองแผนที่ของเขมร(1:200000) และ ไม่มีพื้นที่กันชนใดๆ(BUFFER ZONE) ไทยจึงมีสิทธิ์เด็ดขาดในพื้นที่ดังกล่าว
เบื้องหลังของคดีนี้คือ
-หลังจากฟ้องร้องกันแล้ว ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิมของเขมร
ได้พยายามซื้อข่าวจากเจ้าหน้าที่เดินสารของไทย(สมัยก่อนยังไม่มีโทรศัพท์) เพื่อให้เขมรใช้แก้ต่างในศาลโลก และก็ได้ผล ไม่ว่าไทยจะใช้แง่ใดขึ้นมาสู้ เขมรแก้ได้หมด เห็นไหมครับว่าฝรั่งเศสช่วยเขมรแค่ไหน และถ้าเราไม่รีบไล่เขมรออกไปจากพื้นที่ของเรา ก็อย่าหวังว่าจะไล่ออกไปภายหลังได้ง่ายๆ
-ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ไปล็อบบี้ศาลที่อยู่ในคณะศาลที่ตัดสินคดีนี้
เนื่องจากตอนนั้นกำลังขัดแย้งกันระหว่างโลกเสรีที่มีอเมริกาเป็นแกนนำกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ศาลก็แบ่งข้างเช่นกัน เขมรตอนนั้นโดยเจ้าสีหนุยอมลงจากบัลลังก์กษัตริย์ มารับตำแหน่งนายกฯ เพื่อเดินงานเอาปราสาทพระวิหาร โดยยอมลงทุนถึงขั้นเป็นคอมมิวนิสต์ (และถูกนายพลลอนนอลยึดอำนาจในเวลาต่อมาโดยมีอเมริกาอยู่เบื้องหลัง) ทำให้ไทยเสียเปรียบและถูกตัดสินให้แพ้คดีแบบพิศดารที่สุดแผ่นดินเป็นของเรา แต่ปราสาทที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเราเป็นของเขมร
-การใช้กฎหมายปิดปาก กรณีที่ไทยไม่ปฏิเสธการใช้แผนที่1:200000ของฝรั่งเศส ในกรณีต่างๆที่ผ่านมา ศาลโลกถือว่าไทยยอมรับ(แต่ก็ไม่มีผลต่อเขตแดน เพราะศาลโลกก็ไม่ได้รับรองแผนที่ฉบับนี้ เขตแดนจึงยังเป็นไปตามสนธิสัญญาดังเดิม) ซึ่งการตัดสินเช่นนี้ก็เพราะผลจากการวิ่งเต้นของทั้งฝรั่งเศษและเขมรดังกล่าวข้างต้น นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า ถ้าแผนที่นี้มีค่าแค่เศษกระดาษแล้วทำไมศาลโลกจึงมีแผนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เท่ากับว่า
แผนที่ก็ยังไม่มีผลต่อเขตแดนไทย แม้จะผ่านศาลโลกมาแล้ว โปรดจำบรรทัดนี้ไว้นะครับ
จบตอนที่2
ตอนที่3
การทำMOU2543 และผลของMOU2543ที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน
“รูปแบบของ MOU 2543 ระหว่างไทย-กัมพูชา จำลองมาจาก MOU 2522และ “ข้อตกลงชั่วคราว” 2533 ระหว่างไทย-มาเลเซีย” มีกรณีน่าสนใจ ควรไปอ่านดูตามลิ้งค์นะครับ
http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=151&Itemid=159
บทความข้างต้น ชี้ว่า ไทยพยายามเอาตัวแทนที่เป็นข้าราชการและนักการเมืองเข้ามาเป็นกรรมการโดยไม่มีตัวแทนจากภาคประชาชนเลย ในขณะที่ทางมาเลเซียส่งตัวแทนจากภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย ทำให้เกิดการมุบมิบหรือเก็บงำผลประโยชน์ต่างๆของกลุ่มข้าราชการและนักการเมืองไทยเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยประชาชนชาวไทยไม่รู้อะไรเลย
ถ้าเอามาเปรียบกับMOU2544 ซึ่งเป็นการปักปันทางทะเล อันผลต่อเนื่องจากMOU43แล้ว ผลประโยชน์ที่อยู่ในอ่าวไทยมหาศาล
เดิมพันนี้สูงมาก ถ้าMOU43ทำให้ไทยเสียดินแดนทางบกให้เขมร บ่อน้ำมันในอ่าวไทยส่วนใหญ่ก็จะเป็นของเขมร บริษัทน้ำมันข้ามชาติทั้งหลายคงอยากคุยกับเขมรมากกว่า เพราะคุยกับฮุนเซ็นคนเดียวก็จบ แต่ถ้าบ่อน้ำมันอยู่ฝั่งไทย ชาวไทยคงไม่ยอมให้ใครมาโกงกินกันง่ายๆ ดังนั้นจึงมีนักการเมืองไทยกลุ่มหนึ่งเริ่มจากทักษิณเข้าไปคุยกับเขมร แล้วทำMOU44 รอจนMOU43ทำให้ไทยเสียดินแดน แล้วเอาหลักสุดท้ายอ้างอิงเพื่อชี้ลงไปในทะเล จากนั้นเขมรก็อ้างสิทธิ์ต่อเนื่องลงไปเอาบ่อน้ำมันในทะเล โดยมีนักการเมืองไทยร่วมมือ แล้วให้สัมปทานหรือแบ่งผลประโยชน์แก่นักการเมืองไทย แค่นี้ผลประโยชน์บ่อน้ำมันของประเทศไทยก็กลายเป็นของเขมรและนักการเมืองโกงชาติทั้งหลาย นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ไม่ยอมเลิกMOU43 ทั้งๆที่เขมรไม่เคยทำตามข้อตกลงเลย
ปัจจุบัน ประธานJBCทางทะเล คือ
สุเทพ เทือกสุบรรณ
ผู้ที่ไปกินข้าวที่บ้านฮุนเซ็นพร้อมกับปวิตร วงศ์สุวรรณ แล้วกลับมาโดยไม่มีการแถลงอะไรเป็นมรรคผล และเมื่อฮุนเซ็นมาเห่าที่สุวรรณภูมิด่าคนไทย เทพเทือกบอกนักข่าวว่า “เราก็อย่าไปฟังเขาสิ” น่าสงสัยไหมครับว่า เทพเทือกจะมาสวมตอแทนทักษิณเรื่องน้ำมันในอ่าวไทย
อยากดูข้อมูลMOU44 เชิญที่ลิ้งค์นี้
http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=130&Itemid=148
หรือที่นี่ http://tnews.teenee.com/politic/43135.html
ปูพื้นความเชื่อมโยงทางผลประโยชน์แล้ว เราจะมาดูเรื่องMOU2543กัน
จากhttp://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=129&Itemid=147
กรุณาดูรูปภาพข้างบน (ขอขอบคุณ คุณpong-pratumที่ช่วยนำรูปมาให้ )
เอกสารชุดนี้มี 3 แผ่น ขอให้ดูรูปมุมซ้ายบน ตรงข้อ2.1 ข้อย่อย"พื้นฐานทางกฎหมาย"
เอกสารนี้กำหนดกรอบของMOU2543ว่าจะต้องมีอะไรอยู่บ้าง
การทำMOU2543 เป็นผลมาจากการเยือนกัมพูชาของนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เยือนระหว่าง12-14 มกราคม 2537 และได้ออกแถลงการณ์ร่วมฉบับลงวันที่13มกราคม2537 ระบุว่าทั้ง2ฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาขึ้น.......(เกิดJBC)
เมื่อเกิดคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC)และมีการประชุมกัน จนกระทั่งในการประชุมครั้งที่2 ระหว่างวันที่5-7มิถุนายน 2543 ณ.กรุงพนมเปญ จึงสามารถตกลงกันในรายละเอียด และมีการขออนุมัติลงนามใน
บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรับบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU2543)
ถ้าอยากดูข้อความในMOU2543 ให้ไปตามลิ้งค์ มี10แผ่น เป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยอย่างละ5แผ่น
http://www.praviharn.net/index.php?opti ... Itemid=144
จากรายละเอียดในรูปบน
ให้ดูที่ข้อ2.1 ตรงข้อย่อยเรื่องพื้นฐานทางกฎหมาย ระบุไว้ดังนี้
-พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้เอกสารและหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ
อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904
สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907กับพิธีสารแนบท้าย และ
แผนที่แสดงเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน1:200,000
ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน
นี่เอง,จึงเป็นที่มาของ ข้อ 1 ค ในMOU2543 ดังรูปข้างล่าง
จากข้อ2.1นี้ชี้ได้ว่า
1.ใช้เอกสารและหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชา ตามกฎหมายระหว่างประเทศ แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศเข้าใจว่าแผนที่นี้ได้จัดทำขึ้นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน
ซึ่งตามความจริงแล้ว มันไม่ใช่ ตามที่อธิบายไว้ในตอน การเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000
จึงได้เอาแผนที่รวมเข้ามาด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเพื่อจะหาแนวเขตเดิมเมื่อครั้งค.ศ.1904และ1907 ก็ควรใช้แค่สัญญาทั้ง2ฉบับ เพื่อให้กรอบต่างๆเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่นี่กลับไปลากเอาแผนที่ ซึ่งไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการปักปันเขตแดนในครั้งนั้นมาร่วมในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน กรอบต่างๆย่อมเพี้ยนไปจากเดิม
2.คงหมดข้อสงสัยแล้วนะครับว่า MOU2543มีแผนที่1:200,000อยู่และยังระบุให้ใช้แผนที่เป็นเอกสารอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงในการสำรวจครั้งนี้ได้
จากข้อนี้เท่ากับไทยยอมรับหรือรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรว่า
แผนที่1:200,000มีผลผูกพันกับการปักปันเมื่อค.ศ.1904และ1907แล้ว ทั้งๆที่แต่เดิมมา มันเป็นแค่เศษกระดาษ
สำหรับคนที่เชียร์ปชป.หรือMOU43ในเวบนี้หลายคนที่บอกว่าไม่มีแผนที่ในตอนแรก ก็ไม่กล้าพูดคำนี้อีกเลยในปัจจุบัน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลไม่ยอมบอกความจริงข้อนี้ออกมา ทำให้คนที่เชียร์ไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง จึงแย้งแบบไม่รู้จริง ผิดกับฝ่ายพธม.ที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้คนทั่วไปได้ทราบว่า มีการสมยอมยกแผ่นดินให้เขมร ถ้าข้อมูลเหล่านี้รู้ไปในวงกว้าง คงหาคนเชียร์รัฐบาลและMOU43ได้ยาก
ข้อสงสัย
สนธิสัญญากับแผนที่ อะไรใหญ่กว่าหรือควรอ้างอิงอะไรเป็นหลัก
ผมมีคำตอบให้เช่นกัน เชิญอ่าน คำตอบนี้ ผมเอามาจากลิ้งค์ข้างล่าง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000107078
เอกสารอีกชิ้นหนึ่งชื่อว่า “ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว” ซึ่งจัดทำโดย กรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ จัด ทำเมื่อปี พ.ศ. 2547 (ซึ่งเป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นหลัง MOU 2543) แม้ว่าจะไม่ใช่เอกสารไทย-กัมพูชา แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกันอยู่ก็คือ “วิธีคิด” ของกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศต่อแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน โดยยึดถือว่า “แผนที่ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว” นั้นถือเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยาม-กับฝรั่งเศส และยังยึดถือด้วยว่า “แผนที่” เป็นหลักเหนือ “สนธิสัญญา” ดังนั้นจึงไม่มีพื้นที่พิพาทหรือทับซ้อน และมีเส้นเขตแดนเดียวก็คือ “แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน” เท่านั้น
ในหน้า 15 - 16 ในเอกสารของกรมสนธิสัญญาฉบับนี้ระบุความตอนหนึ่งว่า:
(1)เนื่องจากแผนที่ชุดนี้เป็นผล งานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ ชุดที่ 1 ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 ดังนั้นส่วนใหญ่ของแผนที่ชุดนี้ (จำนวน 9 ระวาง) จึงแสดงเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาและความตกลงฉบับปี ค.ศ. 1904 ซึ่งยังมีผลใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียง 6 ระวาง (ระวางเมืองคอบและเชียงล้อม / ระวางลำน้ำต่างๆ ทางภาคเหนือ/ ระวางเมืองน่าน/ ระวางจำปาสัก/ ระวางโขง/ และ “ระวางดงรัก”)
และ หน้า 74 วรรคสุดท้าย ระบุว่า:
ฝ่ายไทยมีความเห็นว่า เส้น เขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ดังกล่าวซึ่งขัดแย้งกับสันปันน้ำธรรมชาติซึ่งเป็น เส้นเขตแดนที่กำหนดไว้ตามสนธิสัญญาฯ นั้น ต้องถือเส้นที่ปรากฏในแผนที่เป็นสำคัญ เนื่องจากสนธิสัญญาซึ่งจัด ทำก่อนแผนที่ ระบุเพียงหลักการของการกำหนดเส้นเขตแดนไว้ แต่รายละเอียดของเส้นเขตแดน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกำหนดไว้ในแผนที่ ซึ่งจัดทำขึ้นมาภายหลังสนธิสัญญา ตามหลักกฎหมาย ต้องถือว่าเจตนาล่าสุดของทั้งสองฝ่ายลบล้างเจตนาแรกที่ขัดแย้งกัน
นอกจากนั้นคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเขาพระวิหารได้วินิจฉัยว่าแผนที่มีฐานะเหนือกว่าสนธิสัญญา (finder-กระทรวงการต่างประเทศไปเอามาจากไหน)
ความน่าเป็นห่วงในวิธีคิดข้าราชการกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศนั้นนอกจากจะตีความเกินกว่าขอบเขตคำพิพากษาของศาลโลก แล้ว ยังตั้งหน้าตั้งตาที่จะยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน และไม่ได้ยึดหลักสันปันน้ำแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้พูดเอาไว้
ข้อสำคัญคือข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเองก็อยู่ในคณะ กรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาด้วย และถือเป็นหน่วยงานหลัก คิดดูว่าการปักปันภายใต้ MOU 2543 โดยหลักคิดเช่นนี้จะน่ากลัวเพียงใด?
แล้วลองคิดดูว่าหากการสำรวจและปักปันไม่แล้วเสร็จเพราะยัง ขัดแย้งกันไม่เลิก แล้วมีการเปลี่ยนรัฐบาลโดยไม่ได้มีการยกเลิก MOU 2543 จะมีหลักประกันอย่างไรว่ารัฐบาลชุดใหม่จะไม่คิดเหมือนกับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช หรือกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมา? (จบบทความ)
( เพิ่มเติม)
เมื่อแผนที่ไม่ถูกต้อง และไม่เคยเป็นที่ยอมรับ จึงไม่มีผลตามกฎหมายตั้งแต่อดีต จนกระทั่งมีการกำหนดไว้ในMOU43 (เชิญดูข้อความได้จากรูปในตอนที่3 )และยังบอกว่า
เป็นแผนที่ที่เกิดจากคณะกรรมการปักปันเมื่อ1904และ1907 ประโยคนี้มีความหมายทางกฎหมายว่า
ไทยเรารับรองว่าแผนที่นี้เป็นแผนที่ที่เกิดขี้นจากคณะกรรมการปักปันเมื่อ1904และ1907 ในอดีตไม่มีการรับรองจึงเป็นแผนที่เก๊ แต่เมื่อปัจจุบันรับรองแล้ว ก็มีผลให้ใช้ได้ จึงเป็นแผนที่จริงขึ้นมาทันที แม้จะขัดกับรายละเอียดในสนธิสัญญาก็ตาม เขมรจึงพูดแต่แผนที่ฉบับนี้มาตลอด และแทรกมันเข้าไปกับทุกการเจรจา
และเมื่อกำหนดไว้ในMOU43ว่านอกจากสนธิสัญญาแล้ว ก็ให้ใช้แผนที่ได้ด้วย(เพราะเป็นแผนที่จริงแล้ว) ก็เท่ากับว่า ก็เหมือนกับรับรองให้เอาแผนที่มาเถียงกับสนธิสัญญาได้
นี่คือสิ่งที่ผมจะสื่อครับ
ลองดูสิครับว่าคนที่เชียร์MOU43คนหนึ่งในเวบนี้ เขาเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
จากกระทู้ชื่อ MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=26937
ฉลาม wrote:อ่านบทความ ดร.โกร่ง ก็รับทราบข้อมูลชั้นที่หนึ่ง จาก อาจารย์ มรว.เสนีย์ ปราโมช ท่านก็บอกแพ้แต่ต้องสู้เต็มที่
ประเด็น แผนที่ ในวิกิพีเดีย ก็มีเนื้อหาทำนองว่า " ไม่ยอมรับ 1 : 200,000 มันเป็นไปได้ยาก" เพราะปักปันกับลาวก็อาศัย ทั้งแผนที่ และ เอกสารในอนุสัญญา 1904-1907
ก็ระวาง Khong นั่นไง จากอุบลราชธานี น้ำยืน นาจะหลวย บุณทริก ไปเกือบๆ ถึง จำปาศักดิ์ ช่วงนี้ ใช้แผนที่ตามสันปันน้ำ และ ระวาง Khong มาตราส่วน 1 : 200,000 ทำไปได้กว่า 80 % แล้วมั๊ง
เพราะมันเป็นข้อตกลงติดกันมาแบบ ไทย/อินโดจีน จะไปทำลักลั่น หลายมาตรฐานก็ลำบาก ทางที่ดี มี MOU 2543 ค่อยเจรจากันไป ได้แค่ไหนก็ดูเอาว่า ได้เปรียบ เสียเปรียบอะไร
บ้านรั้วติดกัน โฉนดติดกันยังมีปัญหากันได้ สอบเขตทีไรก็ต้องอลุ่มอหล่วยกันไป ไม่งั้นไม่จบ ต้องไปที่ศาล เจ้าหน้าที่ที่ดินยังตัดสินให้ไม่ได้ อย่างมากก็ไกล่เกลี่ย ไม่ให้คดีรกศาล
หรือไทยอยากให้มีคนมาไกล่เกลี่ย ยังงั้นหรือเปล่า
เห็นไหมครับว่า ฉลามหรือ แคนไท หรือ แม่นาคในปัจจุบันก็รู้อยู่ว่าชายแดนไทย-ลาวก็ใช้1:200,000ในการปักปันตามที่บทความของอ.ปานเทพได้บอกไว้ แล้วที่เขามาแย้งพธม.ในเวบนี้ คุณแม่นาคแกล้งโง่หรือครับ
ข้อสงสัย
ถ้ายกเลิกMOU2543แล้ว เราจะเอาอะไรไปชี้แจงต่อกรรมการมรดกโลก
ขอตอบด้วยข้อความนี้
สถานะสุดท้ายที่มีการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ปราสาทพระวิหารเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2505
1.เส้นเขตแดนยังเหมือนเมื่อหลังปีค.ศ.1907เป็นต้นมาคือยึดสันปันน้ำ ทั้งหมดเป็นของไทย
2.เขมรมีสิทธิ์เฉพาะตัวปราสาท ตามคำตัดสินของศาลโลก
ก็สถานะนี้แหละที่จะไปยืนยัน เพราะสถานะนี้แหละที่ในอดีตทำให้เขมรทำอะไรไม่ได้เลย ผมฟันเสาธงเลยว่า ถ้ากลับไปสถานะนี้ เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่ได้
สถานะนี้คงอยู่มาจนมีMOU43,44และTOR46 จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดปัญหา
ส่วนที่เพิ่มเข้ามาทำให้ผิดเพี้ยนไปคือ
-แผนที่1:200,000ของเขมร โผล่มาอยู่ในMOU43
-รัฐบาลไล่คนไทยออกจากพื้นที่และให้เขมรเข้ามาอยู่แทน
- เขมรมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่ของไทย
-เขมรสร้างถนนขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้สุ่มเสี่ยงให้ไทยต้องเสียดินแดน แล้วจะมาบอกว่าไม่เสียดินแดนเพราะMOUได้ไงครับ
ข้อสงสัย
ทำไมตั้งแต่มีMOU43 อ.สมปองจึงไม่เคยพูดอะไร แต่กลับมาพูดตอนนี้
ผมขอตอบโดยการตั้งข้อสังเกตกลับไปดังนี้
1.ขณะทำMOU43 ท่านน่าจะเกษียณไปแล้วครับ แล้วท่านจะทราบได้
อย่างไร
2.ตอนก่อนทำ,ขณะทำและหลังจากทำแล้ว
-รัฐบาลชวนเคยขอคำปรึกษาจากท่านหรือไม่
-รัฐบาลชวนเคยแจ้งรายละเอียดในข้อตกลงให้ท่านทราบหรือไม่ ทั้งก่อน
และหลังทำ
-รัฐบาลชวนเคยเชิญให้ท่านเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่ เพราะ
ท่านเกษียณแล้ว
จากข้อสังเกตุทั้ง2ข้อ ท่านจะทราบได้อย่างไรครับ
ข้อสงสัย
ทำไมกระทรวงการต่างประเทศจึงเอาแผนที่เข้ามาไว้ในสัญญา
ดูคำตอบเต็มๆได้จากที่นี่
http://www2.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000109541
นายคำนูณกล่าวว่า รัฐบาลต้องอธิบายความหมายของเอ็มโอยูให้ชัดเจน ที่นายชวนนท์พูดเหมือนกับว่า เราไม่อยากให้มีข้อ 1 ค. แต่กัมพูชาอยากให้มี เลยจำเป็นต้องใส่เข้าไป ตนเคยเชิญเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจงที่วุฒิสภา ก็ให้ข้อมูลเช่นกันว่าทีแรกเราไม่อยากเขียนเพราะเราจะเสียเปรียบจากที่ศาล โลกเคยตัดสินกรณีปราสาทพระวิหาร แต่ฝ่ายกัมพูชาก็ขู่ว่า ถ้าไม่เขียนไว้เขาจะเอาเรื่องขึ้นศาลโลก ซึ่งถ้าจะอ้างตรรกะนี้ การยอมเขียนข้อ 1 ค. ก็ทำให้กัมพูชาได้เปรียบอยู่ดี เมื่อเทียบกับการขึ้นศาลโลก
ข้อสงสัย
แถลงการณ์ร่วมของนพดลถูกยกเลิกตามคำสั่งศาลแล้วหรือยัง
เป็นเอกสารจากยูเนสโก้ แปลเป็นไทยแล้ว เอามาจาก
http://accomthailand.wordpress.com/2008/07/08/%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B0/
(๕) ยอมรับว่าแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ค.ศ.๒๐๐๘ โดยผู้แทนรัฐบาลกัมพูชาและไทยตลอดจนยูเนสโก รวมทั้งร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ซึ่งได้มีการกล่าวถึงอย่างผิดพลาดว่าได้มีการลงนามเมื่อวันที่ ๒๒ และ ๒๓ พฤษภาคม ค.ศ.๒๐๐๘ ในเอกสาร WHC - 08/32. COM/INF. 8 B 1. ADD.2 นั้นจะต้องไม่นำมาพิจารณาอีกเป็นไปตามรัฐบาลไทยที่จะยกหรืองดเว้นผลของแถลงการณ์ร่วมนั้นไว้ก่อนตามมาตรการชั่วคราวของศาลปกครองของไทย
สังเกตุคำพูดนะครับ (ภาษาฑูตนี่ซ่อนความหมายได้ดีจริงๆ) ตามคำพิพากษาของไทยว่าแถลงการณ์ร่วมนี้ผิดกฎหมายไทย ซึ่งที่ถูกแล้ว ต้องยกเลิกครับ แต่นี่ไม่ได้ยกเลิกนะครับ แต่ให้ยกหรืองดเว้นผลของแถลงการณ์ร่วมนั้นไว้ก่อน แล้วจะให้เข้าใจว่าไงครับ
อภิสิทธิ์พูดเองว่า แจ้งให้ทางยูเนสโก้ทราบเรื่องที่ศาลปกครองตัดสินดังกล่าว ก็แสดงว่าอภิสิทธิ์หรือกระทรวงการต่างประเทศแหกตาคนไทยแถลงการณ์ร่วมยังไม่ได้ถูกยกเลิกจากทางยูเนสโก้ แค่ให้ยกหรืองดเว้นผลเท่านั้น
ข้อสงสัย
ทำไมอภิสิทธิ์พูดอยู่ตลอดว่าไทยไม่เสียดินแดน โดยไม่สนข้อเท็จจริงใดๆเลย
ผมเคยสรุปไว้ดังนี้
อภิสิทธิ์พูดอยู่คำเดียวตั้งแต่ต้นว่า "ไม่เสียดินแดน" คนทั้งประเทศก็ได้ยิน ถ้าเขายอม
กลับคำพูดตอนนี้ ผลเสียจะมหาศาลมาก
1.จะโดนทุกฝ่ายประนามทันที โดยเฉพาะพรรคปชป.ที่ไปทำข้อตกลงอย่างไม่ระมัดระวัง
(ในอดีตปชป.เป็นพรรคที่ทำงานตามข้อเสนอของข้าราชการเท่านั้น ไม่ค่อยริเริ่มโครงการเอง
จนมาเจอปัญหากับแม้ว ถึงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริหาร)จนถึงขั้นเสียดินแดนให้กับอดีต
ประเทศราชของตนเอง ไม่มีทางปัดความรับผิดชอบครับ หนักกว่าคดียุบพรรคอีก
ในฐานะหัวหน้าพรรค ต้องโดนทั้งพรรคและสมาชิกพรรคตำหนิ(แม้จะมีส่วนหนึ่งชมว่ากล้า)
และนี่อาจเป็นปัจจับบีบให้อภิสิทธิ์ยังต้องพูดอยู่ว่า"ไม่เสียดินแดน"
2.อภิสิทธิ์ เองในฐานะนายกฯคงต้องรับผิดชอบที่ตนเองผิดพลาดในเรื่องที่สำคัญมากเช่นนี้ ถ้าไม่ลาออก ก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการเขี่ยตนออกจากตำแหน่ง ออกมาเรียกร้องให้รับผิดชอบ ฝ่ายตรงข้ามมีใครบ้าง
-เพื่อไทย แน่นอน
-ภูมิใจไทย แต่จะเล่นอยู่เบื้องหลัง มีสาเหตุหลายอย่างทั้งการโกงกินของพรรคนี้,ปัญหาของพัชรวาทที่ปวิตร พยายามช่วยน้องเต็มที่ เป็นต้นและที่สำคัญ เทพเทือกมีลุ้นขึ้นเป็นนายกฯจากเหตุนี้ และภูมิใจไทยและเพื่อไทยก็คงยอม เพราะเทพเทือกซี้ปึ้กกับทักษิณดังกล่าวมาแล้ว ส่วนภูมิใจไทยได้กระทรวงเกรดเอก็เพราะเทพเทือก
อาจมีส่วนหนึ่งที่ยอมให้อภัย แต่พรรคเพื่อไทยต้องเอามาเป็นประเด็น และต้องเป็นเรื่องใหญ่ ก็ถึงเสียดินแดนนี่ครับเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ อาจมีคนแย้งว่า แม้วก็มีแผลในเรื่องนี้ แต่อย่าลืมว่าปชป.เป็นคนตั้งต้นเรื่องนี้ แม้วต้องโยนบาปมาให้แน่นอน โดยอ้างว่า มันทำต่อเนื่องจากข้อตกลงที่มีอยู่แล้ว
ถ้าคุณเป็นอภิสิทธิ์ คุณจะแก้ปัญหา2ข้อแรกอย่างไรเล่าครับ
3.ฮุน เซ็นคงออกมาเห่าและเดินเครื่องช่วยแม้วต่อ หลังจากพักรอดูท่าทีไทยในเรื่องดังกล่าว อย่าปฏิเสธว่าเราไม่ได้ไปตกลงอะไรกับเขมร เพราะหลังจากไม่สามารถผ่านสภาฯจนต้องตั้งกรรมาธิการร่วม อภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ทันทีว่า ได้แจ้งเรื่องนี้ไปให้ฮุนเซ็นทราบแล้ว (แม่ เจ้าโว้ย, ถึงกับต้องรายงานทันที ) ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของนายกฯหรือครับ ถ้าไม่มีอะไรกันเป็นพิเศษ ทำไมต้องแจ้งไปทันที หรือกลัวเขมรเอาไปขึ้นทะเบียนไม่ทันตามขั้นตอนในปีหน้า อภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ทำนองว่า ถ้าบริเวณเขาพระวิหารมีปัญหามาก กลัวว่าเขมรจะขึ้นทะเบียนไม่ได้
(เพิ่มเติม)
4.ผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทยที่เทพเทือกเป็นประธานJBCทางทะเลก็จะพังครืนลงทันที แต่อภิสิทธิ์จะมีผลประโยชน์ด้วยหรือไม่ คงต้องไปถามอภิสิทธิ์เอง แต่การยอมออกหน้าในเรื่องปราสาทพระวิหารโดยไม่ยอมฟังใคร แม้หลักฐานจะมีมากมายและเป็นรูปธรรม ขนาดผู้ที่ทำเรื่องนี้มาแต่ต้นเช่นอ.สมปอง สุจริตกุลและอดีตกรรมการมรดกโลกของไทยเช่นอ.อดุลย์ วิเชียรเจริญ และอดีตศาลและเป็นประธานคตส.ด้วยเช่นท่าน นาม ยิ้มแย้ม ท่านเหล่านี้ได้ให้ข้อมูลแก่นายกฯ นายกฯก็ยังพูดอยู่เช่นนั้น มันผิดปกติอย่างมากครับ
ผลจากคำพูดที่ได้พูดไปตลอดว่า"ไม่เสียดินแดน" แล้วมากลับคำพูดก็ดังที่ผมบอกไว้แล้วข้างต้น
แต่ไม่ว่าอภิสิทธิ์จะเลือกอย่างไร ก็ต้องโดนหนักทั้งพรรคและตัวเอง ไม่มีทางเลี่ยง จึงต้องยืนกระต่ายขาเดียวว่า
MOU43ทำให้เราไม่เสียดินแดน เพราะเป็นช่องทางสุดท้ายแล้ว
บอกตามตรงว่าผมไม่เคยไว้ใจนักการเมืองเลวชาติพวกนี้
ถ้านักการเมืองพวกนี้ทำเพื่อชาติจริง ตอนนี้ประเทศนี้คงไม่วุ๋นวายอย่างนี้ใครว่านายกฯดี ก็ว่าไป ท่านก็พายเรือไปสิครับ หน้าที่ท่านมีแค่นั้น
ที่เหลือเป็นหน้าที่ของโจรครับ...
ขอสรุป เรื่องMOUด้วยบทความนี้
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000110822
ตรรกะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวเอาไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ว่า นักการเมืองที่คิดร้ายต่อบ้านเมืองหากไม่มี MOU 2543 แล้วก็จะสามารถกลับไปยึดแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น จึง “เป็นไปไม่ได้” เพราะไม่มีเอกสารใดๆ ทั้งสิ้นที่ระบุว่าฝ่ายไทยได้เคยมีข้อผูกพันตามแผนที่ดังกล่าวแต่ประการใด นอกจาก MOU 2543 เท่านั้นที่มีความสุ่มเสี่ยงเพราะมีการระบุว่าให้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทางบกตามแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ด้วย
(เป็นการอนุญาตให้เขมรใช้แผนที่นี้ได้อย่างถูกต้องเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะไทยยอมรับให้ใช้ได้ตามMOU2543นั่นเอง แต่เดิมมา เขมรทำอะไรไม่ได้เพราะเหตุนี้ด้วย-finder)
หากยึดหลักสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ยึดหลักผลงานของคณะกรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกของสยาม-ฝรั่งเศส และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 ประเทศไทยจะเรียกดินแดนทั้งหมดที่ถูกกัมพูชารุกล้ำอยู่ในขณะนี้ว่า “ดินแดนไทย”เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะไม่เป็นพื้นที่ซึ่งพิพาทหรือทับซ้อน และสามารถผลักดันทันทีได้หลายรูปแบบด้วยเงื่อนไขที่ว่า
“กัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทย” ไม่ใช่เหตุผลว่า “กัมพูชามีการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในพื้นที่พิพาทตามข้อ 5 ใน MOU 2543” ซึ่งทำได้สูงสุดตามเงื่อนไขในข้อ 8 ของ MOU 2543 คือ “หากมีข้อพิพาทต้องใช้สันติวิธีเท่านั้น” ซึ่งไม่สามารถทวงคืนดินแดนที่ถูกกัมพูชายึดครองอยู่ได้
ด้วยเหตุผลนี้กัมพูชาจึงต้องโวยวายไปทั่วโลกเพื่อกอด MOU 2543 เอาไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเดียวกันกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีผิดเพี้ยน!!!
ลองมาดูว่า เขมรคิดอย่างไรเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000115868
กัมพูชาออกแถลงการณ์ ตามแถลงการณ์อ้างว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พื้นที่หมู่บ้านตลาดใกล้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจบริหารของกัมพูชาและ ประชาชนกัมพูชาก็อาศัยมาก่อน MOU 43 เสียอีก ขณะที่การปรับปรุงพื้นที่ทั้งถนนและสิ่งก่อสร้างทางตะวันตกของพระวิหาร รวมทั้งศูนย์ซื้อขายของสำนักท่องเที่ยวทางทิศเหนือก็ไม่ได้เป็นการละเมิด หลักปฏิบัติในข้อ 5 ของ MOU ตามที่ไทยกล่าวหาแต่อย่างใด และไม่ใช่ประชาชนชาวไทยฝ่ายเดียวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาอย่างช้านาน ตามที่ไทยกล่าวอ้างอีกด้วย อีกทั้งข้อกล่าวหาจากไทยว่า มีความไม่ชอบมาพากลจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาใน วันที่ 4 กรกฎาคมปี 51 ที่ประเทศแคนาดา เป็นสาเหตุของความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ความจริง คือ ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา และประเทศไทยได้รับการยอมรับอย่างจริงจังแล้ว ที่ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบจะอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 และความรุนแรงมากที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 51 บริเวณลานอินทรีใกล้กับวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และเหตุการณ์ในเดือนเมษายน ปี 52 ในพื้นที่ตลาดใกล้กับบันไดทางขึ้นฝั่งเหนือของปราสาทพระวิหาร อันเนื่องมาจากการบุกรุกของทหารไทย และความพยายามที่จะครอบครองดินแดนของกัมพูชา ซึ่งได้รับบทเรียนอันแข็งกร้าวจากกัมพูชาจนนำไปสู่การสูญเสียชีวิต แต่ดูเหมือนว่านักการเมืองไทยโดยเฉพาะคนในรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์จะไม่ได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนอันขมขื่นนั้นเลย แม้ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่แสดงให้ประชาคมโลกรู้ว่า ประเทศไทยมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีต่อกรณีปราสาทพระวิหารในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาก็ตาม
และจาก แปลกแต่จริง มาร์คเรียก พื้นที่พิพาท แต่บัวแก้วเรียก ดินแดนเขมร
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000107078
แต่ก็ใช่ว่าไทยทำการประท้วงด้วยการอ้างถึง MOU 2543 ข้อ 5 ฝ่ายเดียว เพราะกัมพูชาก็ประท้วงฝ่ายไทยในการละเมิดข้อ 5 MOU 2543 กลับเช่นกัน โดยนาย วาร์ คิม ฮอง รัฐมนตรีอาวุโสรับผิดชอบด้านกิจการชายแดนของกัมพูชาได้เคยปราศรัยในการ ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย สมัยสามัญ ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2552 ความตอนหนึ่งว่า:
“ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 การละเมิดมาตรา 5 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา (MOU) พ.ศ. 2543 โดยทหารไทย ใน พื้นที่ดงรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือน ปราสาทตากราเบ็ย ฯลฯ ได้ก่อให้เกิดสถานการณ์ใหม่ที่ประเด็นยังคงค้างอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชายังยึดมั่นที่จะอดกลั้นที่สุดเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาโดยสันติ วิธีและฉันมิตร”
เห็นไหมว่า มันต้องการปราสาทบริเวณชายแดนทั้งหมด
ผมสรุปบ้าง
วิธีคิดและ/หรือข้อมูลที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ทำให้เกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อชาติ ถ้านายกฯยังดันทุรังไม่ทำอะไร ไทยต้องเสียดินแดนตลอดแนวชายแดนให้แก่เขมร รวมทั้งพื้นที่ในทะเลที่มีน้ำมันด้วย และจากคำแถลงของกัมพูชาก็บอกได้ว่า กัมพูชายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ดินแดนตามแผนที่1:200,000มาครอง โดยอาศัย
1.หลักพฤตินัย ด้วยการเอาคนเขมรเข้ามาอยู่อาศัย นอกจากนี้ฮุนเซ็นยังพยายามออกสื่อให้ชาวโลกเห็นว่า พื้นที่ตรงนั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของเขมร ด้วยการไปทำพิธีที่วัดแก้วฯ และการที่ทหารไทยจะเข้าไปก็ต้องปลดอาวุธ
ส่วนกษิต เมื่อคราวที่ไปดูก็ต้องขออนุญาตเพื่อเข้าไปนะครับ คนเขมรเข้ามาในพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่รัฐบาลไทยเข้าไปทำอะไรคนเขมรไม่ได้ เป็นการแสดงให้ชาวโลกเห็นว่าอธิปไตยบริเวณพื้นที่รอบปราสาทเป็นของเขมรไปแล้ว
อ.เทพมนตรี เคยขอให้นายกฯช่วยเดินทางไปดูงานบริเวณนั้นหน่อย ตั้งแต่ท่านมาเป็นนายกฯ ท่านยังไม่เคยคิดจะไปดูพื้นที่นี้บ้างหรือครับ
ทั้งๆที่เป็นพื้นที่ที่มีปัญหามากอีกแห่งหนึ่งทีเดียว อย่างนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าฮุนเซ็นปกครองพื้นที่บริเวณนี้อยู่น่ะสิ ใช่ไหมครับนายกฯอภิสิทธิ์
2.หลักนิตินัย ก็คือการได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศว่าพื้นที่นี้เขมรมีอธิปไตย วิธีง่ายๆก็อย่างที่คณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกไงครับ และพยายามใช้วิธีนี้ลามไปครองปราสาทที่อยู่ตามแนวชายแดนทั้งหมด ด้วยการใช้แผนที่1:200,000เช่นกัน แค่นี้ดินแดนที่แผนที่นี้กินเข้ามาทั้งหมดก็จะตกแก่เขมร ความฝันของเขมรและเจ้าสีหนุก็จะเป็นจริง
อ.เทพมนตรีเคยกล่าวว่า
บริเวณพื้นที่โดยรอบ(ปราสาทพระวิหาร)จะมีประเทศอื่นๆ อีก 6 ประเทศมาตั้งอาณานิคมในพื้นที่เขตแดนไทย ซึ่งตนสามารถบอกได้เลยว่า ประเทศที่จะมามีส่วนในการบริหารจัดการนั้น ประกอบด้วย อเมริกา จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น กัมพูชา ส่วนอีกอีกประเทศหนึ่งอาจเป็น อินเดีย ลาว หรือเบลเยียม ซึ่งการให้มิตรประเทศ เข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย จะกลายเป็นความวุ่นวาย และเป็นการยอมรับแผนที่ของกัมพูชาไปโดยปริยาย โดยการอ้างถึงการประกาศให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทั้งที่ไทยแสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนที่ฉบับนี้มาตลอด ที่สำคัญพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของไทย แต่หลังเป็นมรดกโลกไทยจะกลายเป็นเพียง 1 ใน 7 ประเทศที่เข้าไปบริหารจัดการเท่านั้น
นาย เทพมนตรี กล่าวอีกว่า ล่าสุดตนมีเอกสารที่คณะกรรมการมรดกโลกทั้ง 21 ประเทศได้รับ เป็นเอกสารยัดไส้ที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน คือ เอกสารเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2551 ที่กรุงปารีส ลงนามโดยปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตอนท้ายระบุว่า
การกำหนดพื้นที่มรดกโลกจะไม่มีพื้นที่ ที่เป็นกรณีพิพาทหรือเขตบัฟเฟอร์โซน และในข้อตกลงร่วมที่ นายนพดล ไปลงนามกับ กัมพูชา ก็ยกพื้นที่พิพาทออก ซึ่งหมายความว่า กัมพูชาสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ได้ และถ้ากัมพูชา ต้องการขึ้นทะเบียน แต่ตัวปราสาทพระวิหาร ก็ไม่จำเป็นต้องมีประเทศต่างๆ เข้ามาบริหารจัดการถึง 7 ประเทศ แต่เพราะกัมพูชา รู้ว่าแผนที่ที่เสนอไปนั้นกินพื้นที่อาณาเขตไทยมากกว่าจึง เสนอถึง 7 ประเทศให้เข้ามาบริหารจัดการ
(finder-เพิ่มเติม ล่าสุดจากเวทีชี้แจงของพธม.บอกว่า บริษัทน้ำมันที่เข้าไปขอสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจากเขมร ล้วนมาจากประเทศที่จะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ตามแผนบริหารของเขมรที่จะยื่นในปี2554)
“ขณะนี้ผมทราบว่ากัมพูชามีแผนบูรณะปราสาทพระวิหารแล้ว โดยได้ว่าจ้าง บริษัทประเทศฝรั่งเศส ไปทำผังปราสาทพระวิหาร อย่างละเอียด โดยมีเทคนิคการบูรณะต่างๆ พร้อมแล้ว ซึ่งจะมีกลุ่มคนไทยที่ทุรยศกลุ่มหนึ่ง เอาบริษัทในประเทศไทย ขอไปร่วมบูรณะปราสาทพระวิหารด้วย รวมทั้งอยากให้คนไทยทุกคนช่วยกันจับตาดูความคิด และการกระทำของนายปองพลด้วย”
มาสรุปต่อ ถ้างานนี้เสร็จ
ฮุนเซ็นซึ่งเป็นคนธรรมดา ไต่เต้าจนได้เป็นนายกฯ
ปัจจุบันเป็น “สมเด็จ”
งานนี้ไม่แคล้วจะได้เป็น “เจ้า”
เทียบชั้น เจ้านโรดม ทั้งหลายทีเดียว
ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนทั้งจากการจัดตั้งและบริสุทธิ์ใจ
เจ้าสีหนุจะไม่ยอมคงไม่ได้แล้ว
จบตอนที่3
มีตอนที่4 แต่ต้องขึ้นหน้าใหม่ เวบเพจรับตัวหนังสือไม่ไหว