รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby finder » Mon Dec 20, 2010 1:10 am

เกริ่น
สิ้นสุดการรอคอยครับ กระทู้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)”เสร็จเสียที คนที่ถามหาสตางค์ที่ขายได้ แต่เพราะยังขายไม่เสร็จ ยังไม่จ่ายสตางค์กัน ต้องรอให้ผ่านจากMOU43 และเริ่มMOU44ก่อน แล้วจะเห็นสตางค์ชัด

-การตั้งกระทู้เกี่ยวกับปราสาทพระวิหารครั้งนี้ ผมได้ไปหาเอกสารและบทความมาอ้างอิงด้วย เพื่อให้ผู้ที่สนใจจะได้ศึกษาข้อมูลและหลักฐานจากดัานของพันธมิตรบ้าง เนื่องจากแต่เดิม ผมจะตั้งกระทู้เรื่องนี้โดยการสรุปจากเนื้อหาที่ฟังมาจากเวทีพันธมิตรและสื่อของASTVแล้วจำได้ โดยไม่ได้อ้างอิงหลักฐานอื่นๆ คราวนี้จึงนับว่าครบถ้วนกว่าทุกครั้ง แหล่งอ้างอิงข้อมูลคือ

http://www.praviharn.net/ (อ.วัลย์วิภา จรูญโรจน์)

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000104829

-อีกประการหนึ่งที่จะขอแจ้งให้ทราบคือ ผมจะว่างตอนกลางคืนเท่านั้น และ กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ จึงอย่าได้ถามหาผมในช่วงกลางวัน ผู้ที่อยากสนทนา กรุณาทิ้งข้อความไว้ครับ แล้วผมจะมาสนทนาด้วย แต่ถ้าหลายคน ผมอาจตอบไม่ทัน ผมพิมพ์ช้าครับ โปรดเห็นใจ

-บทความนี้พยายามรวบรวมเนื้อหาที่สำคัญให้ครบถ้วน จึงยาวมาก แต่ผมได้แบ่งเนื้อหาเป็นตอนๆ เพื่อสะดวกในการเลือกดูเฉพาะเรื่องที่ท่านสนใจ
แต่อย่าพลาดตอนที่3ที่พูดเรื่องMOU43เด็ดขาด

ตอนที่1 ย้อนรอยอดีตตอนทำสัญญาและการเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000

ตอนที่2 เขมรเอาคดีขึ้นศาลโลก

ตอนที่3 การทำMOU2543 และผลของMOU2543ที่จะทำให้ไทยเสีย
ดินแดน

ตอนที่4 ข้อสังเกตและเรื่องอื่นๆที่จะยกมาให้เห็น



ตอนที่1
ย้อนรอยอดีตตอนทำสัญญาและการเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000

จากที่นี่
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000110822

-พ.ศ.2442 พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ค้นพบปราสาทพระวิหาร (เพิ่มเติม)

ย้อนกลับไปเมื่อ 106 ปีที่แล้ว สยามกับฝรั่งเศสได้ทำสนธิสัญญาปักปันเขตแดนลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สยามได้เสียดินแดนในส่วนของ หลวงพระบาง มโนไพร และจำปาศักดิ์ บนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส โดยสนธิสัญญาดังกล่าวได้กำหนดเขตแดนในย่านภูเขาดงรักภาคตะวันออกและย่าน อื่นๆ โดยกำหนดเอาไว้ว่า:

ข้อ 1 เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชา เริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาบจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส และเป็นไปตามเส้นขนานจากจุดนั้นในทางทิศตะวันออกจนกระทั่งถึงแม่น้ำ แปรก กำปง เทียม แล้วเลี้ยวไปทางด้านทิศเหนือไปพบกับเส้นตั้งฉากจากจุดบรรจบนั้นจนกระทั่งถึง ทิวเขาดงรักจากที่นั่นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำ ระหว่างลุ่มน้ำของ แม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่ง กับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง และสมทบกับทิวเขาภูผาด่าง โดยถือทวนน้ำขึ้นไปให้ถือแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนของอาณาจักรสยามตามข้อ 1 แห่งสนธิสัญญาฉบับวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1893

จากสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 ข้อ 1 แสดงให้เห็นว่า “ทิวเขาดงรัก” ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “ปราสาทพระวิหาร” ระบุเส้นเขตแดนอย่างชัดเจนว่าให้ใช้ “สันปันน้ำ”!!!

ต่อมาสยามกับฝรั่งเศสได้มีการทำสนธิสัญญาและพิธีสารแนบท้ายต่อกัน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เป็นการแลกแผ่นดิน โดยฝ่ายสยามยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส เพื่อที่จะแลกกับเมืองด่านซ้าย ตราด และเกาะทั้งหลายไปจนถึงเกาะกูดให้กลับมาเป็นของสยาม

ด้วยเหตุผลที่มีสนธิสัญญา 2 ฉบับที่มีการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินระหว่างสยามกับฝรั่งเศส จึงมีการตั้งเป็นคณะกรรมการผสมขึ้นจากตัวแทนฝ่ายสยามและฝรั่งเศสเพื่อสำรวจ และปักปันเขตแดนทางบก 2 ช่วงเวลา คือคณะกรรมการผสมชุดแรกที่เกิดขึ้นตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 และคณะกรรมการผสมชุดที่สองซึ่งเกิดขึ้นตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907

ผลจากรายงานการประชุมของคณะกรรมการผสม 2 ชุด พบว่ามีการสำรวจและกำหนดเส้นเขตแดนตามทิวเขาดงรักซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหารที่น่าสนใจตามลำดับเวลาดังต่อไปนี้

13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) สยามกับฝรั่งเศสได้ทำสนธิสัญญาต่อกัน กำหนดให้สันปันน้ำเป็นเขตแดนบริเวณทิวเขาดงรัก

มกราคม ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) ได้มีการประชุมเป็น ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติงานสำรวจและกำหนดเขตแดนทางทิศตะวันออกของทิวเขาดงรักซึ่ง เป็นทิวเขาที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร

2 ธันวาคม ค.ศ. 1906 (พ.ศ. 2449) มีการประชุมตกลง กันว่าคณะกรรมการผสมจะขึ้นไปบนเขาดงรักจากที่ราบต่ำของกัมพูชา โดยผ่านขึ้นทางช่องเกน ซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันตกของพระวิหารและเดินทางไปทิศตะวันออกตามทิวเขาโดย อาศัยเส้นทางที่ ร้อยเอกทิกซีเอ กรรมการคนหนึ่งของฝรั่งเศสได้ตระเวนสำรวจเอาไว้เมื่อปี ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448)

18 มกราคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เป็นการประชุม ครั้งสุดท้ายของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดแรกเพราะปฏิบัติงานเสร็จสิ้น เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ ได้รายงานต่อรัฐมนตรีต่างประเทศในกรุงปารีสว่า ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากประธานฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการผสมว่า “การ ปักปันทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และว่าได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนขึ้นเป็นที่แน่นอนแล้วนอกจากในอาณาบริเวณ เสียมราฐ” การสำรวจและปักปันครบหมดแล้วย่อมแสดงว่าได้รวมถึงทิวเขาดงรักบริเวณปราสาทพระวิหารด้วย

20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ประธานได้ส่งรายงานไปให้รัฐบาลของตนระบุเอาไว้ว่า “ตลอดแนวเขาดงรักจนถึงแม่น้ำโขงการกำหนดเขตแดนไม่ได้ประสบความยุ่งยากใดๆ เลย”

คณะกรรมการผสมสรุปโดยไม่ต้องไปปักปันอะไรแล้วก็เพราะแนวสันปันน้ำ ซึ่งถูกระบุอยู่ในสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) ซึ่งใช้สำหรับเป็นเขตแดนตามทิวเขาดงรักนั้น “ชัดเจนตามธรรมชาติด้วยตัวมันเอง”

23 มีนาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) สยามกับฝรั่งเศส ได้ลงนามในสนธิสัญญาและพิธีสารแนบท้าย เพื่อแลกแผ่นดินกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศส จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสชุดที่ 2 เพื่อสำรวจในดินแดนที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่

พันเอกแบร์นารด์ ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการผสม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการยกร่างแสดงพรมแดนใหม่ โดยพรมแดนด้านตะวันตกที่ตกลงกันใหม่บรรจบกับดงรักพิธีสารได้กำหนดว่า:

“จากจุดที่กล่าวถึงข้างบนซึ่งตั้งอยู่บนสันเขาดงรัก เขตแดนทอดไปตามสันปันน้ำระหว่าง ลุ่มทะเลสาบใหญ่และแม่น้ำโขงทางหนึ่งและตามลุ่มแม่น้ำมูลอีกทางหนึ่ง และไปจดแม่น้ำโขงใต้ปักมูลที่ปากน้ำห้วยเดื่อ (ห้วยดอน) อันเป็นไปตามเส้นลากซึ่งคณะกรรมการปักปันคณะก่อนได้จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450)

อาศัยความบทแห่งสนธิสัญญานี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่อาจมองไปได้ว่าข้อตกลงของคณะกรรมการผสมภายใต้สนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447)อาจจะผิดแผกจากเส้นสันปันน้ำไปได้แต่ประการใด”

ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการลงนามในการแลกแผ่นดินตาม สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) แล้วก็ตาม แต่การยึดหลักสันปันน้ำบริเวณสันเขาดงรักไม่เปลี่ยนแปลงตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และไม่เปลี่ยนแปลงตามคณะกรรมการผสมชุดแรกได้ดำเนินการสำรวจไปก่อนหน้านี้อีก ด้วย

20 ธันวาคม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) พันเอกแบร์นารด์ ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการผสมฯ ได้ทิ้งพยานหลักฐานเป็นคำบรรยายซึ่งได้แสดงเอาไว้ในกรุงปารีสโดยได้บรรยาย ถึงงานปักปันเขตแดน 3 ครั้ง จาก ค.ศ. 1905 ถึง ค.ศ. 1907 ความตอนหนึ่งซึ่งมีความชัดเจนว่า:

“แทบทุกหนทุกแห่งสันปันน้ำประกอบเป็นพรมแดนและจะมีปัญหาโต้เถียงกันได้ก็แต่เพียงที่เกี่ยวกับจุดปลายสุดของทั้งสองด้านเท่านั้น”

แสดงว่าทิวเขาดงรักบริเวณรอบปราสาทพระวิหารซึ่งไม่ได้อยู่จุดปลายสุดทั้งสองด้านของสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนที่มีความชัดเจน

ด้วยเหตุผลนี้จึงสามารถสรุปได้ว่าคณะกรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนผสม สยาม-ฝรั่งเศส ทั้ง 2 ชุด ได้แบ่งเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารเสร็จสิ้นแล้ว โดยยึดหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาทุกประการ โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปปักปันหรือจัดทำหลักเขตแดนใดๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น
Image
ส่วนพื้นที่ที่มีความไม่ชัดเจน และเริ่มเข้าสู่เป็นที่ราบนั้นต้องมีการปักปันและจัดทำหลักเขตแดนทางบก จึงเป็นที่มาของ 73 หลักเขตแดนทางบก ซึ่งเริ่มต้นหลักเขตแดนทางบกที่ 1 จากช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ แล้วจัดทำเรื่อยไปทางตะวันตกและลงไปทางทิศใต้ จนถึงหลักเขตที่ 73 ที่จังหวัดตราด ในขณะที่ไม่ปรากฏในรายงานการประชุมใดๆ ของคณะกรรมการผสมชุดที่ 2 เลยว่ามีการจัดทำหลักเขตแดนทางบกจากช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกไปจนถึงตัวปราสาทพระวิหารเลยไปถึงช่องบก จ. อุบลราชธานีแม้แต่น้อย เพราะมีสันปันน้ำเป็นแนวตลอดอย่างชัดเจน

จากข้อมูลทั้งหมดช่วยตอบข้อสงสัยดังนี้

การที่มีบางคนในเวบนี้อ้างว่า บริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของเขาพระวิหารไม่เคยปักปันกันเลย จึงต้องปักปันบริเวณนี้ด้วยในการทำMOU2543ครั้งนี้
จะเห็นได้ว่าเป็นแค่เล่ห์เพื่อใช่อ้างในการที่จะสามารถเข้ามาขยับเขตบริเวณนี้ได้

การเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000

หลังจากปักปันกันเสร็จแล้ว ทางฝรั่งเศสได้กลับไปทำแผนที่มาตราส่วน1:200,000 โดยได้ขีดเส้นกินแดนเข้ามาทางฝั่งไทย โดยมีข้อผิดพลาดคือ

1.แผนที่ไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเกณฑ์ตามที่กำหนดในสนธิสัญญา

2.แผนที่นี้ทำขึ้นโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียวและยังไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส เพราะกว่าแผนที่จะเสร็จ คณะกรรมการผสมก็ได้สลายตัวไปแล้ว

ด้วยเหตุผลทั้ง2ข้อนี้ จึงนับว่าแผนที่นี้ไม่มีผลทางกฎหมาย อ.เทพมนตรีใช้คำว่า“แผนที่เก๊” และฝ่ายไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้
แผนที่นี้จึงมีค่าเท่ากับเศษกระดาษ ไม่มีผลทางกฎหมายต่อไทยเลยนับแต่บัดนั้น


อาจมีผู้แย้งว่า แล้วทำไมศาลโลกจึงมีแผนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คำตอบนี้จะอยู่ในตอนที่2ครับ

จบตอนที่1


ตอนที่2
เขมรเอาคดีขึ้นศาลโลก


วันที่6 ตุลาคม 2502 กัมพูชาเป็นโจทย์ยื่นคำร้องฝ่ายเดียว เพื่อฟ้องไทยเป็นจำเลย
ขอให้ศาลยุติะรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า พื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น
อยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา

ประเด็นคำฟ้องที่กัมพูชาขอให้ศาลวินิจฉัยมีทั้งหมด5ข้อดังนี้
1.สถานภาพของแผนที่ผนวก1 แนบท้ายคำฟ้อง
2.ความถูกต้องของเขตแดนที่ปรากฎบนแผนที่ผนวก1
3.ชี้ชัดว่าพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยกัมพูชา
4.ให้ไทยถอนกองกำลังจากตัวปราสาทและบริเวณที่ตั้งปราสาท
5.ให้ไทยคืนวัตถุโบราณที่หายไปจากปราสาทพระวิหารเมื่อปีค.ศ.1350-1962
ในคำขอข้อ5.กัมพุชาไม่ได้ระบุว่า วัตถุโบราณที่ต้องการเรียกคืนนั้นมีอะไรบ้าง

ตอบด้วยบทความเรื่องปราสาทพระวิหาร โดย ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล
จาก http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=94&Itemid=114

คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิจารณาพิพากษาดังนี้
(๑) ด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ศาลฯ วินิจฉัยว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
(๒) สืบ เนื่องมาจาก (๑) วินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ว่าไทยมีพันธกรณีจะต้องถอนทหารและตำรวจหรือยามผู้รักษาการณ์ออกจากปราสาทพระ วิหารหรือบริเวณใกล้เคียงที่อยู่บนดินแดนกัมพูชา
(๓) ด้วยคะแนนเสียง ๗ ต่อ ๕ วินิจฉัย ว่าไทยมีพันธะจะต้องคืนให้กัมพูชาบรรดาวัตถุที่กัมพูชาอ้างถึงในคำแถลงสรุป ข้อ ๕ ซึ่งอันตรธานไปจากปราสาทหลังจากวันที่ไทยเข้าครอบครองเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗

ปัญหาเรื่องเขตแดน
ในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ แม้เสียงข้างมากจะตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา แต่ ยังมีผู้พิพากษาอีกหลายท่านที่เขียนคำพิพากษาแย้งไว้ว่าประสาทพระวิหารยังคง อยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของไทยตามหลักสันปันน้ำที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔
พื้นที่ทับซ้อนในปัจจุบันของไทยกับกัมพูชานั้นได้แก่ตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น แม้ ในแผนที่อีกหลายฉบับลากเส้นเขตแดนไทยไม่ตรงกัน กัมพูชาถือว่าอยู่ในเขตของกัมพูชาโดยอ้างคำพิากษาของศาลยุติธรรมระหว่าง ประเทศ ไทยก็ถือว่าปราสาทพระวิหารเป็นเขตในอำนาจอธิปไตยของไทยโดยยึดสันปันน้ำเป็น เส้นแบ่งเขตตามสนธิสัญญาทวิภาคีกับฝรั่งเศสลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๒ มีใจความดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กำหนดเขตแดนบริเวณที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ให้เป็นไปตามยอดภูเขาปันน้ำระหว่างดินแดนน้ำตกน้ำแสนแลดินแดนน้ำตกแม่โขงฝ่ายหนึ่ง กับดินแดนน้ำตกน้ำมูลอีกฝ่ายหนึ่งจนบรรจบถึงภูเขาผาด่าง แล้วต่อเนื่องไปข้างทิศตะวันออกตามแนวยอดภูเขานี้จนบรรจบถึงแม่โขง ตั้งแต่ที่บรรจบนี้ขึ้นไป แม่โขงเป็นเขตแดนของกรุงสยาม ตามความข้อ ๑ ในหนังสือสัญญาใหญ่ ณ วันที่ ๓ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒
จึง สรุปได้ว่า ในบริเวณเขาพระวิหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขาบันทัดหรือเขาดงรัก เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่สันปันน้ำซึ่งเป็นพรมแดนธรรมขาติตามหลักกฏหมาย ระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาข้างต้นโดยกัมพูชาเป็นผู้สืบสิทธิ์จากฝรั่งเศส

การปักปันเขตแดน
การปักปันดินแดนระหว่างสองประเทศแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ขั้นแรกได้แก่บทนิยาม (definition) ขั้นที่สองคือการลากเส้นบนแผนที่ตามบทนิยาม (delimitation) และขั้นสุดท้าย (demarcation)
-ในกรณีที่เป็นเขตแดนตามธรรมชาติ อาทิ แม่น้ำ ให้ถือร่องน้ำลึกหรือฝั่งแม่น้ำเป็นเส้นแบ่งเขต
-หากเป็นภูเขาก็ต้องเป็นไปตามยอดเขาหรือเส้นสันปันน้ำ
-ในกรณีที่ไม่มีพรมแดนทางธรรมชาติ คณะกรรมการผสมของทั้งสองประเทศจะเป็นผู้ปักหลักเขตแดนร่วมกันด้วยความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย


แผนที่
เป็นที่น่าสังเกตุว่าปัจจุบันมีการอ้างถึงแผนที่มากมายหลายฉบับในวาระต่างๆ
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าแผนที่ฉบับเดียวที่อยู่ในประเด็นปัญหาได้แก่แผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องกัมพูชา
แผนที่ ดังกล่าวคือแผนที่ที่ทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนฝรั่งเศสฝ่ายเดียว เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๐๗ โดยไทยไม่มีโอกาสทดสอบความถูกต้องเนื่องจากไทยยังไม่ได้ก่อตั้งกรมแผนที่ ทหารบก ไทยค้นพบภายหลังว่าแผนที่ดังกล่าวผิดพลาดเพราะการลากเส้นเขตแดนมิได้เป็นไปตามสันปันน้ำแต่คลาดเคลื่อนไปหลายกิโลเมตร ทำ ให้ปราสาทพระวิหารซึ่งอยู่ในเขตไทยไปปรากฏในเขตแดนฝรั่งเศส
ฉะนั้น การที่ผู้หนึ่งผู้ใดอ้างว่าแผนที่ผนวกคำฟ้องของกัมพูชาเป็นแผนที่แสดงเขตแดน จึงผิดพลาดจากความเป็นจริง

สถานภาพของแผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา
ศาล ยุติธรรมระหว่างประเทศจะวินิจฉัยเฉพาะประเด็นคำฟ้องแรกเท่านั้น จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยคำขอเพิ่มเติมของกัมพูชาในเรื่อง
(๑) สถานภาพของแผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา หรือ
(๒) เส้นเขตแดนในบริเวณที่พิพาท
ดัง นั้น ศาลฯ จึงงดเว้นการวินิจฉัยความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่ผนวก ๑ ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา รวมทั้งสถานภาพของแผนที่ผนวก ๑ ทั้งฉบับ หรืออีกนัยหนึ่ง ศาลฯ ไม่ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา


คำพิพากษาของศาลฯ และทางปฏิบัติของรัฐคู่กรณี
ผลผูกพันของคำพิพากษา ข้อ ๕๙ ของธรรมนูญศาลฯ กำหนดว่า
“คำพิพากษาของศาลฯไม่มีผลผูกพันผู้ใดนอกจากคู่กรณีและในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น”
ฉะนั้น คำพิพากษาของศาลฯ จึงผูกพันเฉพาะไทยและกัมพูชา ใช้อ้างยันกับผู้อื่นมิได้ และไม่ผูกพันประเทศที่ ๓ หรือองค์การระหว่างประเทศ อาทิ ยูเนสโกหรือคณะกรรมการมรดกโลก และไม่มีผลเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่อย่างใด เนื่องจากการขึ้นทะเบียนมิใช่ข้อพิพาทในคดีที่ศาลฯ ตัดสิน
อนึ่ง ข้อ ๖๐ ของธรรมนูญศาลฯ กำหนดว่า
“คำ พิพากษาของศาลนั้นถึงที่สุดและไม่มีการอุทธรณ์ ในกรณีที่มีการโต้แย้งเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา ศาลฯจะเป็นผู้ตีความเมื่อคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอ”

จุดยืนและท่าทีของประเทศไทย
ประเทศ ไทยพิจารณาเห็นว่า ศาลฯ มิได้วินิจฉัยคดีปราสาทพระวิหารตามกระบวนการที่ชอบ และได้ตัดสินคดีโดยขัดต่อหลักความยุติธรรมและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้ประกาศจุดยืนของประเทศไทยให้ทราบทั่วกันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย ของศาลฯ แต่ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จึงได้ปฏิบัติตามพันธะข้อ ๙๔ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ทั้ง นี้โดยยื่นคำประท้วงคัดค้านไปยังสหประชาชาติและตั้งข้อสงวนอย่างชัดเจนว่า ไทยสงวนสิทธิที่มีอยู่หรือพึงมีในอนาคตที่จะดำเนินการเรียกคืนซึ่งการครอบ ครองปราสาทพระวิหารโดยสันติวิธี
ดัง นั้น รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ยืนยันจุดยืนดังกล่าวเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ และในวันรุ่งขึ้น จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แจ้งให้ประชาชน ทราบทั่วกัน


การแถลงจุดยืนของไทย
ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง ฯพณฯ อู ถั่น รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ค อ้างถึงคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประกาศจุดยืนและท่าทีของไทยว่าไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านคำพิพากษาซึ่งขัดต่อ สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ และ ๑๙๐๗ นอกจาก นั้นยังขัดต่อหลักความยุติธรรมและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่จะปฏิบัติตามพันธกรณีในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ นอกจากนั้น ไทยยังได้ตั้งข้อสงวนเกี่ยวกับสิทธิที่มีอยู่และจะพึงมีในการครอบครองปราสาทพระวิหารในอนาคตตามกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย อนึ่ง ข้อสงวนดังกล่าวมีผลตลอดไปโดยไม่จำกัดเวลา
ใน การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญที่ ๑๗ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยยังได้มอบหมายให้ นายสมปอง สุจริตกุล ผู้แทนไทยในคณะกรรมการที่ ๖ (กฎหมาย) เป็นผู้แถลงย้ำให้ผู้แทนประเทศสมาชิกสหประชาชาติในคณะกรรมการกฎหมายได้ทราบ ถึงจุดยืนของประเทศไทยตลอดจนเหตุผลทางกฎหมายในการคัดค้านคำพิพากษาโดย ละเอียด ทั้งนี้ ไม่ปรากฏว่าผู้แทนประเทศอื่นรวมทั้งกัมพูชาได้แสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้งแต่ประการใด

เอกสารข้อสงวนสิทธิ์ ปี พ.ศ. 2505
คำแปลหนังสือจาก ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์ ถึงเลขาธิการสหประชาชาติ*
(*แปลโดย ศ. ดร.สมปอง สุจริตกุล)
เลขที่ (๐๖๐๑) ๒๒๒๓๙/๒๕๐๕
กระทรวงการต่างประเทศ
กรุงเทพฯ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (ค.ศ.๑๙๖๒)
เรียน ฯพณฯ อู ถั่น
รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ
นิวยอร์ค
ข้าพเจ้าขออ้างถึงคดีปราสาทพระวิหารซึ่งกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียวได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๕๙ [พ.ศ. ๒๕๐๒] และศาลฯ ได้พิพากษาเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๖๒ [พ.ศ. ๒๕๐๕] ยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร
ในคำแถลงเป็นทางการเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๒ [พ.ศ. ๒๕๐๕] รัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับ คำพิพากษาของศาลฯ โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลไทยพิจารณาแล้วเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวขัดอย่างชัดแจ้งต่อบทบัญญัติ แห่งสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และ ค.ศ. ๑๙๐๗ ในข้อที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตลอดจนขัดต่อหลักกฏหมายและหลักความยุติธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะปฏิบัติตามพันธกรณีแห่งคำพิพากษาตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ภายใต้ข้อ ๙๔ ของกฏบัตรสหประชาชาติ
ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ท่านทราบด้วยว่าการตัดสินใจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาล ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรารถนาจะตั้งข้อสงวนอย่างชัดเจนเพื่อสงวนไว้ซึ่ง สิทธิที่ประเทศไทยมีหรือพึงมีในอนาคตในการเรียกคืนปราสาทพระวิหาร โดยใช้วิถีทางที่ชอบด้วยกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือในอนาคต และขอยืนยันการคัดค้านคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศซึ่งวินิจฉัยให้ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ข้าพเจ้าจึงขอเรียนมาเพื่อทราบพร้อมทั้งขอให้ท่านส่งเวียนหนังสือฉบับนี้ไปยังประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติทุกประเทศ
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(ลงนาม) ถนัด คอมันตร์
(ถนัด คอมันตร์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งประเทศไทย
หมายเหตุโปรดตั้งข้อสังเกตว่า หนังสือของฯพณฯท่าน ถนัด คอมันตร์ ไม่มีเอกสารอื่นหรือแผนที่แนบไปด้วย ตามที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศปัจจุบันกล่าวอ้าง


ปฏิบัติการของไทย
แม้ ศาลยุติธรมระหว่างประเทศจะไม่มีอำนาจบังคับคดี แต่เพื่อแสดงความเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ ไทยได้ดำเนินการถอนบุคลากรจากปราสาทพระวิหารและได้ล้อมรั้วรูปสี่เหลี่ยมผืน ผ้ารอบตัวปราสาทตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย และได้ย้ายเสาธงไทยออกจากบริเวณปราสาทโดยไม่มีการลดธง ทั้ง นี้ เพื่อเปิดโอกาสให้กัมพูชาส่งบุคลากรเข้าไปในบริเวณปราสาทโดยไทยมิได้สละ อำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ซึ่งปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ หรือยอมรับนับถืออธิปไตยของกัมพูชาแต่อย่างใด บริเวณที่ตั้งของตัวปราสาทจึงเป็นพื้นที่เดียวซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน”

ปฏิกิริยาของกัมพูชา
หลัง จากไทยได้ถอนบุคลากรจากประสาทพระวิหารตามคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่าง ประเทศ กัมพูชาก็ยอมรับสภาพโดยดี และมิได้โต้แย้งในการที่ไทยได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาและตั้งข้อ สงวนไว้อย่างชัดเจน กัมพูชานิ่งเฉยตลอดระยะเวลา ๕ ทศวรรษโดยมิได้เรียกร้องอะไรอื่นอีก
กัมพูชา เริ่มมีปฏิกิริยาเมื่อประมาณ ๕-๖ ปีมานี้ โดยแสดงเจตน์จำนงที่จะขยายอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในพระราชอาณาเขตของประเทศไทย เริ่มจากรื้อรั้วที่ไทยสร้างไว้รอบปราสาท นอกจาก นั้น คนชาติกัมพูชายังลอบเข้ามาตั้งถิ่นฐานในวนอุทยานเขาพระวิหารในเขตแดนไทยรวม ทั้งตั้งร้านค้าและแผงลอยซึ่งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเพื่อขายสินค้าให้นัก ทัศนาจร

พื้นที่ทับซ้อน
การกล่าวถึง “พื้นที่ทับซ้อน” ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนนั้น กัมพูชา ได้พยายามขยายขอบเขตคำพิพากษาของศาลฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยแอบอ้างว่าศาลให้ความเห็นชอบแผนที่ผนวก ๑ ซึ่งปราศจากมูลความจริง ทั้งนี้ เนื่องจากในคำพิพากษานั้นเอง ศาลฯ ได้พิจารณาและวินิจฉัยว่าแผนที่ผนวก ๑ ท้ายคำฟ้องของกัมพูชามีข้อผิดพลาดตามที่ปรากฏในรายงานคณะผู้เชี่ยวชาญฝ่าย ไทย ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกัมพูชาไม่อาจหักล้างข้อเท็จจริงที่ว่า “เส้นสันปันน้ำ” บนขอบหน้าผาคือเส้นเขตแดนที่แท้จริงระหว่างไทยกับกัมพูชา เส้นเขตแดนดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนไทย


อายุความฟ้องร้อง
ปัญหา เรื่องอายุความฟ้องร้องไม่เป็นประเด็นในกฏหมายระหว่างประเทศนอกจากในกรณีที่ เกี่ยวกับการฟ้องร้องคดีต่อศาลหนึ่งศาลใดที่มีอำนาจพิจารณาข้อขัดแย้ง ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง หากจะกล่าวถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปัจจุบัน อายุความ ๑๐ ปีมีอยู่กรณีเดียว กล่าวคือการร้องขอให้ทบทวนคำพิพากษาตามข้อ ๖๑ วรรค ๕ แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรม
ใน กรณีปราสาทพระวิหาร การกล่าวถึงอายุความ ๑๐ ปีนั้นใช้เฉพาะสิทธิของคู่คดีซึ่งได้แก่ไทยหรือกัมพูชาที่จะร้องเรียนให้ศาล ทบทวนคำพิพากษาเดิมเท่านั้น ฉะนั้น หากไทยหรือกัมพูชาดำริให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศทบทวนคำพิพากษาปีพ.ศ. ๒๕๐๕ ก็จะเป็นการสายเกินไป(จะหมดไปเมื่อ2515แล้ว-finder) ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดดำริที่จะกระทำเช่นนั้น
ส่วน กรณีอื่นๆ เช่นการเพิกถอนหรือตีความคำพิพากษา การฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ หรือระงับกรณีพิพาทโดยอาศัยกลไกอื่น อาทิ ศาลอนุญาโตตุลาการ ฯลฯ ซึ่งไทยหรือกัมพูชามิได้กระทำการแต่อย่างไร ปัญหาเรื่องอายุความจึงยังไม่เป็นประเด็น

อายุความข้อสงวน
ข้อ สงวนของรัฐบาลไทยต่อคำพิพากษาของศาลในคดีปราสาทพระวิหารซึ่งไทยได้แจ้งไปยัง เลขาธิการสหประชาชาติในหนังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พร้อมทั้งส่งเวียนให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติรับทราบทั่วกันโดยไม่ปรากฏว่า มีประเทศหนึ่งประเทศใดโต้แย้ง ทักท้วง หรือค้ดค้านแต่ประการใดนั้น เป็นข้อสงวนที่ปลอดอายุความ มี ผลตลอดกาลตราบใดที่ยังอยู่ใต้บังคับของกฏหมายระหว่างประเทศ การที่ข้อสงวนดังกล่าวมิใช่เป็นการทบทวนคดีเก่าซึ่งต้องกระทำภายในกำหนดเวลา ที่จำกัดไว้ จึงยังมีผลบังคับจนทุกวันนี้ยกเว้นจะถูกเพิกถอนหรือยกเลิกอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลไทย
(finder-แทรกเพิ่มเติม ซึ่งข้อสงวนของไทยครอบคลุมถึงสิทธิของไทยที่มีอยู่ในขณะนี้ และ/หรือ จะพึงมีในอนาคต ตามกฎบัตรสหประชาชาติ และธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศทุกข้อบท รวมทั้งข้อ 60 ซึ่งไม่มีการจำกัดเวลา 10 ปี ดังเช่น ข้อ 61 ซึ่งมักมีผู้เข้าใจที่สับสนและคลาดเคลื่อน และข้อ 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติ รับรองสิทธิของประเทศคู่พิพาท อย่างกว้างขวาง ตามที่ไทยสงวนสิทธิ)
ศาสตราจารย์ ดร. สมปองสุจริตกุล*
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๒


ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
* B.A., B.C.L., M.A., D.Phil., and D.C.L. (Oxon)
Diplômé d’Etudes Supérieures de Droit International Public, Docteur en Droit (Paris)
LL.M. (Harvard)
of the Middle Temple, Barrister-at-law (United Kingdom)
Diplômé de l’Académie de Droit International de La Haye (Nederland)
-คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
-ศาสตราจารย์กิตติคุณกฏหมายระหว่างประเทศและกฏหมายเปรียบเทียบมหาวิทยาลัยกฎหมายโกลเดนเกท ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
-สมาชิกสถาบันอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศไทย
-สมาชิกสถาบันอนุญาโตตุลาการองค์การกฏหมายเอเซีย-แอฟริกา ณ กรุงไคโร และกัวลาลัมเปอร์
-อนุญาโตตุลาการอิสระ
-อดีตเลขาธิการอาเซียน (ประเทศไทย)
-อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์,เบลเยี่ยม,ลักเซมเบอร์ก,ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส,โปรตุเกส,อิตาลี,กรีก,อิสราเอล และองค์การตลาดร่วมยุโรป
-อดีตหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำ UNESCO และ FAO
-อดีตสมาชิกศูนย์ระงับข้อพิพาทการลงทุนศาลอนุญาโตตุลาการธนาคารโลก ICSID World Bank
-อดีตกรรมาธิการสหปราชาชาติเพื่อพิจารณาค่าชดเชยความเสียหายในประเทศคูเวต (UNCC)
-และทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๒-๒๕๐๕

ขอสรุปด้วยกระทู้” เข้าใจกรณีเขาพระวิหารอย่างง่ายๆ เชิญทางนี้"
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=26931

-เขมรได้สิทธิ์ตัวปราสาท จากคำตัดสินของศาลโลก
-แต่พื้นที่โดยรอบยังเป็นของไทย(ตามสนธิสัญญา) แม้แต่บันไดทางขึ้น
ตามที่จอมพลสฤษดิ์เอารั้วไปกั้นไว้ และ
-ไทยได้ตั้งข้อประท้วงและข้อสงวนตามกฎของศาลโลกว่าถ้าวันหนึ่ง
ข้างหน้าไทยมีหลักฐานเพิ่มเติมก็จะขอนำมาใช้อ้างสิทธิ์ได้อีก

(ข้อสงวนนี้ไม่มีอายุ ตามบทความของ อ.สมปอง สุจริตกุลข้างต้น)


จากผลการยื่นของไทยดังกล่าว ทำให้ไทยยังสามารถอ้างสิทธิ์ในตัวปราสาทได้อีก เท่ากับว่า
ตัวปราสาทคือพื้นที่ทับซ้อนหรือจะเรียกพื้นที่พิพาทก็แล้วแต่

เพราะอ้างสิทธิ์โดยสองประเทศ ส่วนพื้นที่รอบๆเป็นของไทย100% ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนอื่นใดอีก แผ่นดินบริเวณนั้นก็เป็นของไทย เพราะศาลโลกไม่ได้รับรองแผนที่ของเขมร(1:200000) และ ไม่มีพื้นที่กันชนใดๆ(BUFFER ZONE) ไทยจึงมีสิทธิ์เด็ดขาดในพื้นที่ดังกล่าว



เบื้องหลังของคดีนี้คือ

-หลังจากฟ้องร้องกันแล้ว ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิมของเขมร
ได้พยายามซื้อข่าวจากเจ้าหน้าที่เดินสารของไทย(สมัยก่อนยังไม่มีโทรศัพท์) เพื่อให้เขมรใช้แก้ต่างในศาลโลก และก็ได้ผล ไม่ว่าไทยจะใช้แง่ใดขึ้นมาสู้ เขมรแก้ได้หมด เห็นไหมครับว่าฝรั่งเศสช่วยเขมรแค่ไหน และถ้าเราไม่รีบไล่เขมรออกไปจากพื้นที่ของเรา ก็อย่าหวังว่าจะไล่ออกไปภายหลังได้ง่ายๆ

-ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ไปล็อบบี้ศาลที่อยู่ในคณะศาลที่ตัดสินคดีนี้
เนื่องจากตอนนั้นกำลังขัดแย้งกันระหว่างโลกเสรีที่มีอเมริกาเป็นแกนนำกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ศาลก็แบ่งข้างเช่นกัน เขมรตอนนั้นโดยเจ้าสีหนุยอมลงจากบัลลังก์กษัตริย์ มารับตำแหน่งนายกฯ เพื่อเดินงานเอาปราสาทพระวิหาร โดยยอมลงทุนถึงขั้นเป็นคอมมิวนิสต์ (และถูกนายพลลอนนอลยึดอำนาจในเวลาต่อมาโดยมีอเมริกาอยู่เบื้องหลัง) ทำให้ไทยเสียเปรียบและถูกตัดสินให้แพ้คดีแบบพิศดารที่สุดแผ่นดินเป็นของเรา แต่ปราสาทที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเราเป็นของเขมร

-การใช้กฎหมายปิดปาก กรณีที่ไทยไม่ปฏิเสธการใช้แผนที่1:200000ของฝรั่งเศส ในกรณีต่างๆที่ผ่านมา ศาลโลกถือว่าไทยยอมรับ(แต่ก็ไม่มีผลต่อเขตแดน เพราะศาลโลกก็ไม่ได้รับรองแผนที่ฉบับนี้ เขตแดนจึงยังเป็นไปตามสนธิสัญญาดังเดิม) ซึ่งการตัดสินเช่นนี้ก็เพราะผลจากการวิ่งเต้นของทั้งฝรั่งเศษและเขมรดังกล่าวข้างต้น นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า ถ้าแผนที่นี้มีค่าแค่เศษกระดาษแล้วทำไมศาลโลกจึงมีแผนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เท่ากับว่า
แผนที่ก็ยังไม่มีผลต่อเขตแดนไทย แม้จะผ่านศาลโลกมาแล้ว โปรดจำบรรทัดนี้ไว้นะครับ

จบตอนที่2



ตอนที่3
การทำMOU2543 และผลของMOU2543ที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน



“รูปแบบของ MOU 2543 ระหว่างไทย-กัมพูชา จำลองมาจาก MOU 2522และ “ข้อตกลงชั่วคราว” 2533 ระหว่างไทย-มาเลเซีย” มีกรณีน่าสนใจ ควรไปอ่านดูตามลิ้งค์นะครับ
http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=151&Itemid=159

บทความข้างต้น ชี้ว่า ไทยพยายามเอาตัวแทนที่เป็นข้าราชการและนักการเมืองเข้ามาเป็นกรรมการโดยไม่มีตัวแทนจากภาคประชาชนเลย ในขณะที่ทางมาเลเซียส่งตัวแทนจากภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย ทำให้เกิดการมุบมิบหรือเก็บงำผลประโยชน์ต่างๆของกลุ่มข้าราชการและนักการเมืองไทยเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยประชาชนชาวไทยไม่รู้อะไรเลย

ถ้าเอามาเปรียบกับMOU2544 ซึ่งเป็นการปักปันทางทะเล อันผลต่อเนื่องจากMOU43แล้ว ผลประโยชน์ที่อยู่ในอ่าวไทยมหาศาล
เดิมพันนี้สูงมาก ถ้าMOU43ทำให้ไทยเสียดินแดนทางบกให้เขมร บ่อน้ำมันในอ่าวไทยส่วนใหญ่ก็จะเป็นของเขมร บริษัทน้ำมันข้ามชาติทั้งหลายคงอยากคุยกับเขมรมากกว่า เพราะคุยกับฮุนเซ็นคนเดียวก็จบ แต่ถ้าบ่อน้ำมันอยู่ฝั่งไทย ชาวไทยคงไม่ยอมให้ใครมาโกงกินกันง่ายๆ ดังนั้นจึงมีนักการเมืองไทยกลุ่มหนึ่งเริ่มจากทักษิณเข้าไปคุยกับเขมร แล้วทำMOU44 รอจนMOU43ทำให้ไทยเสียดินแดน แล้วเอาหลักสุดท้ายอ้างอิงเพื่อชี้ลงไปในทะเล จากนั้นเขมรก็อ้างสิทธิ์ต่อเนื่องลงไปเอาบ่อน้ำมันในทะเล โดยมีนักการเมืองไทยร่วมมือ แล้วให้สัมปทานหรือแบ่งผลประโยชน์แก่นักการเมืองไทย แค่นี้ผลประโยชน์บ่อน้ำมันของประเทศไทยก็กลายเป็นของเขมรและนักการเมืองโกงชาติทั้งหลาย นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ไม่ยอมเลิกMOU43 ทั้งๆที่เขมรไม่เคยทำตามข้อตกลงเลย

ปัจจุบัน ประธานJBCทางทะเล คือ
สุเทพ เทือกสุบรรณ
ผู้ที่ไปกินข้าวที่บ้านฮุนเซ็นพร้อมกับปวิตร วงศ์สุวรรณ แล้วกลับมาโดยไม่มีการแถลงอะไรเป็นมรรคผล และเมื่อฮุนเซ็นมาเห่าที่สุวรรณภูมิด่าคนไทย เทพเทือกบอกนักข่าวว่า “เราก็อย่าไปฟังเขาสิ” น่าสงสัยไหมครับว่า เทพเทือกจะมาสวมตอแทนทักษิณเรื่องน้ำมันในอ่าวไทย

อยากดูข้อมูลMOU44 เชิญที่ลิ้งค์นี้
http://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=130&Itemid=148
หรือที่นี่ http://tnews.teenee.com/politic/43135.html
ปูพื้นความเชื่อมโยงทางผลประโยชน์แล้ว เราจะมาดูเรื่องMOU2543กัน
จากhttp://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=129&Itemid=147

Image

กรุณาดูรูปภาพข้างบน (ขอขอบคุณ คุณpong-pratumที่ช่วยนำรูปมาให้ )
เอกสารชุดนี้มี 3 แผ่น ขอให้ดูรูปมุมซ้ายบน ตรงข้อ2.1 ข้อย่อย"พื้นฐานทางกฎหมาย"

เอกสารนี้กำหนดกรอบของMOU2543ว่าจะต้องมีอะไรอยู่บ้าง

การทำMOU2543 เป็นผลมาจากการเยือนกัมพูชาของนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เยือนระหว่าง12-14 มกราคม 2537 และได้ออกแถลงการณ์ร่วมฉบับลงวันที่13มกราคม2537 ระบุว่าทั้ง2ฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาขึ้น.......(เกิดJBC)

เมื่อเกิดคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC)และมีการประชุมกัน จนกระทั่งในการประชุมครั้งที่2 ระหว่างวันที่5-7มิถุนายน 2543 ณ.กรุงพนมเปญ จึงสามารถตกลงกันในรายละเอียด และมีการขออนุมัติลงนามใน
บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรับบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU2543)
ถ้าอยากดูข้อความในMOU2543 ให้ไปตามลิ้งค์ มี10แผ่น เป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยอย่างละ5แผ่น
http://www.praviharn.net/index.php?opti ... Itemid=144

จากรายละเอียดในรูปบน
ให้ดูที่ข้อ2.1 ตรงข้อย่อยเรื่องพื้นฐานทางกฎหมาย ระบุไว้ดังนี้

-พื้นฐานทางกฎหมาย การสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก จะดำเนินการโดยใช้เอกสารและหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ

อนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904

สนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907กับพิธีสารแนบท้าย และ

แผนที่แสดงเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน1:200,000
ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน

นี่เอง,จึงเป็นที่มาของ ข้อ 1 ค ในMOU2543 ดังรูปข้างล่าง
Image
Image

จากข้อ2.1นี้ชี้ได้ว่า

1.ใช้เอกสารและหลักฐานที่ผูกพันไทยและกัมพูชา ตามกฎหมายระหว่างประเทศ แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศเข้าใจว่าแผนที่นี้ได้จัดทำขึ้นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน
ซึ่งตามความจริงแล้ว มันไม่ใช่ ตามที่อธิบายไว้ในตอน การเกิดขึ้นของแผนที่1:200,000
จึงได้เอาแผนที่รวมเข้ามาด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเพื่อจะหาแนวเขตเดิมเมื่อครั้งค.ศ.1904และ1907 ก็ควรใช้แค่สัญญาทั้ง2ฉบับ เพื่อให้กรอบต่างๆเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่นี่กลับไปลากเอาแผนที่ ซึ่งไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการปักปันเขตแดนในครั้งนั้นมาร่วมในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน กรอบต่างๆย่อมเพี้ยนไปจากเดิม

2.คงหมดข้อสงสัยแล้วนะครับว่า MOU2543มีแผนที่1:200,000อยู่และยังระบุให้ใช้แผนที่เป็นเอกสารอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงในการสำรวจครั้งนี้ได้
จากข้อนี้เท่ากับไทยยอมรับหรือรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรว่า
แผนที่1:200,000มีผลผูกพันกับการปักปันเมื่อค.ศ.1904และ1907แล้ว ทั้งๆที่แต่เดิมมา มันเป็นแค่เศษกระดาษ


สำหรับคนที่เชียร์ปชป.หรือMOU43ในเวบนี้หลายคนที่บอกว่าไม่มีแผนที่ในตอนแรก ก็ไม่กล้าพูดคำนี้อีกเลยในปัจจุบัน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลไม่ยอมบอกความจริงข้อนี้ออกมา ทำให้คนที่เชียร์ไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง จึงแย้งแบบไม่รู้จริง ผิดกับฝ่ายพธม.ที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้คนทั่วไปได้ทราบว่า มีการสมยอมยกแผ่นดินให้เขมร ถ้าข้อมูลเหล่านี้รู้ไปในวงกว้าง คงหาคนเชียร์รัฐบาลและMOU43ได้ยาก


ข้อสงสัย
สนธิสัญญากับแผนที่ อะไรใหญ่กว่าหรือควรอ้างอิงอะไรเป็นหลัก


ผมมีคำตอบให้เช่นกัน เชิญอ่าน คำตอบนี้ ผมเอามาจากลิ้งค์ข้างล่าง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000107078

เอกสารอีกชิ้นหนึ่งชื่อว่า “ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว” ซึ่งจัดทำโดย กรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ จัด ทำเมื่อปี พ.ศ. 2547 (ซึ่งเป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นหลัง MOU 2543) แม้ว่าจะไม่ใช่เอกสารไทย-กัมพูชา แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกันอยู่ก็คือ “วิธีคิด” ของกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศต่อแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน โดยยึดถือว่า “แผนที่ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว” นั้นถือเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยาม-กับฝรั่งเศส และยังยึดถือด้วยว่า “แผนที่” เป็นหลักเหนือ “สนธิสัญญา” ดังนั้นจึงไม่มีพื้นที่พิพาทหรือทับซ้อน และมีเส้นเขตแดนเดียวก็คือ “แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน” เท่านั้น

ในหน้า 15 - 16 ในเอกสารของกรมสนธิสัญญาฉบับนี้ระบุความตอนหนึ่งว่า:

(1)เนื่องจากแผนที่ชุดนี้เป็นผล งานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ ชุดที่ 1 ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 ดังนั้นส่วนใหญ่ของแผนที่ชุดนี้ (จำนวน 9 ระวาง) จึงแสดงเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาและความตกลงฉบับปี ค.ศ. 1904 ซึ่งยังมีผลใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียง 6 ระวาง (ระวางเมืองคอบและเชียงล้อม / ระวางลำน้ำต่างๆ ทางภาคเหนือ/ ระวางเมืองน่าน/ ระวางจำปาสัก/ ระวางโขง/ และ “ระวางดงรัก”)

และ หน้า 74 วรรคสุดท้าย ระบุว่า:

ฝ่ายไทยมีความเห็นว่า เส้น เขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ดังกล่าวซึ่งขัดแย้งกับสันปันน้ำธรรมชาติซึ่งเป็น เส้นเขตแดนที่กำหนดไว้ตามสนธิสัญญาฯ นั้น ต้องถือเส้นที่ปรากฏในแผนที่เป็นสำคัญ เนื่องจากสนธิสัญญาซึ่งจัด ทำก่อนแผนที่ ระบุเพียงหลักการของการกำหนดเส้นเขตแดนไว้ แต่รายละเอียดของเส้นเขตแดน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกำหนดไว้ในแผนที่ ซึ่งจัดทำขึ้นมาภายหลังสนธิสัญญา ตามหลักกฎหมาย ต้องถือว่าเจตนาล่าสุดของทั้งสองฝ่ายลบล้างเจตนาแรกที่ขัดแย้งกัน
นอกจากนั้นคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเขาพระวิหารได้วินิจฉัยว่าแผนที่มีฐานะเหนือกว่าสนธิสัญญา
(finder-กระทรวงการต่างประเทศไปเอามาจากไหน)

ความน่าเป็นห่วงในวิธีคิดข้าราชการกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศนั้นนอกจากจะตีความเกินกว่าขอบเขตคำพิพากษาของศาลโลก แล้ว ยังตั้งหน้าตั้งตาที่จะยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน และไม่ได้ยึดหลักสันปันน้ำแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้พูดเอาไว้

ข้อสำคัญคือข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเองก็อยู่ในคณะ กรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาด้วย และถือเป็นหน่วยงานหลัก คิดดูว่าการปักปันภายใต้ MOU 2543 โดยหลักคิดเช่นนี้จะน่ากลัวเพียงใด?

แล้วลองคิดดูว่าหากการสำรวจและปักปันไม่แล้วเสร็จเพราะยัง ขัดแย้งกันไม่เลิก แล้วมีการเปลี่ยนรัฐบาลโดยไม่ได้มีการยกเลิก MOU 2543 จะมีหลักประกันอย่างไรว่ารัฐบาลชุดใหม่จะไม่คิดเหมือนกับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช หรือกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศในช่วงเวลาที่ผ่านมา? (จบบทความ)


( เพิ่มเติม)
เมื่อแผนที่ไม่ถูกต้อง และไม่เคยเป็นที่ยอมรับ จึงไม่มีผลตามกฎหมายตั้งแต่อดีต จนกระทั่งมีการกำหนดไว้ในMOU43 (เชิญดูข้อความได้จากรูปในตอนที่3 )และยังบอกว่า
เป็นแผนที่ที่เกิดจากคณะกรรมการปักปันเมื่อ1904และ1907 ประโยคนี้มีความหมายทางกฎหมายว่า
ไทยเรารับรองว่าแผนที่นี้เป็นแผนที่ที่เกิดขี้นจากคณะกรรมการปักปันเมื่อ1904และ1907 ในอดีตไม่มีการรับรองจึงเป็นแผนที่เก๊ แต่เมื่อปัจจุบันรับรองแล้ว ก็มีผลให้ใช้ได้ จึงเป็นแผนที่จริงขึ้นมาทันที แม้จะขัดกับรายละเอียดในสนธิสัญญาก็ตาม เขมรจึงพูดแต่แผนที่ฉบับนี้มาตลอด และแทรกมันเข้าไปกับทุกการเจรจา

และเมื่อกำหนดไว้ในMOU43ว่านอกจากสนธิสัญญาแล้ว ก็ให้ใช้แผนที่ได้ด้วย(เพราะเป็นแผนที่จริงแล้ว) ก็เท่ากับว่า ก็เหมือนกับรับรองให้เอาแผนที่มาเถียงกับสนธิสัญญาได้

นี่คือสิ่งที่ผมจะสื่อครับ



ลองดูสิครับว่าคนที่เชียร์MOU43คนหนึ่งในเวบนี้ เขาเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
จากกระทู้ชื่อ MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=26937

ฉลาม wrote:อ่านบทความ ดร.โกร่ง ก็รับทราบข้อมูลชั้นที่หนึ่ง จาก อาจารย์ มรว.เสนีย์ ปราโมช ท่านก็บอกแพ้แต่ต้องสู้เต็มที่

ประเด็น แผนที่ ในวิกิพีเดีย ก็มีเนื้อหาทำนองว่า " ไม่ยอมรับ 1 : 200,000 มันเป็นไปได้ยาก" เพราะปักปันกับลาวก็อาศัย ทั้งแผนที่ และ เอกสารในอนุสัญญา 1904-1907

ก็ระวาง Khong นั่นไง จากอุบลราชธานี น้ำยืน นาจะหลวย บุณทริก ไปเกือบๆ ถึง จำปาศักดิ์ ช่วงนี้ ใช้แผนที่ตามสันปันน้ำ และ ระวาง Khong มาตราส่วน 1 : 200,000 ทำไปได้กว่า 80 % แล้วมั๊ง

เพราะมันเป็นข้อตกลงติดกันมาแบบ ไทย/อินโดจีน จะไปทำลักลั่น หลายมาตรฐานก็ลำบาก ทางที่ดี มี MOU 2543 ค่อยเจรจากันไป ได้แค่ไหนก็ดูเอาว่า ได้เปรียบ เสียเปรียบอะไร

บ้านรั้วติดกัน โฉนดติดกันยังมีปัญหากันได้ สอบเขตทีไรก็ต้องอลุ่มอหล่วยกันไป ไม่งั้นไม่จบ ต้องไปที่ศาล เจ้าหน้าที่ที่ดินยังตัดสินให้ไม่ได้ อย่างมากก็ไกล่เกลี่ย ไม่ให้คดีรกศาล

หรือไทยอยากให้มีคนมาไกล่เกลี่ย ยังงั้นหรือเปล่า




เห็นไหมครับว่า ฉลามหรือ แคนไท หรือ แม่นาคในปัจจุบันก็รู้อยู่ว่าชายแดนไทย-ลาวก็ใช้1:200,000ในการปักปันตามที่บทความของอ.ปานเทพได้บอกไว้ แล้วที่เขามาแย้งพธม.ในเวบนี้ คุณแม่นาคแกล้งโง่หรือครับ


ข้อสงสัย
ถ้ายกเลิกMOU2543แล้ว เราจะเอาอะไรไปชี้แจงต่อกรรมการมรดกโลก

ขอตอบด้วยข้อความนี้
สถานะสุดท้ายที่มีการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ปราสาทพระวิหารเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2505

1.เส้นเขตแดนยังเหมือนเมื่อหลังปีค.ศ.1907เป็นต้นมาคือยึดสันปันน้ำ ทั้งหมดเป็นของไทย
2.เขมรมีสิทธิ์เฉพาะตัวปราสาท ตามคำตัดสินของศาลโลก
ก็สถานะนี้แหละที่จะไปยืนยัน เพราะสถานะนี้แหละที่ในอดีตทำให้เขมรทำอะไรไม่ได้เลย ผมฟันเสาธงเลยว่า ถ้ากลับไปสถานะนี้ เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่ได้

สถานะนี้คงอยู่มาจนมีMOU43,44และTOR46 จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดปัญหา
ส่วนที่เพิ่มเข้ามาทำให้ผิดเพี้ยนไปคือ
-แผนที่1:200,000ของเขมร โผล่มาอยู่ในMOU43
-รัฐบาลไล่คนไทยออกจากพื้นที่และให้เขมรเข้ามาอยู่แทน
- เขมรมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่ของไทย
-เขมรสร้างถนนขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้สุ่มเสี่ยงให้ไทยต้องเสียดินแดน แล้วจะมาบอกว่าไม่เสียดินแดนเพราะMOUได้ไงครับ

ข้อสงสัย
ทำไมตั้งแต่มีMOU43 อ.สมปองจึงไม่เคยพูดอะไร แต่กลับมาพูดตอนนี้

ผมขอตอบโดยการตั้งข้อสังเกตกลับไปดังนี้
1.ขณะทำMOU43 ท่านน่าจะเกษียณไปแล้วครับ แล้วท่านจะทราบได้
อย่างไร
2.ตอนก่อนทำ,ขณะทำและหลังจากทำแล้ว
-รัฐบาลชวนเคยขอคำปรึกษาจากท่านหรือไม่
-รัฐบาลชวนเคยแจ้งรายละเอียดในข้อตกลงให้ท่านทราบหรือไม่ ทั้งก่อน
และหลังทำ
-รัฐบาลชวนเคยเชิญให้ท่านเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่ เพราะ
ท่านเกษียณแล้ว

จากข้อสังเกตุทั้ง2ข้อ ท่านจะทราบได้อย่างไรครับ



ข้อสงสัย
ทำไมกระทรวงการต่างประเทศจึงเอาแผนที่เข้ามาไว้ในสัญญา

ดูคำตอบเต็มๆได้จากที่นี่
http://www2.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000109541
นายคำนูณกล่าวว่า รัฐบาลต้องอธิบายความหมายของเอ็มโอยูให้ชัดเจน ที่นายชวนนท์พูดเหมือนกับว่า เราไม่อยากให้มีข้อ 1 ค. แต่กัมพูชาอยากให้มี เลยจำเป็นต้องใส่เข้าไป ตนเคยเชิญเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจงที่วุฒิสภา ก็ให้ข้อมูลเช่นกันว่าทีแรกเราไม่อยากเขียนเพราะเราจะเสียเปรียบจากที่ศาล โลกเคยตัดสินกรณีปราสาทพระวิหาร แต่ฝ่ายกัมพูชาก็ขู่ว่า ถ้าไม่เขียนไว้เขาจะเอาเรื่องขึ้นศาลโลก ซึ่งถ้าจะอ้างตรรกะนี้ การยอมเขียนข้อ 1 ค. ก็ทำให้กัมพูชาได้เปรียบอยู่ดี เมื่อเทียบกับการขึ้นศาลโลก


ข้อสงสัย
แถลงการณ์ร่วมของนพดลถูกยกเลิกตามคำสั่งศาลแล้วหรือยัง


เป็นเอกสารจากยูเนสโก้ แปลเป็นไทยแล้ว เอามาจาก
http://accomthailand.wordpress.com/2008/07/08/%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B0/
(๕) ยอมรับว่าแถลงการณ์ร่วมลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ค.ศ.๒๐๐๘ โดยผู้แทนรัฐบาลกัมพูชาและไทยตลอดจนยูเนสโก รวมทั้งร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ซึ่งได้มีการกล่าวถึงอย่างผิดพลาดว่าได้มีการลงนามเมื่อวันที่ ๒๒ และ ๒๓ พฤษภาคม ค.ศ.๒๐๐๘ ในเอกสาร WHC - 08/32. COM/INF. 8 B 1. ADD.2 นั้นจะต้องไม่นำมาพิจารณาอีกเป็นไปตามรัฐบาลไทยที่จะยกหรืองดเว้นผลของแถลงการณ์ร่วมนั้นไว้ก่อนตามมาตรการชั่วคราวของศาลปกครองของไทย
สังเกตุคำพูดนะครับ (ภาษาฑูตนี่ซ่อนความหมายได้ดีจริงๆ) ตามคำพิพากษาของไทยว่าแถลงการณ์ร่วมนี้ผิดกฎหมายไทย ซึ่งที่ถูกแล้ว ต้องยกเลิกครับ แต่นี่ไม่ได้ยกเลิกนะครับ แต่ให้ยกหรืองดเว้นผลของแถลงการณ์ร่วมนั้นไว้ก่อน แล้วจะให้เข้าใจว่าไงครับ

อภิสิทธิ์พูดเองว่า แจ้งให้ทางยูเนสโก้ทราบเรื่องที่ศาลปกครองตัดสินดังกล่าว ก็แสดงว่าอภิสิทธิ์หรือกระทรวงการต่างประเทศแหกตาคนไทยแถลงการณ์ร่วมยังไม่ได้ถูกยกเลิกจากทางยูเนสโก้ แค่ให้ยกหรืองดเว้นผลเท่านั้น

ข้อสงสัย
ทำไมอภิสิทธิ์พูดอยู่ตลอดว่าไทยไม่เสียดินแดน โดยไม่สนข้อเท็จจริงใดๆเลย

ผมเคยสรุปไว้ดังนี้

อภิสิทธิ์พูดอยู่คำเดียวตั้งแต่ต้นว่า "ไม่เสียดินแดน" คนทั้งประเทศก็ได้ยิน ถ้าเขายอม
กลับคำพูดตอนนี้ ผลเสียจะมหาศาลมาก

1.จะโดนทุกฝ่ายประนามทันที โดยเฉพาะพรรคปชป.ที่ไปทำข้อตกลงอย่างไม่ระมัดระวัง
(ในอดีตปชป.เป็นพรรคที่ทำงานตามข้อเสนอของข้าราชการเท่านั้น ไม่ค่อยริเริ่มโครงการเอง
จนมาเจอปัญหากับแม้ว ถึงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริหาร)จนถึงขั้นเสียดินแดนให้กับอดีต
ประเทศราชของตนเอง ไม่มีทางปัดความรับผิดชอบครับ หนักกว่าคดียุบพรรคอีก
ในฐานะหัวหน้าพรรค ต้องโดนทั้งพรรคและสมาชิกพรรคตำหนิ(แม้จะมีส่วนหนึ่งชมว่ากล้า)
และนี่อาจเป็นปัจจับบีบให้อภิสิทธิ์ยังต้องพูดอยู่ว่า"ไม่เสียดินแดน"

2.อภิสิทธิ์ เองในฐานะนายกฯคงต้องรับผิดชอบที่ตนเองผิดพลาดในเรื่องที่สำคัญมากเช่นนี้ ถ้าไม่ลาออก ก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการเขี่ยตนออกจากตำแหน่ง ออกมาเรียกร้องให้รับผิดชอบ ฝ่ายตรงข้ามมีใครบ้าง
-เพื่อไทย แน่นอน
-ภูมิใจไทย แต่จะเล่นอยู่เบื้องหลัง มีสาเหตุหลายอย่างทั้งการโกงกินของพรรคนี้,ปัญหาของพัชรวาทที่ปวิตร พยายามช่วยน้องเต็มที่ เป็นต้นและที่สำคัญ เทพเทือกมีลุ้นขึ้นเป็นนายกฯจากเหตุนี้ และภูมิใจไทยและเพื่อไทยก็คงยอม เพราะเทพเทือกซี้ปึ้กกับทักษิณดังกล่าวมาแล้ว ส่วนภูมิใจไทยได้กระทรวงเกรดเอก็เพราะเทพเทือก
อาจมีส่วนหนึ่งที่ยอมให้อภัย แต่พรรคเพื่อไทยต้องเอามาเป็นประเด็น และต้องเป็นเรื่องใหญ่ ก็ถึงเสียดินแดนนี่ครับเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ อาจมีคนแย้งว่า แม้วก็มีแผลในเรื่องนี้ แต่อย่าลืมว่าปชป.เป็นคนตั้งต้นเรื่องนี้ แม้วต้องโยนบาปมาให้แน่นอน โดยอ้างว่า มันทำต่อเนื่องจากข้อตกลงที่มีอยู่แล้ว

ถ้าคุณเป็นอภิสิทธิ์ คุณจะแก้ปัญหา2ข้อแรกอย่างไรเล่าครับ

3.ฮุน เซ็นคงออกมาเห่าและเดินเครื่องช่วยแม้วต่อ หลังจากพักรอดูท่าทีไทยในเรื่องดังกล่าว อย่าปฏิเสธว่าเราไม่ได้ไปตกลงอะไรกับเขมร เพราะหลังจากไม่สามารถผ่านสภาฯจนต้องตั้งกรรมาธิการร่วม อภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ทันทีว่า ได้แจ้งเรื่องนี้ไปให้ฮุนเซ็นทราบแล้ว (แม่ เจ้าโว้ย, ถึงกับต้องรายงานทันที ) ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของนายกฯหรือครับ ถ้าไม่มีอะไรกันเป็นพิเศษ ทำไมต้องแจ้งไปทันที หรือกลัวเขมรเอาไปขึ้นทะเบียนไม่ทันตามขั้นตอนในปีหน้า อภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ทำนองว่า ถ้าบริเวณเขาพระวิหารมีปัญหามาก กลัวว่าเขมรจะขึ้นทะเบียนไม่ได้

(เพิ่มเติม)
4.ผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทยที่เทพเทือกเป็นประธานJBCทางทะเลก็จะพังครืนลงทันที แต่อภิสิทธิ์จะมีผลประโยชน์ด้วยหรือไม่ คงต้องไปถามอภิสิทธิ์เอง แต่การยอมออกหน้าในเรื่องปราสาทพระวิหารโดยไม่ยอมฟังใคร แม้หลักฐานจะมีมากมายและเป็นรูปธรรม ขนาดผู้ที่ทำเรื่องนี้มาแต่ต้นเช่นอ.สมปอง สุจริตกุลและอดีตกรรมการมรดกโลกของไทยเช่นอ.อดุลย์ วิเชียรเจริญ และอดีตศาลและเป็นประธานคตส.ด้วยเช่นท่าน นาม ยิ้มแย้ม ท่านเหล่านี้ได้ให้ข้อมูลแก่นายกฯ นายกฯก็ยังพูดอยู่เช่นนั้น มันผิดปกติอย่างมากครับ

ผลจากคำพูดที่ได้พูดไปตลอดว่า"ไม่เสียดินแดน" แล้วมากลับคำพูดก็ดังที่ผมบอกไว้แล้วข้างต้น
แต่ไม่ว่าอภิสิทธิ์จะเลือกอย่างไร ก็ต้องโดนหนักทั้งพรรคและตัวเอง ไม่มีทางเลี่ยง จึงต้องยืนกระต่ายขาเดียวว่า

MOU43ทำให้เราไม่เสียดินแดน เพราะเป็นช่องทางสุดท้ายแล้ว


บอกตามตรงว่าผมไม่เคยไว้ใจนักการเมืองเลวชาติพวกนี้
ถ้านักการเมืองพวกนี้ทำเพื่อชาติจริง ตอนนี้ประเทศนี้คงไม่วุ๋นวายอย่างนี้ใครว่านายกฯดี ก็ว่าไป ท่านก็พายเรือไปสิครับ หน้าที่ท่านมีแค่นั้น
ที่เหลือเป็นหน้าที่ของโจรครับ...




ขอสรุป เรื่องMOUด้วยบทความนี้
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000110822

ตรรกะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวเอาไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ว่า นักการเมืองที่คิดร้ายต่อบ้านเมืองหากไม่มี MOU 2543 แล้วก็จะสามารถกลับไปยึดแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น จึง “เป็นไปไม่ได้” เพราะไม่มีเอกสารใดๆ ทั้งสิ้นที่ระบุว่าฝ่ายไทยได้เคยมีข้อผูกพันตามแผนที่ดังกล่าวแต่ประการใด นอกจาก MOU 2543 เท่านั้นที่มีความสุ่มเสี่ยงเพราะมีการระบุว่าให้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทางบกตามแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ด้วย
(เป็นการอนุญาตให้เขมรใช้แผนที่นี้ได้อย่างถูกต้องเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะไทยยอมรับให้ใช้ได้ตามMOU2543นั่นเอง แต่เดิมมา เขมรทำอะไรไม่ได้เพราะเหตุนี้ด้วย-finder)


หากยึดหลักสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ยึดหลักผลงานของคณะกรรมการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกของสยาม-ฝรั่งเศส และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 ประเทศไทยจะเรียกดินแดนทั้งหมดที่ถูกกัมพูชารุกล้ำอยู่ในขณะนี้ว่า “ดินแดนไทย”เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะไม่เป็นพื้นที่ซึ่งพิพาทหรือทับซ้อน และสามารถผลักดันทันทีได้หลายรูปแบบด้วยเงื่อนไขที่ว่า
“กัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทย” ไม่ใช่เหตุผลว่า “กัมพูชามีการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในพื้นที่พิพาทตามข้อ 5 ใน MOU 2543” ซึ่งทำได้สูงสุดตามเงื่อนไขในข้อ 8 ของ MOU 2543 คือ “หากมีข้อพิพาทต้องใช้สันติวิธีเท่านั้น” ซึ่งไม่สามารถทวงคืนดินแดนที่ถูกกัมพูชายึดครองอยู่ได้

ด้วยเหตุผลนี้กัมพูชาจึงต้องโวยวายไปทั่วโลกเพื่อกอด MOU 2543 เอาไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเดียวกันกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีผิดเพี้ยน!!!



ลองมาดูว่า เขมรคิดอย่างไรเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000115868

กัมพูชาออกแถลงการณ์ ตามแถลงการณ์อ้างว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พื้นที่หมู่บ้านตลาดใกล้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจบริหารของกัมพูชาและ ประชาชนกัมพูชาก็อาศัยมาก่อน MOU 43 เสียอีก ขณะที่การปรับปรุงพื้นที่ทั้งถนนและสิ่งก่อสร้างทางตะวันตกของพระวิหาร รวมทั้งศูนย์ซื้อขายของสำนักท่องเที่ยวทางทิศเหนือก็ไม่ได้เป็นการละเมิด หลักปฏิบัติในข้อ 5 ของ MOU ตามที่ไทยกล่าวหาแต่อย่างใด และไม่ใช่ประชาชนชาวไทยฝ่ายเดียวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาอย่างช้านาน ตามที่ไทยกล่าวอ้างอีกด้วย อีกทั้งข้อกล่าวหาจากไทยว่า มีความไม่ชอบมาพากลจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาใน วันที่ 4 กรกฎาคมปี 51 ที่ประเทศแคนาดา เป็นสาเหตุของความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ความจริง คือ ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา และประเทศไทยได้รับการยอมรับอย่างจริงจังแล้ว ที่ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบจะอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 และความรุนแรงมากที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 51 บริเวณลานอินทรีใกล้กับวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และเหตุการณ์ในเดือนเมษายน ปี 52 ในพื้นที่ตลาดใกล้กับบันไดทางขึ้นฝั่งเหนือของปราสาทพระวิหาร อันเนื่องมาจากการบุกรุกของทหารไทย และความพยายามที่จะครอบครองดินแดนของกัมพูชา ซึ่งได้รับบทเรียนอันแข็งกร้าวจากกัมพูชาจนนำไปสู่การสูญเสียชีวิต แต่ดูเหมือนว่านักการเมืองไทยโดยเฉพาะคนในรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์จะไม่ได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนอันขมขื่นนั้นเลย แม้ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่แสดงให้ประชาคมโลกรู้ว่า ประเทศไทยมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีต่อกรณีปราสาทพระวิหารในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาก็ตาม
และจาก แปลกแต่จริง มาร์คเรียก พื้นที่พิพาท แต่บัวแก้วเรียก ดินแดนเขม
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000107078
แต่ก็ใช่ว่าไทยทำการประท้วงด้วยการอ้างถึง MOU 2543 ข้อ 5 ฝ่ายเดียว เพราะกัมพูชาก็ประท้วงฝ่ายไทยในการละเมิดข้อ 5 MOU 2543 กลับเช่นกัน โดยนาย วาร์ คิม ฮอง รัฐมนตรีอาวุโสรับผิดชอบด้านกิจการชายแดนของกัมพูชาได้เคยปราศรัยในการ ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย สมัยสามัญ ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2552 ความตอนหนึ่งว่า:
“ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 การละเมิดมาตรา 5 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา (MOU) พ.ศ. 2543 โดยทหารไทย ใน พื้นที่ดงรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือน ปราสาทตากราเบ็ย ฯลฯ ได้ก่อให้เกิดสถานการณ์ใหม่ที่ประเด็นยังคงค้างอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชายังยึดมั่นที่จะอดกลั้นที่สุดเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาโดยสันติ วิธีและฉันมิตร”

เห็นไหมว่า มันต้องการปราสาทบริเวณชายแดนทั้งหมด


ผมสรุปบ้าง
วิธีคิดและ/หรือข้อมูลที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ทำให้เกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อชาติ ถ้านายกฯยังดันทุรังไม่ทำอะไร ไทยต้องเสียดินแดนตลอดแนวชายแดนให้แก่เขมร รวมทั้งพื้นที่ในทะเลที่มีน้ำมันด้วย และจากคำแถลงของกัมพูชาก็บอกได้ว่า กัมพูชายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ดินแดนตามแผนที่1:200,000มาครอง โดยอาศัย

1.หลักพฤตินัย ด้วยการเอาคนเขมรเข้ามาอยู่อาศัย นอกจากนี้ฮุนเซ็นยังพยายามออกสื่อให้ชาวโลกเห็นว่า พื้นที่ตรงนั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของเขมร ด้วยการไปทำพิธีที่วัดแก้วฯ และการที่ทหารไทยจะเข้าไปก็ต้องปลดอาวุธ
ส่วนกษิต เมื่อคราวที่ไปดูก็ต้องขออนุญาตเพื่อเข้าไปนะครับ คนเขมรเข้ามาในพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่รัฐบาลไทยเข้าไปทำอะไรคนเขมรไม่ได้ เป็นการแสดงให้ชาวโลกเห็นว่าอธิปไตยบริเวณพื้นที่รอบปราสาทเป็นของเขมรไปแล้ว

อ.เทพมนตรี เคยขอให้นายกฯช่วยเดินทางไปดูงานบริเวณนั้นหน่อย ตั้งแต่ท่านมาเป็นนายกฯ ท่านยังไม่เคยคิดจะไปดูพื้นที่นี้บ้างหรือครับ
ทั้งๆที่เป็นพื้นที่ที่มีปัญหามากอีกแห่งหนึ่งทีเดียว อย่างนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าฮุนเซ็นปกครองพื้นที่บริเวณนี้อยู่น่ะสิ ใช่ไหมครับนายกฯอภิสิทธิ์

2.หลักนิตินัย ก็คือการได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศว่าพื้นที่นี้เขมรมีอธิปไตย วิธีง่ายๆก็อย่างที่คณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกไงครับ และพยายามใช้วิธีนี้ลามไปครองปราสาทที่อยู่ตามแนวชายแดนทั้งหมด ด้วยการใช้แผนที่1:200,000เช่นกัน แค่นี้ดินแดนที่แผนที่นี้กินเข้ามาทั้งหมดก็จะตกแก่เขมร ความฝันของเขมรและเจ้าสีหนุก็จะเป็นจริง
อ.เทพมนตรีเคยกล่าวว่า
บริเวณพื้นที่โดยรอบ(ปราสาทพระวิหาร)จะมีประเทศอื่นๆ อีก 6 ประเทศมาตั้งอาณานิคมในพื้นที่เขตแดนไทย ซึ่งตนสามารถบอกได้เลยว่า ประเทศที่จะมามีส่วนในการบริหารจัดการนั้น ประกอบด้วย อเมริกา จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น กัมพูชา ส่วนอีกอีกประเทศหนึ่งอาจเป็น อินเดีย ลาว หรือเบลเยียม ซึ่งการให้มิตรประเทศ เข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย จะกลายเป็นความวุ่นวาย และเป็นการยอมรับแผนที่ของกัมพูชาไปโดยปริยาย โดยการอ้างถึงการประกาศให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทั้งที่ไทยแสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนที่ฉบับนี้มาตลอด ที่สำคัญพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของไทย แต่หลังเป็นมรดกโลกไทยจะกลายเป็นเพียง 1 ใน 7 ประเทศที่เข้าไปบริหารจัดการเท่านั้น
นาย เทพมนตรี กล่าวอีกว่า ล่าสุดตนมีเอกสารที่คณะกรรมการมรดกโลกทั้ง 21 ประเทศได้รับ เป็นเอกสารยัดไส้ที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน คือ เอกสารเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2551 ที่กรุงปารีส ลงนามโดยปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตอนท้ายระบุว่า

การกำหนดพื้นที่มรดกโลกจะไม่มีพื้นที่ ที่เป็นกรณีพิพาทหรือเขตบัฟเฟอร์โซน และในข้อตกลงร่วมที่ นายนพดล ไปลงนามกับ กัมพูชา ก็ยกพื้นที่พิพาทออก ซึ่งหมายความว่า กัมพูชาสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ได้ และถ้ากัมพูชา ต้องการขึ้นทะเบียน แต่ตัวปราสาทพระวิหาร ก็ไม่จำเป็นต้องมีประเทศต่างๆ เข้ามาบริหารจัดการถึง 7 ประเทศ แต่เพราะกัมพูชา รู้ว่าแผนที่ที่เสนอไปนั้นกินพื้นที่อาณาเขตไทยมากกว่าจึง เสนอถึง 7 ประเทศให้เข้ามาบริหารจัดการ
(finder-เพิ่มเติม ล่าสุดจากเวทีชี้แจงของพธม.บอกว่า บริษัทน้ำมันที่เข้าไปขอสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจากเขมร ล้วนมาจากประเทศที่จะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ตามแผนบริหารของเขมรที่จะยื่นในปี2554)

“ขณะนี้ผมทราบว่ากัมพูชามีแผนบูรณะปราสาทพระวิหารแล้ว โดยได้ว่าจ้าง บริษัทประเทศฝรั่งเศส ไปทำผังปราสาทพระวิหาร อย่างละเอียด โดยมีเทคนิคการบูรณะต่างๆ พร้อมแล้ว ซึ่งจะมีกลุ่มคนไทยที่ทุรยศกลุ่มหนึ่ง เอาบริษัทในประเทศไทย ขอไปร่วมบูรณะปราสาทพระวิหารด้วย รวมทั้งอยากให้คนไทยทุกคนช่วยกันจับตาดูความคิด และการกระทำของนายปองพลด้วย”

มาสรุปต่อ ถ้างานนี้เสร็จ
ฮุนเซ็นซึ่งเป็นคนธรรมดา ไต่เต้าจนได้เป็นนายกฯ
ปัจจุบันเป็น “สมเด็จ”
งานนี้ไม่แคล้วจะได้เป็น “เจ้า”
เทียบชั้น เจ้านโรดม ทั้งหลายทีเดียว
ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนทั้งจากการจัดตั้งและบริสุทธิ์ใจ
เจ้าสีหนุจะไม่ยอมคงไม่ได้แล้ว

จบตอนที่3
มีตอนที่4 แต่ต้องขึ้นหน้าใหม่ เวบเพจรับตัวหนังสือไม่ไหว
Last edited by finder on Mon Feb 14, 2011 10:13 pm, edited 5 times in total.
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby finder » Mon Dec 20, 2010 1:11 am

ตอนที่4
ข้อสังเกตและเรื่องอื่นๆที่จะยกมาให้เห็น



1.จากบทความของผมชื่อ ใครกลัวการยกเลิกMOU43 ดูง่ายๆได้ที่นี่
http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=27023
เคยมีการพูดว่าMOU43มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

- ฝ่ายให้ยกเลิกบอกว่า มันทำให้ไทยเสียดินแดน

-ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าไม่จริง มันทำให้เราไม่เสียต่างหาก

ผมคิดว่า ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ยอมออกสื่อเถียงกันตรงๆให้ประชาชนได้ทราบทุกประเด็น ชาวเราคงเถียงกันอยู่อย่างนี้แหละ

ผมก็เลยมานั่งคิดดูว่า ทำไมไม่มองจากมุมของเขมรดูบ้าง เพราะถ้าเขมรแสดงอาการออกมา เราจะจับได้ว่า เขมรชอบหรือไม่ชอบMOUอย่างไรกันแน่ ถือเป็นวิธีดูทางอ้อม แต่ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ขอเริ่มดังนี้

ตอนที่ฮุนเซ็นมายืนเห่าที่สุวรรณภูมิ กรณีที่ตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้เขมร และมีการโต้แย้งกันระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์กับฮุนเซ็น ขนาดเรียกเอกอัครราชฑูตกลับทั้ง2ฝ่าย และเถียงกันทุกวัน สุดท้าย อภิสิทธิ์พูดผ่านสื่อว่า

ถ้าฮุนเซ็นยอมให้ที่พำนักแก่ทักษิณ ถือว่าให้ความช่วยเหลือคนที่เป็นอันตรายต่อประเทศไทย ทางไทยจะขอยกเลิกสนธิสัญญาที่ทำไว้กับกัมพูชา ทุกฉบับที่เห็นว่าเหมาะสม โดยเฉพาะMOU2543(ผมพูดเท่าที่จำได้ ไม่ตรง100%)

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีคือ ฮุนเซ็นเงียบเป็นเป่าสากและทักษิณก็ไม่มาวอแวอยู่ในเขมร และต่อมาก็ทำดีกับรัฐบาลไทย ไม่มีอาการหมาบ้ากำเริบอีกเลย ต่อมาก็มาพูดว่า ขอเอาฑูตกลับมาประจำที่ไทย ถ้าไทยยอมส่งฑูตกลับไปประจำที่เขมร

ข้อสังเกต
1.ทำไมอภิสิทธิ์ถึงต้องใช้วิธีขอเลิกสนธิสัญญา โดยเฉพาะพูดถึงMOU2543ก่อน แทนที่จะใช้วิธีอื่นที่เห็นผลทันทีเช่นการปิดด่าน จะทำให้กัมพูชาเดือดร้อน โดยเฉพาะบ่อนในเขมรที่ฮุนเซ็นมีเอี่ยว ความเห็นของผมคือ อภิสิทธิ์รู้ว่าฮุนเซ็นจะได้ประโยชน์จากสัญญาฉบับนี้ไงครับ ถึงเอามาขู่ฮุนเซ็น และประโยชน์ที่ได้คงมากกว่าที่ทักษิณจะให้ ไม่งั้นมันเอาทักษิณแล้ว( มีวิธีคิดที่มีเหตุผลดีกว่านี้ไหมครับ)

2.ผลที่เกิดกับทักษิณล่ะ ทักษิณทำMOU2544(เขตแดนทางทะเล)และแถลงการณ์ร่วมที่นพดลไปทำไว้กับเขมร โดยอ้างอิงมาจากMOU2543(เขตแดนทางบก) การที่ทำให้อภิสิทธิ์โกรธจนยกเลิกMOU2543จะทำให้แผนการฮุบเขตแดนไทยทั้งทางบกและทางทะเลอาจเป็นหมัน แผนเอาน้ำมันในอ่าวไทยก็จะพังสิครับ ทักษิณจึงเลี่ยงการมาที่เขมร ถ้าจะมาก็ต้องแอบๆมา ( ตอนมาโฟนอิน) ส่วนเรื่องน้ำมันในอ่าวไทยมีจริงหรือไม่ คงไม่ต้องคุยแล้วนะครับ ในเวบนี้คงรู้แล้วว่ามีจริง

ผมสรุปคร่าวๆจากเหตุที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้สมมติฐานว่าMOU2543ให้ประโยชน์กับเขมรเป็นหลัก ถ้าไม่ใช้สมมติฐานนี้ แล้วจะใช้สมมติฐานอะไรมาอธิบาย เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้
ขอเน้นว่า ต้องอธิบายเหตุการณ์ที่ผมกล่าวไว้ได้ทั้งหมด

(เพิ่มเติม)MOU2544ซึ่งอ้างอิงต่อจากเขตแดนทางบก(MOU2543)เป็นผลประโยชน์เรื่องน้ำมันในอ่าวไทย มีประธานJBC ชื่อ

สุเทพ เทือกสุบรรณ

เห็นหรือยังครับ มัวแต่พูดเรื่องMOU43 พวกดอดไปเป็นประธานเรื่องน้ำมันในอ่าวไทยเฉยเลย ใช้แผน ล่อเสือออกจากถ้ำ





2.จากคำพูดของนายกฯ
-จาก” นายกฯรับปากไม่ยอมเสียตาเมือนธมแม้ตารางนิ้วเดียวหลังกูเกิ้ลชี้ให้เป็นของเขมร”
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000097196

นายปริญญา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนได้รายงานถึงเรื่องนักวิชาการที่แย้งว่าตัวแทนที่จะไปประชุมคณะกรรมการ มรดกโลก ควรมีนักวิชาการไปด้วย เผื่อมีปัญหาจะได้ช่วยกันแก้ไข ซึ่งตรงนี้เราก็ชี้แจงว่า ถ้าคณะกรรมการที่จะให้ไปประชุมด้วย เราก็จะยินดี รวมทั้งนายกฯ ยังแสดงท่าทีต่อประเทศกัมพูชา ว่า ปล่อยให้มีปัญหาความขัดแย้งดีกว่าที่จะให้ทหารออกไป เพราะถ้ามีความรุนแรงในพื้นที่ที่มีปัญหา ก็จะทำให้เกิดความรุนแรง และจะทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกทำได้ยาก
(นายกฯรูปหล่อกลัวเขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่ได้ครับ)



- จากจับโกหกนายกฯ สัญญาจะเปิดเวทีรับฟังความเห็น ปชช.ก่อนเอาบันทึกการประชุม JBC เข้าสภา
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000152636

อภิสิทธิ์ - ไม่เป็นไรฮะ อันนั้นมันเป็นข้อกฎหมาย และถ้ามีการวินิจฉัยออกมา ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ผมไม่มีปัญหา ผมเพียงแต่บอกกับพวกเราที่เป็นห่วงว่า
-หนึ่ง ปี 43 ไปยอมรับแผนที่ ผมได้ชี้แจงแล้วว่าเราไม่ได้รับ(ในนั้นระบุให้รับนี่ครับ)
-สอง ผมชี้ให้เห็นประโยชน์ในขณะนี้เราสามารถใช้ MOU 43 ได้ 2 เรื่อง
เรื่องที่ หนึ่ง คือ สกัดกั้นไม่ให้มีการยื่นแผนที่ต่อมรดกโลก และ(เราไม่เคยทำให้เขมรหยุดเดินได้ ทำได้เพียง
แค่ให้เขมรเดินช้าลง)

สอง สามารถที่จะทำให้หากเรามีความจำเป็นในการใช้กำลัง หรือ อะไรผลักดันออกไป ก็เป็นไปตาม
MOU ซึ่งทางกัมพูชาตกลงด้วยเท่านั้นเอง(ต้องรอถึงเมื่อไรครับ ทำไมไม่บอกว่าแค่ไหนถึงจะสั่ง ทหารลงมือ)
ส่วนการดำเนินการต่อ เรื่อง JBC เรื่องอะไรเนี่ย ผมยินดีที่จะเปิดเวที เพื่อที่จะให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอยู่แล้ว
(คิดดูเองแล้วกันว่า นายกฯทำอย่างที่พูดทุกข้อจริงไหม)



3.จากเหตุการณ์แวดล้อมต่างๆ

-จาก“สุวิทย์” เซ็นยอมให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000106743&CommentPage=7&
เปิดเอกสารมติการประนีประนอมระหว่างไทย-กัมพูชา “สุวิทย์” ไปลงนามยอมรับที่บราซิลรวม 5 ข้อ “ปานเทพ” ถึงบางอ้อเหตุใดเขมรประกาศชัยชนะ ชี้เท่ากับยอมรับเขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และยอมรับการบริหารแผนจัดการพื้นที่ เพราะไม่ปฏิเสธการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานนานาชาติด้วย
มติการประนีประนอมเสนอโดยประธานที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 34 (34 com 7B.66)

คณะกรรมการมรดกโลก

‎1. ได้รับเอกสาร WHC-10/34.COM/7B.Add3 แล้ว

2. ‎ อ้างถึงมติคณะกรรมการมรดกโลก 31 COM8.24, 32 COM 8B.12 และ 33 COM 7B.65, ได้รับรองการประชุมครั้งที่ 31 (ไครซ์เชิร์ช, ค.ศ. 2007), การประชุมครั้งที่ 32 (ควิเบก, ค.ศ. 2008) และการประชุม ครั้งที่ 33 (เซบีย่า, 2009) ตามลำดับ

3. ‎ แจ้งให้ทราบว่าศูนย์มรดกโลกได้รับเอกสารจากรัฐภาคี (กัมพูชา) แล้ว

4. ‎ สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปเพิ่มเติม, ดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆโดยรัฐภาคีเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการประสาน งานนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนของปราสาทพระวิหาร

5. ‎ตัดสินใจพิจารณาเอกสารที่ยื่นเสนอโดยรัฐภาคีในการประชุมครั้งที่ 35 ในปี ค.ศ. 2011

ลายเซ็น สุวิทย์ คุณกิตติ 29/07/2010 ซก อาน 29/07/2010 Juca Ferreira BSB 29/07/2010
งานนี้ถ้าสุวทย์ไม่เซ็น เขมรก็เดินต่อไปไม่ได้ จะหยุดอยู่กับที่ แต่ดันไปเซ็นทั้งที่รับปากไว้แล้วว่าถ้าผิดสังเกตจะลุกจากที่ประชุม และเมื่อเขมรประกาศชัยชนะ สุวิทย์จึงถูกบีบให้พูดเบื้องหลังว่าทำไมยอมเซ็น สุวิทย์บอกว่า

นายกฯสั่งให้เซ็น

ปรากฎว่านายกฯไม่เคยปฏิเสธเรื่องนี้เลยครับ


-จาก ข้อเท็จจริงจากกรรมการชุดอ.สมบัติ ประเด็นการแก้มาตรา190
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000167579

นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต กรรมการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชุดที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน ให้สัมภาษณ์รายการ News Hour ทางเอเอสทีวี วันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา ถึงเจตนารมณ์ของคณะกรรมการฯ ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งในร่างที่คณะรัฐมนตรีเสนอต่อรัฐสภานั้นมีการแยกหนังสือสัญญาออกเป็น 2 ประเภท เพื่อให้มีเงื่อนไขการบังคับที่แตกต่างกันว่า เจตนาไม่ใช่อย่างนั้น มาตรานี้ ตามที่กรรมการพูดคุยกัน และตามความรับรู้ของตน เพียงแต่ต้องการกำหนดถ้อยคำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปในมาตรานี้ คือประเภทของหนังสือสัญญาและกรอบการเจรจาให้ปรากฏในกฎหมายลูก เพราะว่าในรัฐธรรมนูญฉบับเดิมไม่ได้ระบุประเภทของหนังสือสัญญาและกรอบการ เจรจาลงไป ดังนั้นเมื่อพูดถึงขั้นตอนและวิธีการการออกกฎหมายลูกจึงอยากให้แยกประเภทว่า กฎหมายประเภทใดบ้าง และเขียนกรอบการเจรจราให้ปรากฏชัด

นายพิชายกล่าวว่า เรื่องเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่นั้น ตนก็ยังงงๆ ว่าทำไมจึงเกิดขึ้น เพราะทั้งหนังสือสัญญาที่มีผลต่อดินแดนและหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อสังคม และเศรษฐกิจนั้น คณะกรรมการฯ ต้องการให้เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับเดิม คือต้องผ่านการรับฟังความเห็นของประชาชน หรือการวิจัยสำรวจอะไรต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น คณะกรรมการฯ เป็นคนเสนอประเด็น ส่วนในขั้นตอนการร่างให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นคนดำเนินการ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ ที่มีการร่างและหลุดออกมากลายเป็นการแยกวรรค
.......
นายพิชายกล่าวอีกว่า หลังจากที่คณะกรรมการเสนอประเด็นไปให้กฤษฎีกายกร่างแล้ว ก็ไม่ได้ส่งมาให้คณะกรรมการตรวจทานอีก เนื่องจากเวลาเร่งรัดมาก โดยคณะกรรมการได้ประชุมคณะกรรมการ 1 ครั้งเมื่อต้นเดือน พ.ย.ประชุมเสร็จก็สรุปว่าต้องแยกออกเป็น 2 ร่าง แล้วประสานคณะกรรมการกฤษฎีกายากร่าง หลังจากนั้นฝ่ายเลขาฯ ก็นำเรื่องส่งคณะรัฐมนตรี ไม่มีการเสนอมายังคณะกรรมการอีกครั้ง ยืนยันว่าคณะกรรมการมีเจตนารมณ์คือแก้มาตรา 190 เพียงนิดเดียวไม่ได้ต้องการแตะกรอบใหญ่
ลองคิดดูครับ
1.กฤษฎีกาอย่างเช่นนายมีชัย ฤชุพันธ์ และอีกหลายคนถือเป็นระดับเซียน จะทำผิดเรื่องง่ายๆอย่างนี้หรือไม่ ขนาดร่างกฎหมายช่วยสุจินดานิรโทษกรรมและช่วนด้านกฎหมายรัฐบาลมามากมายหลายรัฐบาล ชนิดหารูโหว่เจาะเข้าไปยาก จะมาผิดเรื่องแค่นี้ แค่คุณคำนูญยังมองเห็น แต่กฤษฎีกากลับไม่เห็นหรือครับ

2.ถ้าคุณคำนูญ สิทธิสมานไม่มาเห็นความผิดปกติตรงนี้เข้า มาตรา190ก็คงผ่านสภาไปเรียบร้อยแล้ว กรอบJBCและMOU43ก็จะไม่ต้องผ่านสภา เขมรก็สามารถเอาข้อตกลงเข้าไปทันการประชุมมรดกโลกคราวหน้า เพื่อยืนยันว่าทั้งพฤตินับและนิตินัย(แผนที่กำหนดไว้ในJBCด้วย)พื้นที่รอบปราสาทเป็นของเขมร เช่นนั้นแล้ว ยูเนสโก้ก็ต้องอนุมัติ(มันอยากอนุมัติอยู่แล้ว) จากนั้นเขมรก็ประกาศชัยชนะขั้นสุดท้าย คนไทยคงงงว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าจะรู้ว่า กฎหมายถูกหลอกแก้โดยรัฐบาลก็สายเสียแล้ว แบบเดียวกับที่สุวิทย์ไปเซ็นให้เขมรครั้งล่าสุดนั่นแหละ

3.เรื่องนี้นายกฯก็ออกมายอมรับผิด ใครก็ไม่ต้องมาเถียงว่าไม่จริง เชิญอ่าน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000167908
ถ้าเขาจับได้ขนาดนี้แล้วไม่รับ ภาพลักษณ์จะเสียหายมาก เป็นภาวะจำยอม



-จาก “ข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา” เมื่ออภิสิทธิ์ กับ ภาคประชาชนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000104035

ความแตกต่างในเรื่องบันทึกความ เข้าใจว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ในปี พ.ศ. 2542 หรือ MOU 2543 นั้นภาคประชาชนเห็นว่าควรยกเลิกเพราะเป็นการอ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำให้ไทยเสียเปรียบเพราะทำให้พื้นที่ดินแดนไทยหลังขอบสันปันน้ำกลายเป็น พื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งในอนาคตโดยเฉพาะเมื่อตกอยู่ในมือรัฐบาล นักการเมือง และข้าราชการชั่ว

ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า MOU 2543 คือการนำแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียวและกัมพูชายึดถือมาโดยตลอดนั้น ได้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน จึงถือว่าเป็นผลสำเร็จของรัฐบาลในยุคนั้นเพราะได้ทำให้ฝ่ายกัมพูชาไม่ยึดถือ เขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 แต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

ถือเป็นเหตุผลใหม่หลังกรณี ตรรกะ Maps มี S ของนายอภิสิทธิ์นั้นหมายถึงแผนที่มีหลายฉบับและหลายระวาง บางระวางได้เปรียบก็ยอมรับ บางระวางเสียเปรียบก็ไม่ยอมรับ ซึ่งตรงกันข้ามกับเอกสารภายในของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งระบุอย่างชัดเจน ว่า แผนที่ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ยกเว้นในระวางไหนเลย ไม่เว้นแม้แต่ระวางดงรักรอบปราสาทพระวิหาร

มุมองตรงนี้ถือเป็นหลักคิดที่ แตกต่างกันในสาระสำคัญ เพราะแม้จะมี “คำพูด” ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและนายกรัฐมนตรีจะยึดหลักสันปันน้ำ เหมือนกัน แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ยอมรับพื้นที่ทับซ้อนว่าให้เกิดขึ้น ในดินแดนไทยหลังแนวสันปันน้ำ แต่นายกรัฐมนตรีกลับมองว่าพื้นที่ทับซ้อนคือยุทธวิธีซึ่งทำให้ฝ่ายไทยกลับมา เป็นฝ่ายได้เปรียบ

ภาคประชาชนมองว่า MOU 2543 คือกระดุมเม็ดแรกที่กลัดผิดก็จะทำให้กระดุมเม็ดต่อๆมากลัดผิดตามไปด้วย แต่ในทางตรงกันข้ามนายกรัฐมนตรีกำลังอธิบายว่า MOU 2543 คือกระดุมเม็ดแรกที่ตั้งใจกลัดเอาไว้อย่างถูกต้องสวยงาม!!!

เพราะเมื่อนายกรัฐมนตรีใช้หลัก คิดว่ามีพื้นที่ทับซ้อนเกิดขึ้น โอกาสที่จะมีนโยบายใช้กำลังทหารไปผลักดันทหาร ชุมชน และสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชาที่เพิ่งเข้ามารุกล้ำในดินแดนไทยไม่กี่ปีมานี้ ย่อมอ่อนแอลงไปด้วยเช่นกัน เพราะอยู่ภายใต้กรอบความคิดว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนไม่ใช่ดินแดนไทยอย่างเดียว อีกต่อไป

เพราะนายกรัฐมนตรีเห็นดีเห็นงาม และเห็นประโยชน์ของ MOU 2543 ดังนั้นแม้ภาคประชาชนจะมองว่า MOU 2543 นั้นไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 224 หรือการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ย้ายชุมชน ออกโฉนด ตลอดจนกองกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาในดินแดนไทยอันเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงใน ข้อ 5 ของ MOU 2543 รัฐบาลชุดนี้ก็คงจะไม่ยกเลิก MOU 2543 อยู่ดี

หลักคิดว่าให้ “ยอมรับพื้นที่ทับซ้อน” ระหว่างไทยซึ่งยึดหลักสันปันน้ำ กับกัมพูชาซึ่งยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ทำให้รัฐบาลไทยมองว่าปัจจุบันฝ่ายทหารไทยได้ยึดครองพื้นที่ทับซ้อนได้ มากกว่าชาวกัมพูชา

ในขณะที่ภาคประชาชนซึ่งไม่ยอม รับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ย่อมมองว่าไทยกำลังถูกรุกล้ำเข้ามาในดินแดนอย่างต่อเนื่องหลังขอบสันปันน้ำ ของไทยซึ่งไม่เคยมีทหารและชุมชนชาวกัมพูชาอาศัยมาก่อน และไม่อาจยอมรับได้

ในทางตรงกันข้ามฝ่ายกัมพูชาซึ่ง รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยนั้น ฝ่ายกัมพูชากลับเรียกพื้นที่เหล่านี้ตลอดมาว่าเป็นดินแดนของกัมพูชาแต่เพียง ฝ่ายเดียว

นอกจากนี้ จุดยืนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดการขยายผลก่อให้เกิดสงคราม หรือการเมืองต่างประเทศเข้าแทรกแซง จึงไม่มีแนวคิดที่จะใช้กำลังทหารเข้าไปผลักดันชาวกัมพูชาซึ่งเข้ามายึดครอง พื้นที่

นอกจากการ “ทำหนังสือประท้วง” และ “เจรจา” เท่านั้น !!!?

ดังนั้นหากกัมพูชาไม่ยินยอมก็ เชื่อได้ว่าดินแดนที่ซึ่งถูกยึดครองอยู่ขณะนี้ รัฐบาลจะไม่มีวันทวงคืนกลับมาเป็นดินแดนของได้ไทยอีก

แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ยืนยันว่าจะใช้กำลังทหาร,การรบ, หรือ ทำสงคราม ถือเป็นทางเลือกสุดท้าย!!! เพื่อไม่ให้การรุกล้ำดินแดนเข้ามาเพิ่มเติม

ในขณะที่ภาคประชาชนมองว่าการใช้กำลังทหารเพื่อปกป้องการรุกล้ำเข้ามาในดิน แดนไทยนั้นถือเป็นหน้าที่ของทหารและรัฐบาลซึ่งต้องลงมือทำโดยทันที และเชื่อว่าการรบกันตามชายแดนเพื่อรักษาอธิปไตยนั้นจำกัดขอบเขตได้
(แทรก)- ไปดูข้อมูลได้ที่นี่
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156080

เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกสอบถามว่ารัฐบาลควรต้องมีความชัดเจนเรื่อง MOU 2543 เสียตั้งแต่วันนี้ (โดยมติของรัฐสภา) ว่าจะไม่รับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งขัดแย้งกับสันปันน้ำหรือหลักภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติ มิใช่เปิดโอกาสให้เป็นอันตรายต่อไปหากตกอยู่ในอำนาจการตัดสินใจรัฐบาลที่เลว ร้ายในอนาคต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมีความคิดเห็นว่าหากทำให้ชัดเจนเช่นนั้นฝ่ายกัมพูชาก็คงไม่ยินยอมอยู่ดี
(นายกฯพูดเปลี่ยนตรรกะได้ตลอดเวลาครับ แต่คำพูดเดียวที่ไม่กล้าเปลี่ยนคือ”ไทยไม่
เสียดินแดน”ก็ลองเปลี่ยนสิ นายกฯและพวกที่เชียร์ก็คงหน้าหักทันที
จากเดิมใช้ตรรกะmapมี s
ตอนนี้กลับยอมรับว่ามี พื้นที่ทับซ้อน แล้ว
พรุ่งนี้ท่านจะบอกว่า อย่างไรต่อเล่าครับ แต่เชื่อว่าคงเป็นผลดีต่อเขมรมากขึ้น

ถ้าบอกว่าเรายึดมั่นในสันปันน้ำ ไม่ยอมรับแผนที่1:200,000 แล้วยอมรับว่ามี
พื้นที่ทับซ้อน ได้อย่างไร )







-จาก( เบื้องหลัง)กรณีเลื่อนเปิดเขาพระวิหารและการถอนทหาร

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9530000169853

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อวันอังคาร ว่า ศาสตราจารย์ ฮั่งสด (Hang Soth) ผู้อำนวยการองค์การแห่งชาติพระวิหาร เปิดเผยว่า มีการถอนทหารตั้งแต่ค่ำวันจันทร์ และสองฝ่ายได้จัดการถมหลุมหลบภัย หรือ “บังเกอร์” ทั้งหมดแล้ว ไทยและกัมพูชาได้ถอนทหารของแต่ละฝ่ายๆ ละ 10 นาย ที่ประจำการอยู่ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวรักษ์ออกไปตั้งแต่ตอนค่ำวันจันทร์ แต่ฝ่ายไทยยังขอคงเอาไว้ 5 นาย สวมเครื่องแบบ แต่ไม่ติดอาวุธ พกเพียงวิทยุสื่อสาร และ ประจำการอยู่ที่สถานีตำรวจ 795 ใกล้กับตลาดที่อยู่ใกล้กับปราสาทพระวิหาร

“ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาอนุญาตให้พ่อค้าแม่ขายชาวไทยได้เข้า ไปค้าขายในบริเวณตลาดด้วย แต่เรายังไม่ได้ตกลงในเรื่องนี้” ศ.ฮั่งสด กล่าวกับซินหัว

พล.อ.เจียดารา (Chea Tara) รองผู้บัญชาการกองทัพกัมพูชา ผู้รับผิดชอบชายแดนด้านปราสาทพระวิหาร กล่าวเมื่อวันอังคารว่า ความตึงเครียดได้ลดลงอย่างมากหลังจากผู้นำของสองประเทศพบหารือกันมา 4 ครั้ง ซึ่งนำมาสู่การพบปะในเวลาต่อมาระหว่างผู้บัญชาการทหารของสองกองทัพ

ตามกฎของมรดกโลก พื้นที่ที่จะขึ้นทะเบียนได้ต้องไม่มีความตึงเครียดทางทหาร(ไม่เช่นนั้นจะมีใครมาชม) ดังนั้นจึงมี2ประโยคสุดท้ายขึ้น โดยคนไทยไม่เคยทราบเลย
การถอนทหารเกิดขึ้นแล้ว แต่อภิสิทธิ์ยังโกหกคนไทยว่ายังไม่ถอน
ตามลิ้งค์ข้างล่าง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000169515

นักข่าว อาซาฮี ของญี่ปุ่นยืนยันแล้ว เมื่อถอนทหารแล้ว ก็สร้างภาพให้คนไทยและเขมรขึ้นไปเที่ยว ยูเนสโก้จะได้ยอมขึ้นทะเบียนให้ แต่ปรากฏว่าการสร้างภาพครั้งนี้ เป็นการคุยกันของเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น เกิดไม่ลงตัวเรื่องรายได้เข้าชม จึงต้องระงับการเปิดไว้ก่อน
ส่วนกรณีที่เขมรอพยพคนของตนออกจากพื้นที่ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน และยังช่วยยืนยันได้ว่า การขึ้นทะเบียนของเขมรใกล้เป็นความจริงเต็มทีแล้ว เขมรจึงไม่ต้องใช้คนเข้ามายึดพื้นที่อีก คงเหลือแต่วัดก็พอ เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วจึงค่อยรื้อวัด



4.จากคำพูดของนักวิชาการและผู้อาวุโสในสังคมเช่น

-อ. สมปอง สุจริตกุล
ผู้ที่อยู่ร่วมในทีมสู้คดีปราสาทพระวิหาร เป็นผู้ที่รู้เรื่องคดีปราสาทพระวิหารอย่างลึกซึ้งทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ดูความเห็นของท่านที่ลิ้งค์
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000112507

-อ.อดุลย์ วิเชียรเจริญ
อดีตประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก คณบดีคนแรกของคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจบการศึกษาทั้งปริญญาโทและเอกด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตรงจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา ดูความเห็นของท่านได้ที่ลิ้งค์
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000167581

-ท่าน นาม ยิ้มแย้ม
อดีตตุลาการและอดีตประธานคตส.
ดูความเห็นของท่านได้ที่ลิ้งค์
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156722

-ทั้ง3ท่านสรุปว่าต้องยกเลิกMOU43 เชิญอ่านได้ที่นี่
http://www.manager.co.th/daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157524

-นายสุเทพ กิจสวัสดิ์
อดีตอธิบดีผู้พิพากษา ศาลแรงงานกลาง และอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา
ท่านเขียนจดหมายถึงนายกฯสรุปว่าไทยน่าจะเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรแล้ว คาดอีก 11 จังหวัด เสียอีก 1.5 ล้านไร่ ร้องให้นายกฯ หาทางแก้ไข ดูรายละเอียดได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000173529
-อ.ศรีศักร วัลลิโภดม
นักวิชาการอิสระด้านโบราณคดี หนังสือที่ท่านเขียนหลายเล่ม ถูกใช้ในการอ้างอิงของนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์รุ่นต่อๆมามากมาย
อ่านบทสัมภาษณ์ได้ที่นี่
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000171050

ผมชอบที่ท่าน ศรีศักรพูด ตรงไปตรงมาดี จะเอาบางช่วงมาให้อ่าน

อ.ศรีศักร - คิดว่านายกฯ อภิสิทธิ์เอาข้อได้เปรียบเล็กๆ น้อยๆ ของเอ็มโอยู ที่ได้คราวที่แล้ว ที่ทำให้การเลื่อนการตัดสินจากมรดกโลกต้องเลื่อนออกไป มาเป็นข้ออ้าง แล้วไม่ทำอะไรให้มันดี เพราะฉะนั้นข้อได้เปรียบนี้มันชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่ตอนหลังจะเสียเปรียบ ทีนี้ข้อได้เปรียบคือว่า เขมรไม่ได้ปฏิบัติตามเอ็มโอยู ส่งกำลังเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นเขตพิพาทอยู่ นั่นเราได้เปรียบ ทำให้มรดกโลกต้องเลื่อน แล้วเราขู่จะวอล์กเอาท์ มันก็กระเทือนมรดกโลกทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องข้อพิพาททางดินแดนที่มรดกโลกไม่ควรจะเกี่ยวข้อง นั่นคือข้อได้เปรียบของเรา

เมื่อท่านนายกฯ อธิบายก็เห็นว่าได้เปรียบ แต่ปัญหาคือว่า เขมรยังอยู่ในพื้นที่ที่ล่วงละเมิด ยังทำหนักเข้าไปอีก อาศัยพื้นที่พิพาทส่งคนเข้าไปประชิดชายแดน ครอบครองพื้นที่แบบปรปักษ์ตลอด แต่เรารักษากติกาเอ็มโอยู ถอนทหารออก เขมรก็รุกเอาๆ แล้วทำอะไรไม่ได้ เห็นไหมข้อได้เปรียบเพียงชะลอการตัดสินเรื่องมรดกโลกเพียงชะลอเท่านั้นเอง แต่เปิดโอกาสให้กัมพูชาเข้าไปยึดต่อ แล้วทำไมไม่ทำ

ศรีศักร - นี่ผมก็ไม่รู้ทำอะไร เพราะฉะนั้นเจบีซีต้องระวัง ผมก็ไปพบท่านนายกฯ กับหม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ นานแล้วที่ทำเนียบ เราก็เสนอว่า ต้องมีการแบ่งปันเขตแดนกันอย่างถูกต้องตลอดสาย แล้วไม่ใช่มองเฉพาะแผนที่ ต้องเดินดู แล้วต้องมีประชาพิจารณ์ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะคนที่เป็น local stake holder(ผู้มีส่วนได้-เสียในพื้นที่) ต้องรับรู้ แต่ที่ทำขณะนี้ เจบีซีที่ทำ ประชาชนไม่รับรู้เลย แล้วก็จัดฉาก ใครจัดฉาก กระทรวงต่างประเทศ พวกผมยังไม่รู้เขาทำเจบีซีไปถึงไหนแล้ว คนท้องถิ่นก็ไม่รู้ นี่คือความผิด ผิดเจตนารมณ์ คุณกำลังงุบงิบทำกัน ไม่ต่างอะไรที่ว่าทำกันไม่กี่คน

ศรีศักร - โอ้ย มันเล่นหลายเกม หลายตลบ ไล่ตามมันไม่ทัน เพราะต่างชาติมันหวังผลประโยชน์ในเมืองไทย มันก็แบ็ก(เขมร)อยู่ พูดง่ายๆมันหวังประโยชน์ในเขตไทย และเขมร แต่มันหลอกเขมรได้ง่ายกว่า(จึงไปช่วยเขมร)

ศรีศักร - ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมเห็นด้วย หลายคนก็เห็นด้วย ถอนมันออกเลยมรดกโลก เราไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ มีแต่เสียผลประโยชน์ แต่ถามว่า อะไรที่ไม่ถอน ต้องไปถามรัฐบาลดู เพราะมันมีกลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่มากมาย คนเหล่านี้เป็นพวกมีความรู้สึกข้ามชาติ ไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ของชาติ หรือคนในชาติเลย

ขอสรุปตอนที่4ดังนี้
จากคำพูดของอ.ศรีศักร วัลลิโภดมและบทความMOU2522ที่เป็นต้นแบบของMOU2543และ2544 อยู่ใต้หัวข้อ ตอนที่3 และการที่เทพเทือกเป็นประธานJBC ทางทะเล บอกได้ว่า

1.นักการเมืองและข้าราชการจะมุบมิบทำสัญญาที่เป็นประโยชน์ต่อตนโดยไม่ยอมให้ภาคประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง กลัวการเปิดโปงและเสียผลประโยชน์ที่ตนเองหวังเช่นกรณีMOU22,43,44 จึงเป็นที่มาของคำว่า
“มีอะไรก็ให้มาคุยในสภา” คนกลุ่มนี้จึงแพ๊คกันแน่นและช่วยกันแม้จะประกาศตัวเป็นศัตรูกัน เช่น
-กรณีกอร์ปศักดิ์ช่วยเป็นพยานให้วีระในศาล จนวีระได้ประกันตัว
-กรณีถอดยศทักษิณนี่ก็ชัด กี่ปีแล้วครับ คนที่เชียร์ปชป.มีลูกไปกี่คนแล้ว
ยังไม่เห็นความคืบหน้าเลย ถ้านายกฯเอาจริง ไม่มีใครกล้าดองเรื่อง

จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมฮุนเซ็นซึ่งดีกับทักษิณมาแต่เดิม แต่ปัจจุบันกลับมาดีกับอภิสิทธิ์กับเทพเทือกแทน(ดูได้จากตอนเสนอกรอบเจรจาJBCเข้าสภา แต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ นายกฯให้สัมภาษณ์ทันทีว่าผมได้แจ้งให้ทางเขมรทราบแล้ว คิดเองก็ได้ว่าอภิสิทธิ์แคร์เขมรขนาดไหน และก่อนหน้านั้น ก็พูดว่า ไม่อยากให้ทหารปะทะที่ชายแดน กลัวเขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่ได้) ก็เพราะผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทยที่ทักษิณหวังไว้และเตรียมแบ่งกับฮุนเซ็นถ้าการโกงแผ่นดินไทยตามMOU43cและMOU44สำเร็จ ตอนนี้คงลงตัวแล้วว่า เทพเทือกและอภิสิทธิ์ที่มาสวมตอแทนทักษิณ(โดยการเข้าเป็นประธานJBCทางทะเล ของสุเทพ เทือกสุบรรณ) คงยอมแบ่งให้ฮุนเซ็นในเงื่อนไขเดียวกับที่ทักษิณเสนอ ฮุนเซ็นจึงไม่เห่าเหมือนแต่ก่อน

อีกคำพูดหนึ่งของเทพเทือกคือ หลังจากกลับมาจากไปหาฮุนเซ็น ได้พูดประโยคทองว่า จะไปสนใจกับพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายทำไม ผลประโยชน์ในทะเลน่าสนใจมากกว่า

2.นายทุนพรรคต้องสำคัญกว่าทุกสิ่ง ยอมเสียทุกอย่างแม้แต่แผ่นดินเกิด เพื่อให้นายทุนพรรคได้ประโยชน์(เทพเทือก) ประชาชนไม่สำคัญ จำนวนมือในสภาสำคัญกว่า

ตราบใดที่คนไทยปล่อยให้นักการเมืองโกงกินอยู่ ไม่ว่าจะพรรคอะไร หรือเคยเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองกัน แต่พอมาเป็นรัฐบาล ผลก็เหมือนเดิม แทบมองไม่เห็นความแตกต่าง(รัฐบาลสุรยุทธก็เช่นกัน)ก็เพราะเหตุนี้ เป็นแค่ใช้ประชาชนเข้ามาสู้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อจะได้โกงกินเท่านั้น มิได้ต้องการเข้ามาเพื่อบริหารประเทศให้ดีขึ้นตามที่ตอนเป็นฝ่ายค้านได้พูดให้คนไทยเข้าใจเช่นนั้นแต่อย่างใด

เมื่อรวมกับนโยบายประชานิยมที่ทำอย่างบ้าคลั่งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพื่อซื้อใจคนไทยแข่งกับทักษิณ ทั้งๆที่ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ด่าทักษิณไว้มาก ตัวเองกลับทำมากกว่าเสียอีก

ภาพที่ออกมาจึงเหมือน อาร์เจนติน่า ก่อนที่ประเทศจะพังทลายลงไม่มีผิด

ฝากให้คิดว่า
คนไทยไม่ค่อยยอมจดจำประวัติศาสตร์เพื่อสอนใจตนเอง ตอนที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆหลังจากอเมริกาไปเยือนจีนแล้ว ก็มีอีกหลายประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่น ญี่ปุ่นพิเศษหน่อย เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่2สงบ ทั้งคู่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาสงบศึกกันเลย ในช่วงการเซ็นสัญญากันนั้น ผู้นำทั้ง2ฝ่ายก็ต้องกล่าวอะไรกันพอเป็นพิธี
นายกฯญี่ปุ่นกล่าวว่า
”ขอให้เราลืมเรื่องในอดีตที่ขมขื่นและเจ็บปวด เพื่ออนาคตที่สดใสของ2ประเทศ”

โจวเอินไหล นายกฯจีนกล่าวว่า
“เรื่องไม่ดีในอดีตเราควรจดจำไว้ เพื่อในอนาคต เราจะได้ไม่ทำอีก”

ผมยกข้อความนี้เพราะคนไทยลืมง่าย ไม่ยอมจดจำประวัติศาสตร์ไว้เป็นบทเรียน
ทักษิณซึ่งรวยมหาศาล ในตอนแรกไม่มีใครคิดว่าจะเลว แต่สุดท้ายก็เลว
หลังจากทักษิณถูกถีบออกไปแล้ว แทนที่จะช่วยกันตรวจสอบรัฐบาลต่อๆมา กลับมาเชียร์ให้ทำชั่วได้ แล้วจะมีนักการเมืองคนใดกลัวประชาชน

ในอดีตที่ต้องเหนื่อยยากไล่ทักษิณและนอมินีของมัน
ก็เพราะความเชื่อใจไม่ใช่หรือ
-เชื่อใจว่ารวยแล้วไม่โกง
-เชื่อใจว่าจะบริหารให้ประเทศเจริญด้วยความเก่งในการบริหารจัดการ
ความเชื่อใจ ไม่ยอมตรวจสอบรัฐบาล ทำให้ประเทศลำบากอยู่จนทุกวันนี้

อภิสิทธิ์ ภาพลักษณ์ดี ทุกคนยอมรับในตอนแรกเช่นกัน แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่เป็นเหมือนทักษิณ ทั้งๆที่คนรอบตัวเลว และเรื่องปราสาทพระวิหารก็ทำให้ท่านต้องเปลี่ยนตรรกะอยู่ตลอดเวลา แค่นี้ก็ชี้ให้เห็นว่า จุดยืนของท่านไม่มั่นคง ต้องแก้ตัวไปวันๆ
เรื่องโกงกินก็เหมือนทักษิณครับไม่ได้ดีกว่าเลย รัฐมนตรีเลวคุมกระทรวงสำคัญไว้เกือบหมด คนเหล่านี้ก็ลูกน้องเก่าทักษิณทั้งนั้น
เวบหมิ่นก็ยังไม่ได้ดีขึ้น และขณะนี้ก็ยังปรองดองเสื้อแดงด้วยการยอมพบเมียเหวงซึ่งเป็นประธาน นปช. แค่นี้ก็บอกได้ว่า
ถ้ายังปล่อยนักการเมืองปัจจุบันเล่นการเมืองอยู่อย่างนี้ พวกนี้ไม่เห็นแก่ใครหรอกครับ นอกจากพวกมันกันเอง แค่ผลัดกันขึ้นมาโกงกินเท่านั้น

อย่าให้ความเชื่อที่ว่า
-เรียนสูงแล้วจะเป็นคนดี เก่ง หรือฉลาดทันคน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว
เทพเทือกได้เป็นประธานJBCทางทะเลเพราะใครแต่งตั้ง ถ้าไม่ใช่นายกฯ
อย่าลืมว่าคนเรียนสูงและฉลาดจะยิ่งทำชั่วได้หนักกว่าและเนียนกว่าคน
ธรรมดา ทักษิณคือตัวอย่างไงครับ ที่ผ่านๆมาเรื่องเลว เทพเทือกจะรับไว้
เพื่อให้นายกฯภาพลักษณ์ดี แล้วเอาภาพลักษณ์ที่ดีของนายกฯมารับรอง
รัฐบาลทั้งคณะ นี่เป็นวิธีของรัฐบาลชุดนี้ แต่เบื้องหลังดูเรื่องJBCทางทะเล
ก็ชัด
-มีชาติตระกูลดีแล้วจะเป็นคนดี อันนี้ยิ่งน่าขำ ตัวอย่างเช่น
ใจล์อึ๊งภากรณ์ลูกอาจารย์ป๋วย หรือสมัคร สุนทรเวช นี่ยิ่งชัด

อยากให้คนไทยจดจำเรื่องเลวร้ายที่เพิ่งผ่านมาในยุคทักษิณ แล้วเทียบเคียง จะได้ไม่พลาดท่าให้นักการเมืองเลวทั้งหลายอีก เพราะคนเหล่านี้แค่ผลัดกันเข้ามาโกงกินบ้านเมืองเท่านั้น


กระทู้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)”
จบบริบูรณ์
Last edited by finder on Mon Dec 20, 2010 1:34 am, edited 1 time in total.
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby nnnn » Mon Dec 20, 2010 1:23 am

นับถือในความทุ่มเทอย่างมาก

ไหนจะต้องเปลี่ยนสี เปลี่ยนขนาด เว้นบรรทัด
nnnn
 
Posts: 2388
Joined: Wed Dec 10, 2008 2:33 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby คนไกล » Mon Dec 20, 2010 1:29 am

ืืnnnn wrote:นับถือในความทุ่มเทอย่างมาก

ไหนจะต้องเปลี่ยนสี เปลี่ยนขนาด เว้นบรรทัด

:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
“You now see complexity when you once saw simplicity; you see grays rather than black and white. But this is to the good because the world is in fact complicated.” ==>Dean Elena Kagan :Associate Justice of the Supreme Court of the United States
User avatar
คนไกล
 
Posts: 4327
Joined: Fri Oct 09, 2009 3:18 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby Robert De Niro » Mon Dec 20, 2010 1:34 am

นี่ ท่านไฝ่เด๋อ ฤดูน้ำหลากก็ผ่านไปแล้ว ท่านยังไม่เลิก flood อีกหรือ :mrgreen:
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby ชาบูพระเทวทัก » Mon Dec 20, 2010 1:34 am

วันนี้ข้าเริ่มเกียจคร้าน ที่จะอ่านแล้วน่ะ T T
User avatar
ชาบูพระเทวทัก
 
Posts: 781
Joined: Fri Oct 29, 2010 1:58 pm


Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby antiseptic » Mon Dec 20, 2010 1:40 am

ฝากซื้อด้วยสองแผ่น
ออกเงินไปก่อน :D
"We all make choices. But in the end, our choices make us."
Andrew Ryan
User avatar
antiseptic
 
Posts: 4372
Joined: Sat Mar 27, 2010 11:04 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby finder » Mon Dec 20, 2010 1:41 am

ืืnnnn wrote:นับถือในความทุ่มเทอย่างมาก

ไหนจะต้องเปลี่ยนสี เปลี่ยนขนาด เว้นบรรทัด


คิดว่ากำลังทำรายงานละกัน เมื่อก่อนตอนทำส่งครู มีความเชื่อว่า

ยิ่งละเอียด+เยอะจะได้คะแนนมาก จึงติดเป็นนิสัย

:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

มีถาม-ตอบข้อสงสัยที่สำคัญหลายข้อด้วยนะครับ

เพื่อตัดความรำคาญ พวกที่ไม่ยอมตอบคำถาม เพราะตอบไม่ได้

จึงใช้วิธีถามกลับเพื่อเลี่ยงไม่ตอบ

:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby finder » Mon Dec 20, 2010 1:49 am

Robert De Niro wrote:นี่ ท่านไฝ่เด๋อ ฤดูน้ำหลากก็ผ่านไปแล้ว ท่านยังไม่เลิก flood อีกหรือ :mrgreen:


ยังไม่อ่านสิท่า มันเยอะจนเวียนหัวใช่ไหม :lol: :lol: :lol:

บอกตามตรง ผมทำขึ้นมาเพื่อให้ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้ด้วย

คนที่สนใจ เขาถึงจะอ่าน อย่างคุณไม่อ่านอยู่แล้ว คุณจึงไม่ใช่เป้าหมายของผม

เพราะปชป.ในเวบนี้ ก็เป็นแบบคุณนี่แหละ คือแย้งอย่างเดียว

ไม่สนความจริงที่เกิดขึ้น เชื่อใจแต่คำพูดรัฐบาล

โดยไม่เคยคิดย้อนว่า เคยพลาดมาแล้ว กับทักษิณเพราะความเชื่อใจนี่แหละ


:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby มารบูรพา » Mon Dec 20, 2010 1:51 am

มาให้กำลังใจท่าน เจ้าของกระทู้ครับ ศัตรูของศัตรูนั่นคือมิตรนะ เสื้อเหลืองอ่อย :lol: :lol: :lol:



ตื่นเถิดเสรีชน .... อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน ......... ดาบหอกกระบอกปืน ........................ หรือทนคลื่นกระแสเรา

User avatar
มารบูรพา
 
Posts: 756
Joined: Sat Sep 04, 2010 1:47 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby antiseptic » Mon Dec 20, 2010 2:08 am

สรุปให้เหลือบรรทัดเดียว...

"โปรดเลือกการเมืองใหม่ (ขอร้องล่ะ!)"
"We all make choices. But in the end, our choices make us."
Andrew Ryan
User avatar
antiseptic
 
Posts: 4372
Joined: Sat Mar 27, 2010 11:04 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby คนไกล » Mon Dec 20, 2010 2:15 am

เอาไว้ว่างๆจะอ่านละกาน
“You now see complexity when you once saw simplicity; you see grays rather than black and white. But this is to the good because the world is in fact complicated.” ==>Dean Elena Kagan :Associate Justice of the Supreme Court of the United States
User avatar
คนไกล
 
Posts: 4327
Joined: Fri Oct 09, 2009 3:18 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby saopao » Mon Dec 20, 2010 3:04 am

ข้อสงสัย
สนธิสัญญากับแผนที่ อะไรใหญ่กว่าหรือควรอ้างอิงอะไรเป็นหลัก

ผมมีคำตอบให้เช่นกัน เชิญอ่าน คำตอบนี้ ผมเอามาจากลิ้งค์ข้างล่าง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000107078

เอกสารอีกชิ้นหนึ่งชื่อว่า “ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว” ซึ่งจัดทำโดย กรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ จัด ทำเมื่อปี พ.ศ. 2547 (ซึ่งเป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นหลัง MOU 2543) แม้ว่าจะไม่ใช่เอกสารไทย-กัมพูชา แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกันอยู่ก็คือ “วิธีคิด” ของกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศต่อแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน โดยยึดถือว่า “แผนที่ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว” นั้นถือเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยาม-กับฝรั่งเศส และยังยึดถือด้วยว่า “แผนที่” เป็นหลักเหนือ “สนธิสัญญา” ดังนั้นจึงไม่มีพื้นที่พิพาทหรือทับซ้อน และมีเส้นเขตแดนเดียวก็คือ “แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน” เท่านั้น

ในหน้า 15 - 16 ในเอกสารของกรมสนธิสัญญาฉบับนี้ระบุความตอนหนึ่งว่า:

(1)เนื่องจากแผนที่ชุดนี้เป็นผล งานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ ชุดที่ 1 ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1904 ดังนั้นส่วนใหญ่ของแผนที่ชุดนี้ (จำนวน 9 ระวาง) จึงแสดงเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาและความตกลงฉบับปี ค.ศ. 1904 ซึ่งยังมีผลใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียง 6 ระวาง (ระวางเมืองคอบและเชียงล้อม / ระวางลำน้ำต่างๆ ทางภาคเหนือ/ ระวางเมืองน่าน/ ระวางจำปาสัก/ ระวางโขง/ และ “ระวางดงรัก”)




ในกรณีของลา่วมันคนละกรณีกัน อันนั้นเราก็ต้องอ้างเอาสิ่งที่เราได้ประโยชน์อยู่แล้ว
กระทรงต่างประเทศตอบไว้ดังนี้ และตอบให้ปานเทพฟังด้วย




ชวนนท์ - ผมขออนุญาตนิดหนึ่งครับ คือสิ่งที่อาจารย์ได้เล่ามาเรื่องลาวนะครับ ขอชี้แจงอาจารย์นิดหนึ่ง ข้อเท็จจริง ว่าจริงๆ เรื่องลาวมันมีที่มาที่ไปคือตอน 1904 มา 1907 ที่อาจารย์ได้กล่าวมาในตอนต้นเลยว่าเราได้คืนเสียมราฐ พระตะบอง อะไรต่างๆ ให้กับทางกัมพูชา แล้วเราได้คืนตราด กับเกาะกูด เกาะต่างๆ อีกจุดหนึ่งที่เราได้ เราได้ด่านซ้ายที่เลย เราได้ด้วย ทีนี้พอได้ด่านซ้ายที่เลยมาปั๊บ

พีระพัฒน์ - เป็นหนึ่งในตัวนี้ด้วยใช่ไหมครับ

ชวนนท์ - 1907 มีด่านซ้ายที่เลย เราได้คืนด้วย ตอนนั้นรัชกาลที่ 5 เห็นว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวมันโดนปักลิ่มลงมา ถ้าด่านซ้ายออกไปมันอันตรายกับยุทธศาสตร์ เพราะฉะนั้นก็บอกว่าเราต้องเอาด่านซ้ายคืน เพราะมันเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เมื่อได้ด่านซ้ายคืนมา อะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแผนที่ 1904 มันต้องไปแก้

พีระพัฒน์ - เพราะมันลากยาว

ชวนนท์ - เพราะมันลากมาเลย เพราะฉะนั้นมุมตรงนี้มันต้องลากใหม่ บริเวณด่านซ้าย ทีนี้ตรงบริเวณดังกล่าวปัญหาของมันคือว่ามันมีแม่น้ำเหือง ตรงบริเวณลาว มีอยู่ 3 สาย แล้วเขาก็บอกว่าเอาล่ะ ใช้สันปันน้ำ แต่ว่าแม่น้ำเหืองมันจะวิ่งหาสันปันน้ำแตกต่างกันแต่ละเส้น เรากับลาวก็เถียงกันว่าจะเอาเส้นไหน

พีระพัฒน์ - มีให้เลือก

ชวนนท์ - เพราะฉะนั้นผมเรียนว่าไทยกับลาวไม่ได้มีปัญหาเรื่องเราจะไปเอาตัวที่ไม่ตรง กับสันปันน้ำ จริงๆ แล้วสันปันน้ำ เพียงแต่เป็นตัวแม่น้ำเท่านั้นเองที่เราจะเลือกว่าจะใช้ตัวไหน นั่นประเด็นที่ 1 ประเด็นที่ 2 จริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นความลับพอสมควรนะครับ แต่ผมก็จะชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้สบายใจ ประเด็นสำคัญอีกอันก็คือว่า แผนที่บริเวณลาวเป็นแผนที่ที่เรายืนยันได้ว่ามีการลงนาม เพราะอะไรครับ เพราะ พ.ท.แบร์กนาด์ ที่เป็นผู้ร่างแผนที่ทั้งหมด 1904 เหมือนที่อาจารย์เรียน เขาไม่ได้ปักปัน เขาไม่ได้เขียนอะไรเลย พอ 1907 เราเอาด่านซ้ายคืนมา เขากลับมาแก้แล้วเขาเซ็น ว่าเขาแก้เอง แล้วเราก็รับ หลักฐานชัดเจน เพราะฉะนั้นแผนที่ฉบับนั้นมันถึงมีสถานะเหนือกว่าสนธิสัญญา ใช้ได้ นะครับ แล้วก็อาจจะพูดว่าเราก็มีจุดที่ค่อนข้าง อาจจะดูว่าได้เปรียบทางลาวเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเราก็คิดว่าการต่อสู้วิธีนี้ก็ไม่เสียหาย


อธิบายเพิ่มเติมหน่อยว่า
-สนธิสัญญาให้ยึดแม่น้ำเหือง
-แต่จริงๆแม่น้ำเหืองช่วนนั้นแยกเป็น 3 เส้น ซึ'งสนธิสัญญาไม่ได้ระบุว่าเส้นไหน
-แผนที่ฉบับนั้นตรงกับสนธิสัญญาและระบุตำแหน่งแม'น้ำเหืองไว้ ทางฝรั่งเศสได้แก้และลงชื่อยอมรับ โดยไทยได้ประโยชน์
-ไทยจึงยึดถือว่าเหนือสนธิสัญญา ต่างกับแผนที่ระวางดงรักที่ผิดสนธิสัญญาที่ไทยหรือแม้แต่ศาลโลกก็ไมรับรอง
จะเห็นว่า แม้แต่แผนที่ 1:200000 ตามสนธิสัญญาสามารถนำไปแก้ได้ให้ตรงกับสนธิสัญญา ไม่ใช่ยึดตายตัว และเคยแก้มาแล้ว
Last edited by saopao on Mon Dec 20, 2010 4:23 am, edited 2 times in total.
Image
User avatar
saopao
Moderator
 
Posts: 2593
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:21 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby saopao » Mon Dec 20, 2010 3:07 am

จริงๆ ถ้าฟังคลิปนี้กระทรวงต่างประเทศน่าจะตอบไว้หมดแล้วมั้ง

http://www.mediafire.com/?ba0gv5vp9kx7bt4
Image
User avatar
saopao
Moderator
 
Posts: 2593
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:21 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby saopao » Mon Dec 20, 2010 3:19 am

ในการสำรวจเขตแดน ในระดับปฎิบัตงานก็ได้มีการทำความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายในการใช้แผนที่ในการสำรวจ หาหลักเขตเดิมด้วยครับ
โดนเนื้อหา คือ ไม่ได้คำนึงถึงเส้นเขตแดนในแผนที่
ปล. L7016 คือแผนที่ scale 1:50000 ที่อเมริกาทำให้กับกัมพูชาใช้ในปัจจุบันครับ

ซึ่งจะอ้าง ข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศได้ดังนี้

คำแถลงข่าวเกี่ยวกับหนังสือตอบกัมพูชาเรื่องปราสาทตาควาย
02 ธันวาคม 2551 10:57:00

ตามที่นายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ได้เชิญนายอุก โสพอน อุปทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2551 เพื่อมอบหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศตอบหนังสือของฝ่ายกัมพูชา เพื่อยืนยันว่าปราสาทตาควายตั้งอยู่ในดินแดนไทย และการวางกำลังทหารไทยจำนวนประมาณ 10 นายที่ปราสาทตาควายเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2551 เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยภายในดินแดน ไทย นั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 และ 13 ตุลาคม 2551 ฝ่ายกัมพูชาได้มีหนังสือตอบหนังสือของไทย 2 ฉบับ พยายามโต้แย้งว่าปราสาทตาควายตั้งอยู่ในดินแดนกัมพูชา โดยอ้างแผนที่ชุด L7016 และ L7017

ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือตอบไปยังสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา ยืนยันว่าเมื่อถ่ายทอดค่าพิกัดของปราสาทตาควายลงบนแผนที่ชุด L 7017 และ L 7016 แล้ว ปราสาทตาควายตั้งอยู่ในดินแดนไทย และชี้แจงว่าไทยไม่เคยรับและไม่รับแผนที่ชุด L 7016 ว่าเป็นแผนที่ที่กำหนดเขตแดน และแผนที่ชุด L 7016 เป็นเพียงหนึ่งในแผนที่หลายชุดที่ชุดสำรวจร่วมใช้อำนวยความสะดวกงานสนาม โดยไม่คำนึงถึงเส้นเขตแดนที่แสดง ดังบันทึกหลักฐานต่อไปนี้

1. ในบันทึกการประชุมคณะเจ้าหน้าที่เทคนิคไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 1 เมื่อ 29-30 กันยายน 2546 ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะใช้แผนที่ชุด L708, L7011 และ L 7016 เพื่ออำนวยความสะดวกในการช่วยชี้ตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตแดน (ทั้ง 73 หลัก) ในพื้นที่ (to facilitate the determination of the locations of BPs in the terrain) เท่านั้น ไม่ใช่เป็นแผนที่ที่กำหนดเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา

2. ในการประชุมคณะเจ้าหน้าที่เทคนิคไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 3 เมื่อ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2547 ทั้งสองฝ่ายได้รับเอาข้อแนะนำทางเทคนิคสำหรับงานตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้ง 73 หลักมาใช้ ซึ่งได้ระบุว่าให้ตรวจสอบและเปรียบเทียบแผนที่แสดงภูมิประเทศชุด L 708, L 7011 และ L 7016 โดยคำนึงถึง ชื่อทางภูมิศาสตร์ ถนน ทางระบายน้ำ ระดับความสูง ภูเขา และรายละเอียดภูมิศาสตร์อื่นๆ “ยกเว้นเส้นเขตแดน” (The topographic maps series L708, L7011 and L7016 of each side shall be investigated and compared, sheet by sheet, taking into account the geographic names, roads, drainages, elevation, mountains and other geographical details except boundary line.)

กระทรวงการต่างประเทศขอยืนยันว่าประเทศไทยยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะร่วม มือกับกัมพูชาภายใต้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนทุดจุดอย่างเป็นธรรมและโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่าง ประเทศต่อไป
Image
User avatar
saopao
Moderator
 
Posts: 2593
Joined: Mon Oct 13, 2008 1:21 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby pong_pratum » Mon Dec 20, 2010 4:48 am

อยากดูข้อมูลMOU44 เชิญที่ลิ้งค์นี้
http://www.praviharn.net/index.php?opti ... Itemid=148
หรือที่นี่ http://tnews.teenee.com/politic/43135.html
ปูพื้นความเชื่อมโยงทางผลประโยชน์แล้ว เราจะมาดูเรื่องMOU2543กัน
จากhttp://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=129&Itemid=147

กรุณาไปดูรูปภาพตามลิ้งค์ข้างบน (ผมไม่รู้วิธีเอารูปมา ใครรู้ช่วยหน่อย, Please )
เอกสารชุดนี้มี 3 แผ่น ขอให้ดูรูปมุมซ้ายบน ตรงข้อ2.1 ข้อย่อย"พื้นฐานทางกฎหมาย"
เอกสารนี้กำหนดกรอบของMOU2543ว่าจะต้องมีอะไรอยู่บ้าง


ท่านจขกท.อย่าลืมมาขยายความต่อ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะจบอย่างไร...ขอบคุณล่วงหน้าครับ....
รูปอาจจะไม่ค่อยชัดแต่พออ่านได้สะดวกครับ...ผมลองทำใหญ่กว่านี้มันก็จะล้นอออกไป ผมยังจัดหน้าให้ชิดซ้ายไม่ได้ ใครรู้ช่วยบอกที


Image
Image
Image
“.....เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน...มันผู้ใดดูถูกปวงประชา มันผู้ใดไล่ล่าล้างอย่างโหดหิน เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องทั่วธรณินทร์ ทั้งแผ่นดินก็สอนสั่ง...พังบรรลัย....."
User avatar
pong_pratum
 
Posts: 929
Joined: Fri Sep 17, 2010 7:54 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby andoe » Mon Dec 20, 2010 5:19 am

ขอบคุณ finder สำหรับข้อมูลคับ

.....คนไทยอย่างผมจะได้เข้าใจข้อมูลมากขึ้น ต่อไปก็ต้องไปทำความเข้าใจกับกัมพูชาต่อ(แต่ไม่เอาMOU2543 ถ้าจะใช้ต่อควรยกเลิก แผนที่1:200,000 ก่อนนะคับ).....

.....เอ๋....แล้วเราจะมีทางแก้ไขวิธีใดได้บ้างคับ? ตอนนี้ผมสงสัยว่าที่จริงเราควรจะขัดแย้งกับใครกันแน่คับ ระหว่าง คนไทย กัมพูชา ฝรั่งเศส อเมริกา จีน กันแน่? ......(ลองทำเป็นทางเลือกกันดีไหมคับ)......
...................จะต้องมีข้อมูลมากมายไปทำไม.
ถ้าสุดท้ายแล้ว เราก็ตัดสินใจด้วย.......ความเชื่อ
User avatar
andoe
 
Posts: 290
Joined: Thu Dec 16, 2010 4:48 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby pong_pratum » Mon Dec 20, 2010 5:22 am

ลองดูแผนที่1:50,000 ที่ละเอียดกว่าแต่ไม่ใช้ในMOU
จะเห็นว่าแผ่นดินเขมรอยู่ต่ำลงไปมาก(ถ้ามีตัวเลขบอกระดับที่เส้นcontourก็จะระบุความแตกต่างได้) ถ้าให้คนมีความรู้ทางภูมิศาสตร์ทั้งโลกมาดู ก็จะบอกว่าเป็นของไทยหมดทั้งตัววิหารและแผ่นดินบนเขาลูกนี้....
ไม่รู้ว่าฝรั่งเศสกับศาลโลกสมัยนั้น ทำไมไม่ให้ความยุติธรรมกับไทย?

Image

ขอเสริมดัวยภาพถ่าย เห็นได้ชัดๆว่าสันปันน้ำ(เส้นสีแดง)แบ่งได้ชัดเจนกว่า.....เอามั้ยๆๆๆ.....เอาแผ่นดินของเราคืนดีมั้ย????
Image
Last edited by pong_pratum on Mon Dec 20, 2010 8:51 am, edited 2 times in total.
“.....เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน...มันผู้ใดดูถูกปวงประชา มันผู้ใดไล่ล่าล้างอย่างโหดหิน เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องทั่วธรณินทร์ ทั้งแผ่นดินก็สอนสั่ง...พังบรรลัย....."
User avatar
pong_pratum
 
Posts: 929
Joined: Fri Sep 17, 2010 7:54 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby andoe » Mon Dec 20, 2010 5:39 am

ภาพถ่ายและแผนที่เขาพระวิหาร
1_128.jpg
3_39.jpg
(17.55 KiB) Not downloaded yet
241915-29.jpg


เห็นสันปันน้ำชัดขนาดนี้แล้ว....สงสัยคำตัดสินศาลโลกคงมีปัญหาแน่ๆ..
...................จะต้องมีข้อมูลมากมายไปทำไม.
ถ้าสุดท้ายแล้ว เราก็ตัดสินใจด้วย.......ความเชื่อ
User avatar
andoe
 
Posts: 290
Joined: Thu Dec 16, 2010 4:48 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby phat » Mon Dec 20, 2010 6:20 am

ใช่ ตัวอภิสิทธิ์ เกิดวิฤติศรัทธาแล้วหลายเหตุผลถ้าอภิสิทธิ์ทําในสิ่งที่ถูกต้องคงไม่มีประโยชน์ที่จะมาด่าหรอก

หัวข้อsลักที่ทําเกิดวิกฤตศรัทธา(ถ้านายกดีจริงจะมาด่ามาร์คให้เสียเวลาทําไม)

อาทิ

ล้มเหลวในการปราบระบอบแม้ว วันนี้เสื้อแดงยังเต็มราชประสงค์

ปล่อยเสื้อแดงเผาเมือง40กว่าจุดไม่กล้าตัดสินใจปราบเสื้อแดงให้เด้ดขาด

ไม่กล้าต่อรองพรรคร่วมปล่อยให้ เหลือบ วรนุช ต่อรองในสิ่งที่ผิดปล่อยให้มีการโกงกิน เขาเรียกว่าหุ่นเชิดแม่ย่านางในเรือโจร(หุ่นเชิ่ดขายจิตวิญญาณให้เนวิน บรรหาร) ต่อให้อภิสิทธิ์โปร่งใสขนาดไหนแต่ถ้าครมลิ่วล้อโกงก็ไร้ประโยชน์

แก้ปัญาเขาพระวิหารไม่ได้เรื่องโกหกบิดเบือน ขนาดท้าให้ลงพื้นที่พิสูจน์มันก็ยังไม่กล้าไม่สน วันนี้ศักดิ์ศรีด้านการทหารไทยตก ตํ่าการทหารมากที่สุด


ปล ร้อยบรรลัยวันฟ้าเก่า สู่วาระต้มประชาชนจนเปื่อย!!!!
http://astv.mobi/VKEYPi7
http://astv.mobi/VYjlKsy
http://astv.mobi/VlgBuQF
ไอ้พรรค ปชป พท ภท พถ ชทพ ปชรและพวกในสภามันเลวหมด ถึงเวลาปฏิรูปนักการเมืองไทย!!!
ace combat +sky crawler
http://www.acecombat.jp
http://www.bandainamcogames.co.jp/cs/list/sky_crawlers/
http://www.amy.hi-ho.ne.jp/tommy-ohtsuka/jpg/rescue03.jpg
User avatar
phat
 
Posts: 3070
Joined: Fri Dec 17, 2010 12:35 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby neonewman » Mon Dec 20, 2010 6:25 am

phat wrote: ตัวอภิสิทธิ์ เกิดวิฤติศรัทธาแล้วหลายเหตุผล


วิกฤติศรัทธาของใครหรือครับ บรรดาเหล่าสีเสื้อเหรอ :lol:
User avatar
neonewman
 
Posts: 4046
Joined: Sat May 01, 2010 8:45 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby คิคิ » Mon Dec 20, 2010 7:35 am

นึกว่า จขกท โดนเก็บไปซะแระ

โผล่มา พร้อมข้อมูลละเอียดเยอะแยะมากมาย อย่างนี้
ก็ตายกันยกยวงเลยนะจิ

เพราะเห็นอยู่ว่า ไม่ได้มาตอบในข้อมูล แต่แค่มาป่วน เข้ามาทำลายกระทู้ก็เท่านั้น

ความหล่อมันบาดตา ทำลายได้ทุกอย่าง เอิ๊กกๆๆๆๆ
:mrgreen:
ลายเซ็นต์กู มืงก็ลบ
User avatar
คิคิ
 
Posts: 1702
Joined: Tue Oct 14, 2008 3:40 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby antiseptic » Mon Dec 20, 2010 9:28 am

สรุป ตอน 3 ไม่มีอะไรใหม่ ยังเป็นเรื่อง 1:200000 อยู่
"We all make choices. But in the end, our choices make us."
Andrew Ryan
User avatar
antiseptic
 
Posts: 4372
Joined: Sat Mar 27, 2010 11:04 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby pong_pratum » Mon Dec 20, 2010 10:02 am

หล่อแบบ....อิเหนาหุ้มเกราะ....หล่อได้ก็เท่านั้น..... :lol: :lol: :lol: :lol:
“.....เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน...มันผู้ใดดูถูกปวงประชา มันผู้ใดไล่ล่าล้างอย่างโหดหิน เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องทั่วธรณินทร์ ทั้งแผ่นดินก็สอนสั่ง...พังบรรลัย....."
User avatar
pong_pratum
 
Posts: 929
Joined: Fri Sep 17, 2010 7:54 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby notcomeng » Mon Dec 20, 2010 10:10 am

คิคิ wrote:นึกว่า จขกท โดนเก็บไปซะแระ

โผล่มา พร้อมข้อมูลละเอียดเยอะแยะมากมาย อย่างนี้
ก็ตายกันยกยวงเลยนะจิ

เพราะเห็นอยู่ว่า ไม่ได้มาตอบในข้อมูล แต่แค่มาป่วน เข้ามาทำลายกระทู้ก็เท่านั้น

ความหล่อมันบาดตา ทำลายได้ทุกอย่าง เอิ๊กกๆๆๆๆ
:mrgreen:

ด้วยความเคารพนะครับ พอมีคนตอบ จขกท ก็ว่ามั่วตอบไม่ตรงประเด็น จนหลายท่านไม่อยากจะตอบแล้ว :lol: :lol: :lol:
User avatar
notcomeng
 
Posts: 919
Joined: Thu May 20, 2010 2:29 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby antiseptic » Mon Dec 20, 2010 10:17 am

คนบาป wrote:วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีการเดินสายรณรงค์เรื่องปราสาทพระวิหาร เพื่อที่จะนำไปสู่การชุมนุมในวันที่ 25 ธ.ค.ว่า ตนได้ติดตามอยู่ และคิดว่า ก็จะหาเวลาในการพูดคุยชี้แจงเหตุผล ก็เพราะว่า ตนเห็นกลุ่มพันธมิตรฯไปทำเอกสาร และมีการตีตารางออกมา ว่า ที่เขาเป็นห่วงว่า จะเสียดินแดน เหตุผลก็มี 33 ประเด็น และก็ทำว่า จุดยืนของพันธมิตรฯ ที่มันแตกต่างกับจุดยืนของรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ มี 20 ข้อ ซึ่งใน 20 ข้อ และใน 33 ข้อ ก็มีหลายเรื่องที่มันไม่ตรงกับความเป็นจริง อาจเป็นความเข้าใจของเขาที่คลาดเคลื่อน เช่น กรณีว่า รัฐบาลไปยอมรับแผนที่ไปอะไรต่างๆ ซึ่งตนมีเอกสารที่จะไปยืนยันได้ว่า ไม่เป็นเช่นนั้น ส่วนสภาพความเป็นจริงที่ทางทหารก็ยังยืนยันกับตนว่า ไม่มีกรณีที่ไปถอนทหารออกไปใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจชี้แจง

ส่วนการทำความเข้าใจในการพูดคุยกับแกนนำพันธมิตรฯ นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับเขาพร้อมที่จะพบหรือไม่ หากแกนนำพันธมิตรฯ อย่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯบอกจะไม่พบกับนายกฯแล้วนั้น ตรงนี้ก็ต้องออกข้อมูล และให้ข้อมูลเป็นระบบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถามว่า หมายถึงจะมีการทำเอกสารในส่วนของรัฐบาลเพื่อทำการชี้แจง นายกฯ กล่าวว่า ใช่ครับ เมื่อถามย้ำว่า ตรงประเด็นใดที่นายกฯ มีความกังวลในการเคลื่อนไหวที่มีออกมา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็เข้าใจดีว่า กลุ่มพันธมิตรฯมีความห่วงใยในเรื่องการเสียดินแดน เพราะไปเข้าใจว่า รัฐบาลไปยอมรับแผนที่ ไปถอนทหาร และปล่อยให้กระบวนการมรดกโลกเดินหน้า ซึ่งมันไม่จริง ตนเคยเรียนไว้ว่า นโยบายของรัฐบาลบอกชัดเจน ไม่ยอมรับแผนที่ ไม่ถอนทหาร และเดินหน้าในการคัดค้านการเสนอแผนบริหาร ในกรอบของมรดกโลก และทุกเรื่องต้องดำเนินการตลอดเวลา มีหลักฐานยืนยันได้

เมื่อถามว่า ตอนนี้มีเสียงออกมาว่า ถ้าไม่ปฏิบัติตามในข้อเรียกร้อง จะยกระดับพัฒนาไปสู่การขับไล่นายกฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนก็แปลกใจว่า หากเราสามารถที่จะยืนยันได้ เป้าหมายมันตรงกัน คือ การรักษาอธิปไตย วิธีการเป็นเรื่องซึ่งเป็นดุลพินิจของคนทำงาน เหมือนกัน และความเห็นก็ไม่ตรงกันหรอกครับ กลุ่มนี้ที่ไม่ใช่พันธมิตรฯ รัฐบาลก็ต้องตัดสินใจ แต่ตนยืนยันได้ว่า ไม่มีเรื่องไหนที่เราตัดสินใจบนพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของส่วนร่วม แต่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งสิ้น เรื่องของมรดกโลกตนก็เดินหน้าตลอด ขณะไปน้ำเทินมีโอกาสพบกับตัวแทนทางการของประเทศฝรั่งเศสก็พูด ซึ่งการพูดคุยก็เป็นไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับพันธมิตรฯ ที่บอกว่า ตนพูดด้วยซ้ำ

ส่วนที่มีการกล่าวหาว่า นายกฯ กลัวเสียหน้าจึงไม่ยอมยกเลิกเอ็มโอยูนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีหรอกครับ ตนจะไปเสียหน้าทำไม ถ้าจำเป็นจะต้องทำอะไรก็ต้องทำ ตนไม่มีปัญหา

“ผมมีอะไรที่ผิดพลาดก็จะยอมรับตรงๆ มาตรา 190 ว่าด้วยการทำสนธิสัญญา เมื่อมีเข้าไปที่มีปัญหาว่า ไปแยกวรรค 2 วรรค 3 ผมผิดพลาดก็บอกตรงๆ ไม่เห็นเสียหน้าอะไร ซึ่งเป็นแนวทางของผม แล้วหาว่า ผมไปรักษาหน้านายกฯชวน ก็เอาอย่างนี้แล้วกันครับ พอจดหมายเอามาให้ดูกันชัดๆ ว่า เราเขียนไปแล้วว่า ไอ้คำว่าแผนที่ ซึ่งเป็นผลงานของคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา ที่ทำสืบเนื่องมาจากสนธิสัญญา เราไม่นับแผนที่ระวางดงรัก ก็เป็นการปฏิเสธอยู่แล้ว ฉะนั้นตรงนี้ก็ไม่ทราบว่า จะว่าอย่างไร ก็คงต้องเผยแพร่ข้อมูลให้มากขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ปีหน้าจะยืนบริหารสถานการณ์ได้ยากขึ้น เพราะเผชิญทั้งเหลืองและแดง นายกฯ กล่าวว่า ก็ธรรมดา เพราะมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจ แต่ถ้าทุกคนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของกฎหมายก็ไม่เป็นไร นี้ก็คือสังคมประชาธิปไตย ความคิดเห็นก็หลากหลาย แต่ขอให้ทุกคนยึดในการปฏิบัติตามกฎหมาย

ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000178159


คนระดับนายกฯยังยอมรับข้อผิดพลาด
แต่คนอย่างไอ้แป๊ะอีปานล่ะกล้ามั้ย?
"We all make choices. But in the end, our choices make us."
Andrew Ryan
User avatar
antiseptic
 
Posts: 4372
Joined: Sat Mar 27, 2010 11:04 am

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby kritz » Mon Dec 20, 2010 10:22 am

มีของใหม่จาก รัฐบาล ก็เว้ามาครับ ...

คนไทยคิดกันเองว่าเขา(State Party)รับทราบข้อท้วงติงจากเรา แต่ผมยังไม่เห็นหนังสือเซ็นต์รับทราบข้อท้วงติงของเราจากเขา(State Party) แต่เขามีหนังสือเซ็นต์รับทราบการประชุม+เอกสารสำคัญในการขอขึ้นทะเบียนรวมถึงเอกสารแผนที่เจ้าปัญหาจากทางเรา(Thailand) ...งงไหม เอิ๊ก

ถ้าจะบอกว่าคนทำงานระดับนั้นไม่รู้ข้อตกลงเรื่องการเซ็นต์รับทราบผมก็คงใบ้รับประทานครับ ยังจะไปจัดทำระวางหรือแผนที่ที่ไหนอีกล่ะครับในเมื่อ ขแมร์มันไม่จัดทำร่วมน่ะครับ ...เอิ๊ก

:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
I'm a PAD, not a Democrat!

Honestly is the best policy!
ประชาทนธิปไตย คลิกเบาๆ
User avatar
kritz
 
Posts: 2276
Joined: Fri Nov 07, 2008 12:52 pm
Location: ภูเก็ต

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby google » Mon Dec 20, 2010 10:37 am

คิคิ wrote:นึกว่า จขกท โดนเก็บไปซะแระ

โผล่มา พร้อมข้อมูลละเอียดเยอะแยะมากมาย อย่างนี้
ก็ตายกันยกยวงเลยนะจิ

เพราะเห็นอยู่ว่า ไม่ได้มาตอบในข้อมูล แต่แค่มาป่วน เข้ามาทำลายกระทู้ก็เท่านั้น

ความหล่อมันบาดตา ทำลายได้ทุกอย่าง เอิ๊กกๆๆๆๆ
:mrgreen:


ไปอ่านกระทู้เก่าๆดีกว่านะ
เค้าตอบจนเบื่อกันไปละมั้ง


จขกทเค้าเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าเสียดินแดนไปแล้ว
เพราะแป๊ะฟันธงไปแล้วว่าเสียแน่นอนในการประชุมรอบหน้า
หากว่าถ้าไม่เสียในรอบนี้แป๊ะก็จะบอกต่อไปว่าเสียแน่นอนในครั้งต่อไป
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าหุ่นเชิดแป๊ะจะได้เป็นนายก
User avatar
google
 
Posts: 1339
Joined: Sat Apr 03, 2010 11:36 pm

Re: รัฐบาลอภิสิทธิ์เลว2(ภาคขายแผ่นดิน)

Postby pong_pratum » Mon Dec 20, 2010 11:08 am

ขออนุญาต จขกท.นอกเรื่องสักหน่อย.....

๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ (ค.ศ. ๑๙๕๙), ฤดูร้อน ในกรุงลาซา,กองทัพคอมมูนิสต์จีนเคลื่อนพลเข้ายึดธิเบต

19 มีนาคม 2546 สหรัฐส่งทหารบุกอิรัก

23 พฤศจิกายน 2553 เกาะยอนพยอง เกาหลีใต้ถูกเกาหลีเหนือยิงด้วยปืนใหญ่ 200 นัด
............................................................................................................

ไม่เห็นว่าศาลโลกจะทำอะไรได้นอกจากเรียกร้องให้หยุดการกระทำแต่ไม่มีใครเชื่อ แสดงถึงความเป็นเสือกระดาษตัวจริง.....แล้วทำไมการตัดสินให้ไทยเสียดินแดนอย่างไม่ยุติธรรมกับไทย เราถึงจะเรียกร้องความเป็นธรรมเอาพระวิหารคืนไม่ได้.....
“.....เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน...มันผู้ใดดูถูกปวงประชา มันผู้ใดไล่ล่าล้างอย่างโหดหิน เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องทั่วธรณินทร์ ทั้งแผ่นดินก็สอนสั่ง...พังบรรลัย....."
User avatar
pong_pratum
 
Posts: 929
Joined: Fri Sep 17, 2010 7:54 am

Next

Return to สภากาแฟ



cron