* ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Feb 22, 2010 1:37 pm

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ ทักษิณ ภาคสอง (12) แกะรอยแก้สัมปทาน เอื้อผลประโยชน์"ชินแซท"

Image

การใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)

บริษัทที่มีบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป ถือหุ้น 49% คือ หนึ่งในข้อกล่าวหาการใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจในเครือชินคอร์ป ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ทั้งการอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม ไอพี สตาร์ แทนดาวเทียมไทยคม 4 ซึ่งตามสัญญาสัมปทานกำหนดให้เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเดียวไทยคม 3 และ การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปในชินแซท ทั้งหมดนี้ถูกบรรจุไว้ในสำนวนคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการเอื้อประโยชน์ทั้งสิ้น

แม้ว่าในสำนวนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานให้กับชินแซท จะไม่มีข้อมูลที่บอกได้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสั่งการในเรื่องต่างๆ แต่ต้องไม่ลืมว่ารัฐมนตรีที่รับผิดชอบ หรือลงนามในการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ทั้งนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ล้วนเป็นรัฐมนตรีที่มาจากพรรคไทยรักไทย ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งสิ้น

เริ่มจากการแก้ไขสัญญาอนุมัติให้บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อสร้างดาวเทียมไทยคม 4 ซึ่งตาwมสัญญาสัมปทานกำหนดให้เป็นดามเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 เป็นดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ลงนามโดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2545

มีจุดเริ่มต้นจากข้อเสนอของชินแซท เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2545 ทำหนังสือถึงกระทรวงคมนาคม ขออนุมัติจัดสร้างดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) พร้อมกับขอแก้ไขข้อกำหนดทางเทคนิคของดาวเทียมไทยคม 4 เดิม ด้วยเหตุผลในเรื่องความทันสมัยและความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

กระทรวงคมนาคมใช้เวลาพิจารณาเพียง 2 เดือนก็มีหนังสืออนุมัติการขอแก้ไขทางเทคนิค และอนุมัติให้บริษัทสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ในวันที่ 24 ก.ย. 2545 จากนั้นอีก 4 ปี ในปี 2548 ดาวเทียมไอพี สตาร์ ก็ถูกส่งขึ้นวงโคจร


อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของ คตส.พบว่า การอนุมัติให้ชินแซท ยิงดาวเทียมไอพีสตาร์นั้น ขัดกับเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน เพราะคุณสมบัติของดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่เหมือนกับดาวเทียมไทยคม 3 จึงเป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ไม่ได้ เนื่องจากการอนุมัติให้มีการแก้ไขคุณสมบัติโดยตัดคลื่นความถี่ CU-Band ที่มีในดาวเทียมไทยคม 3 ออกไป

นอกจากนี้ คตส.ยังมีความว่าการอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นการอนุมัติโครงการใหม่ที่อยู่นอกกรอบสัญญาสัมปทาน เพราะดาวเทียมไอพี สตาร์ มีวัตถุประสงค์ทางการค้าและรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้งานในต่างประเทศ เพราะชินแซทได้ลงทุนสร้างอุปกรณ์ 18 แห่ง ใน 14 ประเทศ

แสดงว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลัก จึงไม่อยู่ในกรอบสัญญาที่ต้องการให้ใช้สำหรับการสื่อสารในประเทศ หากเหลือให้ต่างประเทศใช้บริการ คตส.จึงมีความเห็นว่า การอนุมัติดังกล่าวถือเป็นเอื้อประโยชน์แก่ชินแซท ไม่ต้องมีการแข่งขันเพื่อยื่นข้อเสนอรับสัมปทานโครงการใหม่

ส่วนกรณีกระทรวงไอซีที อนุมัติค่าสินไหมทดแทนความเสียหายของตามเทียมไทยคม 3 จำนวน 33,082,960 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท ให้แก่ชินแซท เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากดาวเทียมไทยคม 3 เกิดเหตุขัดข้องเกี่ยวกับระบบพลังงาน จนทำให้ช่องสัญญาณดาวเทียมบางส่วนไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อปลายปี 2546 และบริษัทประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวน 33,082,960 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเก็บไว้ที่บัญชี เอสโครว์ ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาสิงคโปร์ ลงวันที่ 11 ต.ค. 2547

จากนั้นในวันที่ 14 พ.ย. 2546 ไอซีที ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ทก 0204/230 ถึงกรรมการผู้อำนวยการ ชินแซท เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ไอซีที ได้อนุมัติเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวให้บริษัท นำไปดำเนินการตามสัญญาสัมปทานดาวเทียม ข้อ 37 ใน 2 ประเด็น คือ

1. อนุมัติเงินจำนวน 6,765,299 ดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัทเพื่อจัดหาช่องสัญญาณดาวเทียม Intelsat จำนวน 3 ทรานสพอนเดอร์

2. อนุมัติเงินจำนวน 26,236,661 ดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัทสร้างดาวเทียมใหม่ (ไทยคม -3R) โดยมีเงื่อนไขว่า หากมูลค่าการก่อสร้างดาวเทียมดวงดังกล่าวสูงกว่าเงินค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทได้รับ บริษัทต้องรับผิดชอบเงินที่เพิ่มขึ้นเองทั้งหมด

ต่อมาในวันที่ 30 มิ.ย. 2548 ชินแซท ได้ลงนามก่อสร้างดาวเทียมดวงใหม่ พร้อมกับนำเงินค่าสินไหมจำนวน 26.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,083 ล้านบาท ที่ไอซีที อนุมัติให้บริษัทนำไปสร้างดาวเทียมมาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีตามมาตรา 67 ทวิ ของประมวลรัษฎากร

จากนั้นวันที่ 14 พ.ย. 2548 นายดำรง เกษมเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร ชินแซท ได้มีหนังสือหารือไปยังกรมสรรพากร ใน 3 ประเด็น คือ

1. ค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทได้รับจากไอซีที จำนวน 26.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ถือเป็นเงินได้ของบริษัทใช่หรือไม่

2. หากเงินค่าสินไหมที่บริษัทได้รับจำนวน 26.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ถือเป็นเงินได้ของบริษัท บริษัทมีสิทธิขอคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกรมสรรพากรได้ใช่หรือไม่

3. กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวน 400 ล้านบาท จากดาวเทียมไทยคม 3 สามารถนำมาเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ใช่หรือไม่

วันที่ 20 ม.ค. 2549 กรมสรรพากร ที่ กค 0708/497 สรุปใจความสำคัญว่า ค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทได้รับจากไอซีที ทั้งกรณีค่าสินไหมที่นำไปเช่าช่องสัญญาณดาวเทียม และค่าสินไหมที่ใช้ในการก่อสร้างดาวเทียมดวงใหม่ไม่ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี ส่วนความเสียหายของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 400 ล้านบาท ไม่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายทางภาษีได้

อย่างไรก็ตามคตส.ได้มีมติส่งหนังสือให้กรมสรรพากรทบทวนการคืนภาษี พร้อมกับเรียกเก็บภาษีเงินได้ จากบริษัท ชินแซท ประมาณ 377 ล้านบาทแล้ว เนื่องจากเห็นว่าเงินค่าสินไหมทดแทนความเสียหาย ของดาวเทียมไทยคม 3 จากกระทรวงไอซีทีจำนวน 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ส่วนการลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปในชินแซท จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 51% เป็นไม่ต่ำกว่า 40% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงว่า แก้ไขสัญญาเพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้น จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 51% เป็นไม่ต่ำกว่า 40% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งฝ่าฝืน พระราชบัญญัติร่วมทุน ปี 2535

เรื่องนี้ ชินแซท ได้เสนอว่า ตามสัญญาสัมปทานที่บริษัททำไว้กับรัฐบาลเมื่อปี 2534 ได้กำหนดให้ชินคอร์ปจะต้องถือหุ้นในชินแซทไม่ต่ำกว่า 51% โดยไม่ระบุเหตุผลในสัญญา แต่จากการสอบถามทราบว่า เหตุที่ต้องกำหนดสัดส่วนการถือหุ้น เป็นเพราะต้องการให้ผู้รับสัญญาสัมปทานมีความรับผิดชอบในการผลักดันโครงการดาวเทียมให้เกิดขึ้น

หลังจากชินแซทแจ้งความจำนงที่จะขอลดสัดส่วนการถือหุ้นชินคอร์ปแล้ว กระทรวงไอซีที ได้เสนอเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา แต่สำนักงานอัยการ บอกว่าควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา หรือเห็นชอบ กระทรวงไอซีทีจึงส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อบรรจุเข้าเป็นวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการ คณะรัฐมนตรีในขณะนั้น แจ้งกลับมาว่า ไม่ใช่เรื่องที่ คณะรัฐมนตรีจะพิจารณา ทางไอซีทีจึงส่งเรื่องไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาอีกครั้ง และอัยการก็แจ้งกลับมาว่า เมื่อเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี เห็นว่าไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณา จึงเป็นอำนาจของไอซีทีที่จะพิจารณาอนุมัติ จนกระทั่งมีการลงนามแก้ไขสัญญาในเวลาต่อมา

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาของ คตส.ในกรณีต่างๆ ไม่ได้ทำให้หุ้น ชินคอร์ป มีราคาสูงขึ้นผิดปกติ แต่ราคาหุ้นขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอัตราที่ใกล้เคียงกันตลอดเวลา

ดังนั้น เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ หรือได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรตามข้อกล่าว อีกทั้งมาตรการ 5 เอื้อประโยชน์ทั้ง 5 ของที่ คตส.และอัยการกล่าวหานั้น เจ้าหน้าที่รัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายตามข้อกล่าวหาของ คตส. เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังบอกด้วยว่า ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริต ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 20/101473/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Feb 22, 2010 8:23 pm

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ" ภาคสอง (13)
: ปากคำ "ทักษิณ"...ปี 2537 หุ้น "ชินคอร์ป" หากขายราคา 1.1 แสนล้าน


Image

นอกจากปม "ซุกหุ้น-อำพรางหุ้น" แล้ว ข้อกล่าวหา "เอื้อประโยชน์" ใน 5 มาตรการ คือ

ประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องแก้ต่าง ในคดีประวัติศาสตร์ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท

1. ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ แปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปหรือไม่

2. พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Mobile Telephone) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ ที่ต้องจ่ายให้ บ.ทศท. จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้บริษัท AIS เป็น 20% จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตรา 25-30% หรือไม่

3. พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่น ที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้กับ ทศท. และ กสท หรือไม่

4. พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ อนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ บริษัทชินคอร์ป และ บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด หรือไม่

5. พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อนุมัติให้รัฐบาลพม่า กู้เงินเอ็กซิมแบงก์ จำนวน 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้ จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่าจากบริษัทชินแซทหรือไม่

ในคำแถลงการณ์ปิดคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ลงนามรับรองเอกสาร 162 หน้า ย้ำหนักเน้นว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นเพียงการสันนิษฐาน คาดเดา และการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่มีมูลความจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหา และขัดแย้งกับเอกสารทั้งหมดของราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขัดแย้งคำเบิกความของพยาน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน จึงไม่มีเหตุที่จะฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาให้บุตรและพี่น้องถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไว้แทน โดยไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายหุ้นจริง

พร้อมยังระบุว่าปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งจากทั้งพยานบุคคลและเอกสาร ตลอดจนพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้อง ว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลอีกจำนวน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,621,603,061.05 บาทในคดีนี้ เป็นเงินของผู้ที่รับโอนหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสจริง ไม่ใช่เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสอย่างแน่นอน จึงไม่ใช่เงินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการสูงสุด ผู้ร้องคดีนี้จึงไม่มีสิทธินำมาร้องขอให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน

ส่วนการออกมาตรการต่างๆ ทั้ง 5 ด้าน ไม่ได้ทำให้หุ้นชินคอร์ปมีราคาสูงขึ้นผิดปกติ แต่ราคาหุ้นขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในอัตราที่ใกล้เคียงกันตลอดเวลา

โดยอ้างจากคำเบิกความของพยานที่เชี่ยวชาญตลาดหุ้น ระบุว่า ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 (วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) ถึงวันที่ขายหุ้นให้เทมาเส็ก 23 มกราคม 2549 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 131% ส่วนหุ้นของชินคอร์ป เพิ่มขึ้นในช่วงเดียวกัน 125%

"ซึ่งเห็นว่าหุ้นชินคอร์ป ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ด้วยซ้ำไป.." ขณะเดียวกัน ยังระบุด้วยว่า "ในปี 2537 ช่วงที่เศรษฐกิจประเทศขาขึ้น หุ้นชินคอร์ป มีราคาสูงถึง 796 บาท (พาร์ 10 บาท) หากเทียบราคาพาร์ 1 บาท จะมีราคาหุ้นละ 79.60 บาท ดังนั้น หากนำหุ้นที่ขายทั้งหมด มาคำนวณราคาในขณะนี้ จะมีมูลค่า 118,424,113,552 บาท ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหายังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และไม่ได้ออกมาตรการใดๆ ตามข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์แก่ชินคอร์ป"

ดังนั้น ประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามคัดค้าน คือ เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมด จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ หรือได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรตามข้อกล่าว คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เข้าองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด

นอกจากนั้น ยังอ้างอีกทั้งว่ามาตรการ 5 ข้อนั้นพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายตามข้อกล่าวหาของ คตส. เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด โดยอ้างว่าหุ้นบริษัทชินคอร์ป ในคดีนี้เป็นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้มาจากการทำมาหากินโดยสุจริต ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าทำงานทางการเมือง และการขายหุ้นนั้น

"ไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยการทุจริต คดโกงประเทศชาติ หรือเบียดบังจากงบประมาณแผ่นดิน หรือเงินอื่นใดของรัฐแม้แต่บาทเดียว"

ท้ายคำแถลงปิดคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา ระบุด้วยว่า ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริต ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใด เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น

1. ประเด็นมาตรการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต : พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามต่อสู้ว่า ข้อกล่าวหาของ คตส.ว่า การออกพระราชกำหนดไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นการลดทอนและแทรกแซงอำนาจของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และยังกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ "เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง"

อ้างว่าเนื่องจากในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการลดทอนหรือแทรกแซงอำนาจของ กทช. และไม่ได้กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่

2. ประเด็นลดส่วนแบ่งรายได้ มือถือแบบบัตรเติมเงิน : พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าไม่ได้เป็นการลดส่วนแบ่งรายได้ แต่เป็นการกำหนดอัตราส่วนแบ่งรายได้ของบริการรูปแบบใหม่ ที่ไม่มีการกำหนดมาก่อน โดยรายได้ส่วนแบ่งรายได้หลักตามสัญญาไม่ได้มีการปรับลด ขณะเดียวกัน การกำหนดส่วนแบ่งรายได้แบบบัตรเติมเงินของ AIS เป็นการกำหนดขึ้นใหม่ หลังจากที่ ทศท. มีมติอนุมัติให้กำหนดค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge) ของบริษัทแทค ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรม และสะท้อนต้นทุน AIS จึงต้องตกลงส่วนแบ่งรายได้กันใหม่

3. ปรับลดอัตราค่าใช้ Roaming : เนื่องจากคลื่นความถี่ของ AIS ที่ได้รับจาก ทศท. มีจำกัดเพียง 7.5 เมกะเฮิรตซ์เท่านั้น เมื่อเทียบรายอื่น ที่มีถึง 75 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการให้บริการ ในบางพื้นที่ บางเวลาที่มีผู้ใช้หนาแน่น เมื่อผู้ใช้บริการไม่ได้ ก็ทำให้รายได้ที่จะนำส่ง ทศท. ก็ไม่มีไปด้วย ดังนั้น การนำเทคโนโลยี Roaming มาใช้ จึงเป็นวิธีการในการแก้ปัญหา ส่วนการอนุญาตให้นำค่าใช้ Roaming มาหักก่อนนำส่งรายได้ ไม่ขัดสัญญาหลัก ส่วนการอนุมัติให้ กสท ให้บริษัทดีพีซี ลดค่าใช้เครือข่าย Roaming ไม่ได้เกี่ยวกับการขายหุ้นให้เทมาเส็ก เนื่องจาก กสท ได้อนุมัติลดค่า Roaming ครั้งแรกเมื่อ 28 มิถุนายน 2549

4. อนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR : พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า เป็นการอนุมัติตามกรอบสัญญาเดิม ในโครงการดาวเทียมไทยคม 4 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรอง ไทยคม 3 แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าดาวเทียมไทยคม 1,2,3 ก็ตาม ส่วนการขอส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ เป็นการดำเนินการตามปกติของบริษัทชินแซทมาตลอด และการส่งดาวเทียมไทยคม 4 ทำให้รัฐได้ประโยชน์ เนื่องจากมีคุณสมบัติดีกว่ามีราคาแพงกว่าถึง 4 เท่า เป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะตกเป็นของรัฐทันที ที่ส่งขึ้นวงโคจรผู้ใช้บริการ

5. ประเด็นการอนุมัติเงินกู้ให้แก่รัฐบาลสหภาพพม่า : พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงว่าเป็นข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ตามกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำอิรวดี เจ้าพระยาและแม่น้ำโขง (ACMES) และปฏิญญาพุกาม และหากไม่อยู่ในกรอบก็สามารถปล่อยกู้ได้ ส่วนประเด็นเอื้อประโยชน์บริษัทชินแซทนั้น "ไม่เป็นความจริง เพราะการที่ ครม.อนุมัติให้มีการกู้เงินในครั้งนี้ เป็นการให้กู้แบบ "credit line" คือไม่มีการเจาะจงว่ารัฐบาลสหภาพพม่า จะต้องนำเงินไปซื้อสินค้าและบริการประเภทใด"

นอกจากจะต่อสู้ในเชิงคดีแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการไต่สวนของ คตส. และอนุกรรมการไต่สวน ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมาย รวบรัดชี้มูลความผิดก่อนที่กระบวนการพิสูจน์ทรัพย์จะเสร็จสิ้น และอัยการสูงสุดไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง รวมทั้งประเด็นที่ "กล้านรงค์ จันทิก-แก้วสรร อติโพธิ และบรรเจิด สิงคะเนติ" เป็นบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 22/101530/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Wed Feb 24, 2010 9:32 am

** เข้าสู่ภาค 3 ของไตรภาคคดียึดทรัพย์กันต่อค่ะ ... :D

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ ทักษิณ ภาค 3 องค์ประกอบกฎหมาย (14)
: "Treason" : แนวคิด "คตส.-อัยการ" ลงโทษนักการเมืองทรยศ


Image

"ทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ" ของ "แก้วสรร อติโพธิ"
อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)


ที่นำมาใช้อธิบายข้อกฎหมายในเชิงเปรียบเทียบในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ชาวบ้านระดับรากหญ้าเข้าใจง่าย กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่สำคัญ ยังเป็นประเด็นที่คนในตระกูลชินวัตรใช้เป็นข้อต่อสู้อีกด้วย

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในแนวคิดของที่มาแห่งคดี จึงน่าจะลองย้อนกลับไปพิจารณาคำอธิบายของ คตส.และมุมมองของอัยการสูงสุดเกี่ยวกับประเด็นนี้

เริ่มจากชี้แจงของ คตส.ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ มีมติให้ส่งสำนวนการไต่สวนคดียึดทรัพย์ให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อธิบายเหตุผลของข้อกฎหมายและนิยามของคำว่า "ร่ำรวยผิดปกติ" ไว้น่าสนใจ ดังนี้

ความร่ำรวยผิดปกติในคดีนี้นั้น มิใช่กรณีมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่เป็นการ "ได้มาซึ่งทรัพย์สินมาโดยมิสมควรสืบเนื่องจากการตำแหน่งหน้าที่" โดยในคดีนี้มีฐานกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100

ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท อัยการ เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจรัฐออกมาตรการเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจสัมปทาน ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นโดยมิสมควรนี้นี่เอง ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแฝงฝังอยู่ในหุ้นชินคอร์ป 49% ของครอบครัวชินวัตร หุ้นนี้จึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์โดยมิชอบดังกล่าว และศาลย่อมมีอำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช.ที่จะพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินได้

การใช้กฎหมายในลักษณะที่เข้มงวด เคร่งครัดเช่นนี้จะขัดต่อสิทธิพื้นฐานในรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ก็มีข้อพึงระลึกว่า คดียึดทรัพย์ในครั้งนี้ก็เป็นการใช้สิทธิของสาธารณะตามรัฐธรรมนูญเช่นกัน สิทธิของสาธารณะในที่นี้ คือ สิทธิของประชาชนที่อยู่ใต้ระบบผู้แทน ที่จะต้องไม่ถูกทรยศ (Treason) โดยผู้ปกครอง

เริ่มแต่เมื่อเข้ารับตำแหน่งนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน ก็ต้องปฏิญาณตนตามรัฐธรรมนูญต่อหน้าพระพักตร์องค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย ว่า จะปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมมิใช่ประโยชน์ส่วนตน

จากนั้นกฎหมายก็วิตกต่อไปว่าการถือประโยชน์ทับซ้อน อาทิเช่น เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วเป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานด้วยนั้น จะจูงใจให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบได้ จึงได้วางบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ห้ามนายกรัฐมนตรีถือหุ้นสัมปทานอีกชั้นหนึ่ง นายกฯ ใด รู้แล้วยังจงใจฝ่าฝืนซุกหุ้นไว้ ก็จะถูกถอดถอน และต้องโทษจำคุก หรือหากมีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตนด้วย ก็ต้องรับผิดชอบต้องถูกยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิสมควรนั้นอีกชั้นหนึ่งด้วย

หลักการและมาตรการตามรัฐธรรมนูญที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนยืนยันให้เห็นได้ว่านักการเมืองนั้นต้องมีศีล มีจริยธรรม ต้องทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม จากนั้นกฎหมายจึงสร้างแนวปฏิบัติอันควร เป็นเสมือนวินัย มาอุ้มชูจริยธรรมนั้นอีกชั้นหนึ่ง เมื่อนักการเมืองใดจงใจฝ่าฝืนวินัยนี้แล้ว ก็ต้องถือเป็นความผิด

ไม่ต่างจากพระภิกษุที่ฝ่าฝืนพระวินัย ซุกซ่อนสีกาไว้ในกุฏิ กลางดึกเลย เพราะเพียงเท่านี้ก็เป็นผิดต้องปาราชิกแล้ว ไม่จำต้องพิสูจน์ว่าล่วงศีลผิดกาเมแต่อย่างใด

การกำหนด "ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง" กับความร่ำรวยผิดปกติ และการอายัดทรัพย์ คตส.ลงความเห็นว่า "หุ้นชินคอร์ป" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยา คือ ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบนี้ หุ้นนี้ถือเป็นทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้เจตนาซุกซ่อนมาตั้งแต่แรกรับตำแหน่ง แม้จะแปรรูปไปเช่นใด คตส.ย่อมตรวจสอบติดตามได้เช่นเดียวกับคดีฟอกเงิน และเมื่อเริ่มมีการยักย้ายถ่ายเท คตส.ก็ย่อมมีอำนาจอายัดไว้ก่อนได้ แล้วเร่งไต่สวนนำคดีขึ้นสู่ศาลในที่สุด

อำนาจอายัดและยึดทรัพย์ข้างต้นนี้ อยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับกฎหมาย ป.ป.ช.ทุกประการ เริ่มจากมูลคดีว่าจะต้องพบมูลความผิด หรือความร่ำรวยผิดปกติเสียก่อนจากนั้นอำนาจอายัดหรือยึดทรัพย์จะจำกัดแต่เฉพาะทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง คือ หุ้นชินเท่านั้น มิใช่บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ที่ดิน หรือหลักทรัพย์อื่น

ส่วนการอายัดก็จะทำเท่าที่จำเป็นเมื่อมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์เท่านั้น เมื่ออายัดแล้วก็เร่งไต่สวนทำคดีโดยเร็ว พร้อมกับเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกที่สุจริตมาร้องขอถอนอายัดได้ไปพร้อมกันด้วย เมื่อไต่สวนเสร็จเห็นว่ามีมูล ก็นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลในที่สุด

ส่วนข้ออธิบายของอัยการสูงสุดเกี่ยวกับประเด็นนี้ คือ การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการละเมิดต่อความไว้วางใจของปวงชน (Treason) ในรัฐธรรมนูญกรอบของความไว้วางใจที่ได้ไปมีมากกว่าคำปฏิญาณตนในรัฐธรรมนูญ และมากกว่าหน้าที่ตามกฎหมายอาญา ว่า จะไม่ทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จึงได้วางกรอบใหม่สำหรับนักการเมืองไว้ ดังนี้

- ต้องอยู่ห่างไกลจากอามิสสินจ้าง รับของกำนัลเกิน 3,000 บาทก็ไม่ได้

- ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นต้องอธิบายที่มาที่ไปได้ทุกชิ้นไม่เช่นนั้นถูกยึด

- ได้ทรัพย์สินมาโดยมิสมควรสืบเนื่องจากหน้าที่ก็ต้องถูกยึดเช่นกัน

- ก่อนเข้ารับตำแหน่งต้องไม่ถือหุ้นสัมปทานใดๆ

- หุ้นอื่นๆ ถ้ามี เกิน 5% ก็ต้องแขวนไว้ในบริษัทจัดการหุ้นโดยห้ามยุ่งเกี่ยว

- ในระหว่างดำรงตำแหน่งจะรับสัญญาจากหน่วยงานของรัฐที่ตนดูแลไม่ได้

- พ้นตำแหน่งไปแล้วก็ห้ามไปทำงานเอกชนที่ตนเคยกำกับดูแลฯ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกติกาก็เป็นความคาดหวังของความไว้วางใจที่กำหนดไว้ในระบบรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งสิ้น ใครละเมิดก็เป็นผิดอาญาหรือพ้นจากตำแหน่ง ฐานละเมิดหรือทรยศต่อความไว้วางใจปวงชน (Treason) โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่ามีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาเกิดขึ้นแต่อย่างใดเลย

ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นชินคอร์ปของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส ได้แปลงเป็นเงินได้จากการขายหุ้นกว่า 7.3 หมื่นล้านบาท แล้วอนุกรรมการได้ร่วมกันศึกษาว่าจะนำบทบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์ ในระบบรัฐธรรมนูญใหม่มาใช้ได้หรือไม่เพียงใด ก็ได้ข้อยุติดังนี้

1. เดิมทีก่อนร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น คำว่า "ร่ำรวยผิดปกติ" กินความครอบคลุมแต่เฉพาะ "การมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหลังดำรงตำแหน่ง แล้วไม่อาจอธิบายที่มาให้เป็นที่พอใจได้" เท่านั้น

ครั้นต่อมาเมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และร่างกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ใหม่ ในฐานะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ได้เพิ่มลักษณะความ "ร่ำรวยผิดปกติ" ให้กินความถึงพฤติการณ์ "ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมิสมควรสืบเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่" (มาตรา 4) ด้วย

2. ปัญหาว่าพฤติการณ์อย่างใดจึงจะถือเป็นการ "ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมิสมควรสืบเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่" นั้น แม้จะเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้กฎหมายไว้ก็ตาม แต่เฉพาะในกรณีของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้มีฐานทางกฎหมาย ตามมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 รองรับอยู่แล้วว่าเข้าลักษณะเป็นการได้มาโดยมิสมควรสืบเนื่องมาจากตำแหน่งหน้าที่ กล่าวคือ

มาตรา 100 (3) ระบุห้ามมิให้นายกรัฐมนตรีถือหุ้นสัมปทาน ก็เพราะป้องกันว่าจะเกิดการใช้อำนาจหน้าที่ไปเอื้อประโยชน์ธุรกิจดังกล่าว แม้ธุรกิจดังกล่าวจะมีผู้อื่นถือหุ้นอยู่ด้วยเท่าใดก็ตาม ถือว่าเป็นประโยชน์ที่นายกรัฐมนตรีไม่สมควรได้ เช่นเดียวกับมาตรา 100 (2) ระบุห้ามนายกฯ เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานที่ตนมีอำนาจบังคับบัญชาหรือกำกับดูแล ก็เพราะเห็นว่านายกฯ จะสั่งการหน่วยงานเหล่านั้นให้เอื้อประโยชน์แก่ตน


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 23/101767/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Wed Feb 24, 2010 9:38 am

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ ภาค 3 (15)
: ระบบ "ไต่สวน" กับคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน


Image

ประเทศไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบของนักการเมือง
และข้าราชการระดับสูง เพิ่มมากขึ้น


แต่กระบวนการยุติธรรมในการดำเนินคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทุจริตและประพฤติมิชอบแต่เดิมนั้นล่าช้า และไม่มีประสิทธิภาพ

รัฐธรรมนูญ ปี 2540 จึงกำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริง ในกรณีที่มีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่น รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่ได้เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ หรือร่ำรวยผิดปกติ เพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา หรือร้องขอให้ทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน แล้วแต่กรณี

เพื่อให้การดำเนินคดีต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในชั้นศาลเป็นไปด้วยความ "รวดเร็ว" และ "เที่ยงธรรม" รัฐธรรมนูญ ปี 2540 จึงกำหนดให้มี แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขึ้นในศาลฎีกา เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวโดยผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 คน ที่ได้รับเลือกด้วยวิธีลงคะแนนลับจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นรายคดีเป็นองค์คณะผู้พิพากษา

การพิจารณาคดีดังกล่าว องค์คณะผู้พิพากษาใช้ระบบ "ไต่สวน" (Inquisitorial System) แทน "ระบบกล่าวหา" (Accusatiorial System) โดยต้องยึดสำนวนของ ป.ป.ช. เป็นหลัก และอาจ "ไต่สวนหาข้อเท็จจริง" และ "พยานหลักฐาน" เพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร ศาลต้องทำหน้าที่ถามพยานเองเป็นหลัก แล้วจึงจะให้โจทก์จำเลยถามเพิ่มเติมต่อไป

ลักษณะคดีที่จะยื่นฟ้องคือ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ ส่วนที่ 1 เกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สิน ส่วนที่ 2 การกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่วนที่ 3 การถอดถอนออกจากตำแหน่ง และส่วนที่ 4 การดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและการดำเนินคดีกรรมการ ป.ป.ช. กรณีร่ำรวยผิดปกติกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือละเว้นการกระทำผิดต่อหน้าที่ราชการ

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินคดีสำคัญๆ มาแล้วหลายคดี เช่น คดีทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในกระทรวงสาธารณสุข หรือ "คดีทุจริตยา" คดีกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ป.ป.ช. ออกระเบียบขึ้นเงินเดือนตนเอง คดีที่ทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดา คดีที่จัดซื้อที่ดินบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อความเข้าใจในระบบวิธีพิจารณาคดีระหว่าง ระบบกล่าวหา และ ระบบไต่สวน "กรุงเทพธุรกิจ" ขอเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระบบวิธีพิจารณา ทั้ง 2 ประเภท ดังนี้

ระบบกล่าวหา มีที่มาจากประเทศอังกฤษ และกลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายระบบคอมมอนลอว์ (Common Law) เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ แคนาดา รวมทั้งกลุ่มประเทศอาณานิคมของอังกฤษ

หลักการของ ระบบกล่าวหา มีวิวัฒนาการจากการแก้แค้นกันระหว่างผู้กระทำผิดกับผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดด้วยตนเอง แล้วรวบรวมพยานหลักฐานมานำสืบความผิดของจำเลยในศาล

ส่วน ศาล หรือ ผู้พิพากษา จะวางตัวเป็นกลางโดยเคร่งครัด เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีแนวความคิดมาจากการพิจารณาคดีในสมัยโบราณ ซึ่งใช้วิธีทรมาน (trial by ordeal) และทำให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้คดีกันเอง (trial by battle) ส่วนศาลจะทำหน้าที่เป็นคนกลางหรือกรรมการ

ต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นการเอาพยานมาพิสูจน์ความผิดของจำเลย โดยฝ่ายโจทก์จะเอาพยานที่เป็นพรรคพวกของตนมาเบิกความกล่าวหาจำเลย ส่วนจำเลยก็เอาพวกของตนมาเบิกความรับรองความบริสุทธิ์ของตนให้ศาลฟังแล้วตัดสินคดีไปตามน้ำหนักพยาน จากการที่ใช้วิธีการต่อสู้คดีกันนั้นเอง ระบบกล่าวหา จึงให้ความสำคัญอย่างสูงต่อหลักเกณฑ์ต่อไปนี้คือ

1. หลักการสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริง

2. ถือหลักสำคัญว่าโจทก์ และจำเลยมีฐานะในศาลเท่าเทียมกัน

3. ศาลจะวางตนเป็นกลางโดยเคร่งครัด ทำหน้าที่เหมือนกรรมการตัดสินกีฬาคอยควบคุมให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายลักษณะพยานโดยเคร่งครัดการปฏิบัติผิดหลักเกณฑ์อาจถูกศาลพิพากษายกฟ้องได้

4. ศาลจะมีบทบาทค้นหาความจริงน้อยมาก เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของคู่กรณีหรือ คู่ความจะต้องแสวงหาพยานมาแสดงต่อศาลด้วยตนเอง

ส่วน "ระบบไต่สวน" ซึ่งใช้กระบวนวิธีพิจารณาคดี ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ด้วยในทางทฤษฎียอมรับกันว่าระบบไต่สวน มีที่มาจากศาลทางศาสนา ของคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก ในสมัยกลาง ซึ่งทางศาสนจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งสันตะปาปา แห่งกรุงโรม มีอิทธิพลเหนือฝ่ายอาณาจักรคือ กษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนครต่างๆ ในสมัยกลาง ศาลศาสนาของยุโรป มีวิธีการพิจารณาคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับกฎหมายของทางศาสนาด้วยวิธีการซักฟอกพยาน ในรูปของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง คือ พระผู้ทำการไต่สวนกับผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ถูกไต่สวน โดยไม่ต้องมีผู้พิพากษาเป็นคนกลาง

ดังนั้น ศาลศาสนา ผู้ไต่สวนจึงต้องทำหน้าที่แสวงหาพยานหลักฐาน ซักถามพยานและชำระความโดยไต่สวนคดีด้วยตนเองตลอด และด้วยที่ศาสนจักรมีอิทธิพลเหนือฝ่ายอาณาจักร ระบบศาลของฝ่ายอาณาจักร จึงได้รับอิทธิพลและได้วิวัฒนาการมาเป็นระบบไต่สวนในปัจจุบัน

ตามระบบ "ไต่สวน" ศาลไม่ได้ทำหน้าที่วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดเหมือนระบบกล่าวหา แต่จะทำหน้าที่ "ค้นหาความจริงด้วยตนเอง"

ศาล จะมีบทบาทในการดำเนินคดีอย่างสูง ผิดกับใน "ระบบกล่าวหา" ที่ศาลมีบทบาทน้อยมากเพราะต้องวางตัวเป็นกลาง โดยที่ระบบไต่สวนเน้นในเรื่องการ "ค้นหาความจริงเป็นหลัก"

ดังนั้น กฎเกณฑ์ในการดำเนินคดี เช่น การสืบพยาน การดำเนินการต่างๆ ในศาลจึงยืดหยุ่นกว่าระบบกล่าวหา

ประเทศไทย ได้มีการใช้ระบบกล่าวหาสำหรับคดีแพ่ง และคดีอาญา เว้นแต่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และใช้ระบบไต่สวนในคดีที่ใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชนในศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เดิมทีเดียวการดำเนินคดีอาญา เป็นการดำเนินคดีใน "ระบบไต่สวน" ซึ่งศาล เป็นผู้มีอำนาจสอบสวนฟ้องร้องและพิจารณา พิพากษาแต่เพียงผู้เดียว ผู้ถูกกล่าวหา ในระบบไต่สวน มีฐานะ เป็นเพียง "กรรม" ในคดีหรือเป็นเพียงวัตถุแห่งการซักฟอก ของผู้ไต่สวนเท่านั้น

ต่อมาการพิจารณาเปลี่ยนแปลงเป็นการดำเนินคดีอาญาใน "ระบบกล่าวหา" โดยมีการแยกอำนาจ สอบสวนฟ้องร้องของศาลในระบบไต่สวนออกไปให้องค์กร เจ้าพนักงานเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ คือ องค์กรอัยการ ส่วนศาล คงมีเพียงอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีเท่านั้น

นอกจากนี้ยังได้มีการให้สิทธิต่างๆ แก่ "ผู้ถูกกล่าวหา" ในการต่อสู้คดี สิทธิต่างๆ ที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับนั้นมีขึ้นเพื่อรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ผู้ถูกกล่าวหาให้มีฐานะเป็น "ประธาน" ในคดี

สิทธิที่สำคัญอันหนึ่งของ "ผู้ถูกกล่าวหา" ก็คือ สิทธิที่ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องไม่ได้รับความเดือดร้อนสองครั้งในเรื่องเดียวกันหรือหลักการห้ามดำเนินคดีซ้ำ ซึ่งหมายความว่า ในการดำเนินคดีอาญา นั้น ไม่ว่าชั้นพนักงานหรือชั้นศาลจะดำเนินการใดๆ ให้เป็นการกระทบกระเทือนหรือก่อความเดือดร้อนต่อผู้ถูกกล่าวหามากกว่าหนึ่งครั้งไม่ได้

นายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในศาลฎีกากล่าวว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งมีการพัฒนามาตามลำดับ ตัดสินคดีประวัติศาสตร์ไปหลายคดี การจัดองค์คณะไม่มีการกำหนดตัวผู้พิพากษา แต่ใช้ระบบการประชุมใหญ่และผู้พิพากษาเลือกกันเองโดยพิจารณาลับ

ขณะที่ นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุว่า หากศาลไม่เป็นหลัก สังคมจะอยู่ไม่ได้ สังคมต้องปล่อยให้ศาลมีโอกาสทำงาน ศาลไม่ใช่คู่กรณีของคู่ความ

อย่างไรก็ตาม จากคดีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ทั้งหมด หลังจากก่อตั้งศาลหลายสำนวนมีจำเลยจำนวนมากถูกยื่นฟ้อง อยากให้สังเกตดูว่าศาลไม่ได้มีคำพิพากษาตามที่อัยการ หรือ ป.ป.ช. หรือ คตส. ร้องเข้ามาทั้งหมด แต่จะพิพากษาลงโทษ เฉพาะจำเลยที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

"อยากเตือนสติประชาชนว่าศาลไม่ใช่คู่กรณี การทำหน้าที่ของศาลไม่ได้ขึ้นอยู่ในวิสัยที่เป็นอคติที่ให้ผลคดีเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง และที่ผ่านมาในการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสิน เช่น คดีจัดซื้อต้นกล้ายางพารา มีทั้งนักวิชาการ ผู้มีความรู้ทางกฎหมาย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ซึ่งตามมารยาทแล้วห้ามไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ข้อเท็จจริงโดยเด็ดขาดแต่สามารถวิจารณ์ข้อกฎหมายได้ เพราะถือว่าผู้วิจารณ์ ไม่ได้เห็นข้อเท็จจริง ไม่ได้เห็นสำนวน และไม่ใช่องค์คณะผู้พิพากษา ศาลคือองค์กรตัดสินคดี ถ้าศาลไม่มีหลักน่าเชื่อถือ แล้วสังคมจะอยู่อย่างไร"


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 24/101982/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby weshare » Wed Feb 24, 2010 2:04 pm

อ่านยังไม่จบค่ะ
ขอดันก่อน :D
"ความเท็จแม้นเร้นได้ในปัจจุบัน
แต่ก็เหมือนซ่อนสุริยันไว้หล้งเมฆ"
User avatar
weshare
 
Posts: 1539
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:57 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby จีรนุช » Wed Feb 24, 2010 2:10 pm

เห็นด้วย
User avatar
จีรนุช
 
Posts: 5689
Joined: Sun Nov 30, 2008 7:34 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby Babiros » Wed Feb 24, 2010 4:37 pm

ยอ-อึ-ดอ = ยึด
Attachments
shin.jpg
(28.2 KiB) Downloaded 843 times
โกง กัน จน ชิน
กิน เป็น กิจ วัตร

คอมมิวนิสต์มันก็คือระบอบเผด็จการรูปแบบหนึ่ง ที่อ้างชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น ท่านจะมีสิทธิ์มีเสียงเหมือนประชาธิปไตยนั้นอย่าได้ถาม--- ชาวอุยกูที่จีน ชาวเกาหลีเหนือ---ฉะนั้น ไอ้กลุ่มแดงสยามกรุณาไป ประเทศที่เป็นคอมมูนไป
User avatar
Babiros
 
Posts: 71
Joined: Wed Jan 27, 2010 8:17 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Thu Feb 25, 2010 8:02 am

** เช้านี้ ... จขกท. ยังไม่มีบทความมาแปะเพิ่ม
แต่คาดว่าหลังจากนี้เมื่อคำตัดสินของศาลออกมา ...
จขกท. คงมีโอกาสได้เอาข่าวที่สรุปผลการตัดสินว่าเพราะอะไรศาลท่านจึงตัดสินว่า

" ยึดทรัพย์ทั้งหมด " มาลง ... ( ถ้าคำตัดสินออกมาตามที่คาดเดาเอาไว้ ) ;) ;) ;)
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Fri Feb 26, 2010 12:16 pm

ไตรภาคคดียึดทรัพย์ทักษิณ ภาค 3 ผลแห่งการพิพากษา (16)
: เปิดขั้นตอนวันพิพากษา คดียึดทรัพย์ "ทักษิณ"


Image

ถึงนาทีนี้สังคมต่างเฝ้ารอฟังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว
หลังจากผ่านกระบวนการไต่สวนพยานและปิดคดีถึงขั้นตอนสุดท้าย


เป็นการลุ้นระทึกไม่ใช่เฉพาะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวในฐานะผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่ผู้คนในสังคมไทยก็ต้องลุ้นระทึกไปพร้อมกันด้วย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีมวลชนคนเสื้อแดงสนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งสัญญาณไม่ยอมรับคำพิพากษา (หากศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์) ทั้งยังเตรียมนัดชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาล และ/หรือก่อความวุ่นวายเพื่อโค่นคณะผู้ครองอำนาจรัฐชุดปัจจุบันให้จงได้

ประเด็นที่สังคมสนใจใคร่รู้ ณ นาทีนี้ นอกจากคำพิพากษา "ยึด-ไม่ยึด" แล้ว คือ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งว่ากันว่า จะเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่ง ที่อาจพลิกโฉมหน้าการเมืองไทยนั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

นาทีลงมติก่อนพิพากษา

ในส่วนของขั้นตอนก่อนอ่านคำพิพากษา เช้าวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 08.00 น. องค์คณะผู้พิพากษาในคดีจำนวน 9 คน จะมาประชุมพร้อมกันที่ห้องประชุมบนอาคารศาลฎีกา โดยมีผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนนั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน

จากนั้นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน จะให้องค์คณะแต่ละคนอภิปรายแต่ละประเด็นในคดี ซึ่งโดยปกติจะกำหนดประเด็นร่วมกันไว้ก่อนแล้วเพื่อป้องกันความสับสน ทั้งนี้ การอภิปรายจะเรียงลำดับอาวุโสของผู้พิพากษา และเจ้าของสำนวนจะอภิปรายเป็นคนสุดท้าย โดยจะอภิปรายเรียงประเด็นทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เมื่ออภิปรายจบในแต่ละประเด็น ก็จะลงมติแยกเป็นประเด็น พร้อมจดบันทึกเอาไว้

ตลอดการประชุม ผู้พิพากษาทุกคนจะต้องปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เพื่อป้องกันคำพิพากษารั่ว

ประเด็นพิจารณาและลงมติที่องค์คณะผู้พิพากษากำหนด จะมีไม่น้อยกว่า 5 ประเด็นตามข้อกล่าวหาของอัยการ ทั้งยังมีประเด็นที่ต้องใช้ดุลยพินิจ อาทิเช่น หากฟังข้อเท็จจริงว่าผิด จะยึดทรัพย์จำนวนเท่าไร เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเด็นจะต้องมีการลงมติกัน

เมื่ออภิปรายและลงมติครบทุกประเด็นแล้ว จะมีการพิจารณาสำนวนคดีในภาพรวม ก่อนร่วมกันจัดทำคำพิพากษากลาง โดยแนวปฏิบัติที่ผ่านมา จะนำคำวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาฝ่ายเสียงข้างมากมาเป็นหลัก หรือหากเจ้าของสำนวนเป็นเสียงข้างมาก และองค์คณะเห็นชอบ ก็อาจใช้คำวินิจฉัยส่วนตนของเจ้าขององค์คณะเป็นคำพิพากษากลาง เพื่ออ่านคำพิพากษาก็ได้

คดียังไม่ถึงที่สุด

หลังอ่านคำพิพากษา แม้จะเป็นคำพิพากษาของศาลฎีกา แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุดทันที เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 278 วรรค 3 และ 4 ระบุเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ว่า "ในกรณีผู้ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ อาจยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาได้"

ฉะนั้นหากผู้ต้องคำพิพากษาตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน (กรณีศาลพิพากษาให้ยึดทรัพย์) ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องเรียกประชุม เพื่อตั้งองค์คณะที่ไม่ใช่องค์คณะเดิมไปพิจารณา ว่า อุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษามีข้อเท็จจริงใหม่หรือไม่

ประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจ ก็คือ การยื่นอุทธรณ์จะกระทำได้เฉพาะประเด็นข้อเท็จจริง ไม่สามารถอุทธรณ์ประเด็นข้อกฎหมายได้ และที่ผ่านมา มีผู้ต้องคำพิพากษาเคยยื่นอุทธรณ์เพียงคดีเดียว คือ คดีคลองด่านของ นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เพราะไม่เป็นข้อเท็จจริงใหม่

แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกา ให้ความเห็นว่า จริงๆ แล้ว การพิจารณาคดีในระบบไต่สวนจะไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ เพราะผู้พิพากษามีอำนาจเสาะหาพยานหลักฐานได้เอง จากการไต่สวน และที่สำคัญ ข้อเท็จจริงเก่าที่ไม่ได้นำมาสืบพยาน ย่อมไม่ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่

ผลแห่งคดีหลังชี้ขาด "ยึด-ไม่ยึด"

ยังมีประเด็นที่น่าพิจารณาอีก ว่า เมื่อคดียึดทรัพย์ถึงที่สุดแล้ว (หมายถึง พ้นกำหนด 30 วันที่ให้อุทธรณ์หลังมีคำพิพากษา หรือพิจารณาอุทธรณ์เรียบร้อยแล้ว) ขั้นตอนการดำเนินการจะเป็นอย่างไรต่อไป

นายปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายเงินคงคลังและการงบประมาณ อธิบายว่า กรณีที่ศาลมีคำพิพากษา (ถึงที่สุด) ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน บรรดาทรัพย์ทั้งหมดที่ศาลสั่งจะกลายสถานะเป็นเงินแผ่นดินทันที กล่าวคือ เป็นเงินรายได้แผ่นดินที่ไม่ใช่ภาษี และยังไม่ใช่เงินคงคลัง ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักกฎหมายการคลังมหาชน

หลังจากนั้น จะมีกระบวนการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา โดยกระทรวงการคลังจะเข้ามามีบทบาท กล่าวคือ มีหน้าที่โอนเงินที่อยู่ในสถาบันการเงินต่างๆ เข้ามาอยู่ในบัญชีเงินคงคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังเปิดบัญชีเอาไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรียกว่าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 เมื่อโอนเข้ามาแล้ว เงินนั้นจะกลายเป็นเงินคงคลังตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491

อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่กระทรวงการคลังยังไม่ได้ดำเนินการโอนเงินเข้าไปอยู่ในบัญชีเงินคงคลัง เงินดังกล่าวก็ยังถือเป็นเงินแผ่นดิน เพียงแต่เป็นเงินแผ่นดินที่ยังไม่ใช่เงินคงคลังเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้น่าศึกษาว่ากระทรวงการคลังจะปฏิบัติอย่างไร เพราะเป็นกรณีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แม้จะเคยมีคดียึดทรัพย์ในอดีตเกิดขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม

นายปรีชา กล่าวอีกว่า หากเงินที่ฝากอยู่ในสถาบันการเงินต่างๆ น้อยกว่ายอดที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ก็ต้องบังคับเอาทรัพย์สินอย่างอื่น จากผู้ถูกกล่าวหามีอายุความ 10 ปี

อีกกรณีหนึ่ง คือ หากศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง หมายถึง ไม่ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวนั้น นายปรีชา บอกว่า ทุกอย่างก็กลับไปสู่สถานะเดิม คือ ต้องถอนอายัด และทรัพย์สินทั้งหมดหรือบางส่วน (แล้วแต่คำพิพากษาของศาล) ก็ต้องกลับไปสู่เจ้าของเดิม

ไขปมที่สังคมยังกังขา

ยังมีประเด็นที่สังคมยังสับสนจากข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏมาก่อนหน้านี้ และเป็นประเด็นที่คลาดเคลื่อนพอสมควร ได้แก่

1. คดีนี้เป็นคดีอะไรกันแน่ ยึดทรัพย์ก้อนไหน ยึดทั้งเงินสดและทรัพย์สินของครอบครัวชินวัตรทั้งหมด อาทิเช่น บ้านจันทร์ส่องหล้า ก็ยึดด้วยหรือไม่

จริงๆ แล้ว คดีนี้เป็นคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เงินที่มาจากการซื้อขายหุ้น บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ มูลค่า 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลจากหุ้นดังกล่าวจำนวน 6,898,722,129 รวมจำนวน 76,621,603,061.05 บาท (7.6 หมื่นล้านบาทเศษ) พร้อมดอกผล ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว รวมถึงบุคคลใกล้ชิดที่มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรวม 22 ราย ตกเป็นของแผ่นดิน

ฉะนั้นจึงเป็นการยึดเฉพาะเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น ให้กับกลุ่มเทมาเส็กเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอื่น

2. ข้อกล่าวหาคืออะไร เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยมาก่อนเข้าสู่การเมือง จะร่ำรวยผิดปกติได้อย่างไร

คำฟ้องของอัยการ ซึ่งศาลมีคำสั่งรับฟ้องเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2551 อัยการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติ โดยอ้างเหตุผลและพฤติการณ์ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการใช้อำนาจสั่งการและมอบนโยบายเจ้าหน้าที่ของรัฐให้กระทำการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น รวม 5 นโยบาย ได้แก่

- แปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (พ.ศ. 2527) พ.ศ. 2546

- แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเซลลูลาร์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่บริษัท เอไอเอส อินโฟร์ เซอร์วิส ต้องจ่ายให้บริษัท ทศท. จำกัด (มหาชน) หรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (เดิม) กรณีให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน หรือระบบพรีเพด เหลือร้อยละ 20 จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30

- แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเซลลูลาร์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม หรือโรมมิ่ง โดยให้บริษัทเอไอเอสสามารถใช้เครือข่ายร่วมกับผู้ให้บริการรายอื่น มีผลทำให้บริษัทเอไอเอสไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท (1.8 หมื่นล้านบาทเศษ) ให้กับบริษัท ทศท. และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย (เดิม)

- อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการยิงดาวเทียมไอพี สตาร์ ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ทำให้กลุ่มบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น และบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด ได้ประโยชน์

- อนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) จำนวน 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคม จากบริษัทในกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น

3. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองมาจากไหน เป็นผลพวงจากการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อปี 2549 หรือไม่

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2542 อันเป็นการตรากฎหมายตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 272 วรรค 2 และ 3

องค์คณะผู้พิพากษามีจำนวน 9 คน ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้คัดเลือกเป็นรายคดีจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาในศาลฎีกา

4. ศาลแห่งนี้เคยตัดสินคดีอะไรมาแล้วบ้าง

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ใช่ศาลเฉพาะกิจ แต่มีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล และพิจารณาคดีในขอบเขตอำนาจศาลมาร่วม 10 ปีแล้ว โดยสถิติคดีตั้งแต่ปี 2544 จนถึง 31 ธันวาคม 2552 แยกตามประเภทคดี มีดังนี้

1. คดีอาญา (ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ) ยื่นฟ้อง 12 คดี พิพากษาแล้ว 10 คดี จำหน่ายคดีชั่วคราว 2 คดี

2. คดีแพ่ง (ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน) ยื่นฟ้อง 2 คดี พิพากษาแล้ว 1 คดี (คดียึดทรัพย์ นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข) คงเหลือ 1 คดี (คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ)

3. การดำเนินคดีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง 3 คดี พิพากษาแล้ว 2 คดี คงเหลือ 1 คดี

4. คำร้องขอให้วินิจฉัยตรวจสอบทรัพย์สิน แยกเป็น

- จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ยื่นฟ้อง 9 คดี พิพากษาแล้ว 8 คดี จำหน่ายคดีชั่วคราว 1 คดี ไม่มีคดีค้าง

- จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ยื่นฟ้อง 4 คดี พิพากษาแล้ว 3 คดี คงเหลือ 1 คดี

5. คำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อขอให้ตั้งผู้ไต่สวนอิสระ ยื่นคำร้อง 6 เรื่อง พิพากษาแล้ว 6 เรื่อง ไม่มีเรื่องค้าง

6. อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ยื่นอุทธรณ์ 1 เรื่อง พิพากษาแล้ว (ไม่รับอุทธรณ์)


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 25/102193/
Last edited by see-u on Mon Mar 01, 2010 10:51 am, edited 1 time in total.
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Fri Feb 26, 2010 9:03 pm

ลุ้นระทึกคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน

ประวัติและผลงานของผุ้พิพากษาทั้ง 9 ท่าน

1. นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา

ได้รับเลือกจากองค์คณะผู้พิพากษาให้เป็นเจ้าของสำนวนคดียึดทรัพย์ครั้งประวัติศาสตร์ โดยก่อนหน้าที่จะรับหน้าที่สำคัญ นายสมศักดิ์เคยเป็นองค์คณะพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาแล้ว 2 คดี คือเป็นองค์คณะพิจารณาคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา ตกเป็นจำเลย คดีดังกล่าวนายสมศักดิ์เป็นเสียงข้างมาก 1 ใน 5 เสียงที่พิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 และเห็นควรให้ลงโทษจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนด 2 ปี

อีกคดีหนึ่งที่ นายสมศักดิ์ นั่งเป็นองค์คณะ คือคดีที่ นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ตกเป็นจำเลยฐานทุจริตออกโฉนดที่ดินที่ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ (เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน) โดย นายสมศักดิ์ อยู่ฝ่ายเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ที่พิพากษาว่า นายวัฒนา กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ฐานใช้อำนาจในตำแหน่ง ข่มขู่ จูงใจเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการให้ออกโฉนดที่ดินให้กับพวกของตนโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย ให้จำคุก 10 ปี

นายสมศักดิ์ ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา และได้รับเลือกเป็นองค์คณะพิจารณาคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกขณะดำรงตำแหน่งดังกล่าว

นอกจากนั้น นายสมศักดิ์ ยังเคยเป็นประธานคณะกรรมการไต่สวนคำร้องของ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ สมัยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญปราบปรามการทุจริตของวุฒิสภา ที่กล่าวหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดที่มี พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ เป็นประธาน ว่ากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีออกระเบียบและกำหนดค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนให้กับตนเอง (ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง) ก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะรับคดีไว้พิจารณา และพิพากษาว่า กรรมการ .ป.ป.ช. ชุดดังกล่าวทั้ง 9 คนกระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยพิพากษาให้จำคุกกรรมการ ป.ป.ช. คนละ 2 ปี แต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี


2. นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา

เคยได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 หลังจากมีการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 โดยขณะนั้น นายธานิศ ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา

ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายธานิศร่วมพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทยด้วย และร่วมลงมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย แต่นายธานิศเป็น 1 ใน 3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการนำประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 27 มาใช้บังคับย้อนหลังเพื่อกำหนดโทษตัดสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน เป็นเวลา 5 ปี

หลังจากสิ้นสุดหน้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายธานิศได้โอนย้ายกลับมาเป็นข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา เมื่อปี 2552 ทั้งยังได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว

นายธานิศ เริ่มต้นชีวิตราชการด้วยการเป็นอัยการผู้ช่วย ก่อนสอบได้เป็นผู้พิพากษา และมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่เรื่อยมา เคยเป็นหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลภาษีอากรกลาง ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา เลขานุการศาลฎีกาในยุคที่มี นายศักดา โมกขมรรคกุล เป็นประธานศาลฎีกา เคยเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์

นายธานิศมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้พิพากษา ถือเป็นปรมาจารย์ด้านประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) เป็นผู้แต่งตำรา ป.วิอาญา และเป็นอาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นกรรมการเนติบัณฑิตยสภา


3. นายพิทักษ์ คงจันทร์ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา

ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นองค์คณะผู้พิพากษาในคดียึดทรัพย์แทน นายบุญรอด ตันประเสริฐ อดีตประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา ที่ขอถอนตัวจากองค์คณะ เนื่องจากป้องกันข้อครหาหลังมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง "คำพิพากษารั่ว" ในคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพาราที่มี นายบุญรอด เป็นเจ้าของสำนวน

นอกจากเป็นองค์คณะพิจารณาคดียึดทรัพย์ และทุจริตจัดซื้อกล้ายางพาราแล้ว นายพิทักษ์ยังเคยได้รับเลือกเป็นองค์คณะพิจารณาสำนวนคดีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวบรวมรายชื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องมายังศาลฎีกาให้ตั้งองค์คณะพิจารณาความผิดของ ป.ป.ช.ทั้งคณะ 9 คน (ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน) กรณีถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งชี้มูลความผิดนายตำรวจให้ออกจากราชการจากการสลายการชุมนุมกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551


4. นายพงษ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา

เคยเป็นหนึ่งในองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว หรือคดีหวยบนดิน โดยนายพงษ์เทพเคยดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ก่อนจะได้รับเลือกให้ร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ

5. นายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา

ได้รับเลือกเป็นองค์คณะคดียึดทรัพย์แทน นายปัญญารัตน์ วิระยะวานิช ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โดยนายอดิศักดิ์ยังเป็นองค์คณะพิจารณาสำนวนคดีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวบรวมรายชื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องมายังศาลฎีกาให้ตั้งองค์คณะพิจารณาความผิดของ ป.ป.ช.ทั้งคณะ 9 คน กรณีถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ชี้มูลความผิดให้นายตำรวจต้องออกจากราชการฐานสั่งการให้สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 จนมีผู้เสียชีวิตด้วย

6. ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา

เป็นศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นปี พ.ศ. 2511 ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ปัจจุบันได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานศาลฎีกา

7. นายประทีป เฉลิมภัทรกุล ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา

ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นองค์คณะคดียึดทรัพย์ และองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (พ.ศ. 2527) พ.ศ. 2546 แต่คดีดังกล่าวถูกสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว จนกว่าจะได้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลบหนีคดีอยู่มาปรากฏตัวต่อหน้าศาลในวันพิจารณาคดีนัดแรก

8. นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา

เคยได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้ให้รัฐบาลสหภาพพม่า จำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมจากกลุ่มบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นจำเลย แต่คดีนี้ถูกสั่งจำหน่ายคดีเอาไว้ชั่วคราวเช่นกัน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ระหว่างการหลบหนี นอกจากนี้ นายกำพล ยังเป็นหนึ่งในองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีหวยบนดินด้วย

9. นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา

เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานศาลฎีกาเมื่อเดือนต.ค. 2552 ที่ผ่านมา โดยนอกจากคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวแล้ว นายไพโรจน์ยังได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิตด้วย นอกจากนั้น นายไพโรจน์ ยังเป็นกรรมการเนติบัณฑิตยสภาในพระบรมราชูปถัมภ์

ทั้งหมด คือ "9 อรหันต์" ที่จะอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 26 ก.พ. ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นคดีที่ร่วมสร้างบรรทัดฐานของ "ระบบนิติรัฐ" ในประเทศไทย และส่งผลสะเทือนถึงแวดวงการเมืองไทยนับจากนี้ไป!

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 26/102371/

*** จขกท. ได้ตัดเนื้อข่าวออกบางส่วนและนำมาลงเฉพาะประวัติเท่านั้น
*** จขกท. มีภาพของท่านผู้พิพากษาอยุ่ 8 ท่าน .. แต่คิดว่ายังไม่สมควรที่จะนำภาพมาลงในตอนนี้ค่ะ
Last edited by see-u on Mon Mar 01, 2010 10:57 am, edited 2 times in total.
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sat Feb 27, 2010 10:37 am

สั่งอายัดเงินโอ๊ค-เอมเพิ่มจากเดิม 3.6 หมื่นล.

"กรณ์" สั่งอายัดทรัพย์สิน"โอ๊ค-เอม" เพิ่มเติมจากวงเงินอายัดเดิม 3.6 หมื่นล้าน โดยอายัด
ในทุกบัญชีเงินฝากและทรัพย์สินอื่น ป้องกันโยกหนี


นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมสรรพากรไป ดำเนินการอายัดเงินในทุกบัญชีเงินฝากธนาคารของนางสาวพิณทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กรมสรรพากรเกิดการเสียเปรียบและจัดเก็บภาษีไม่ครบตามจำนวนกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองตัดสินให้มีการยึดทรัพย์ในบัญชีที่กรมสรรพากรได้ขออายัดไว้ โดยการอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมเป็นอำนาจของกรมสรรพากรที่สามารถดำเนินการได้ เพื่อป้องกันการถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารต่างๆ ของผู้ค้างชำระภาษีหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว


"เราได้หารือกับกรมสรรพากร ก็มีคำถามว่า เป็นไปได้ที่ศาลอาจยึดทรัพย์บางส่วน และอาจจะลงรายละเอียดว่า ให้ยึดในบัญชีใดหรือไม่ยึดในบัญชีใด ซึ่งก็เป็นไปได้ที่จะยึดซ้ำกับบัญชีที่กรมสรรพากรได้อายัดซ้อนไว้ ก็จะทำให้กรมเสียเปรียบ ฉะนั้น เมื่อเราไม่รู้ว่า ศาลจะสั่งยึดบัญชีไหน เราก็เลยขอให้อายัดในทุกบัญชีธนาคารของพานทองแท้และพิณทองทา แต่หลังจากที่ ศาลมีคำสั่งชัดเจน เราก็พร้อมจะถอนอายัด ถือเป็นการล้อมคอก เพื่อไม่ให้กรมเสียเปรียบ"

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรได้ขออายัดเงินในบัญชีของนายพานทองแท้และพิณทองทา ชินวัตร เป็นเงินจำนวน 36,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินที่ทั้งสองค้างชำระภาษีในขณะนี้ มีอยู่จำนวนประมาณ 12,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นจนกว่าทั้งสองคนจะนำเงินมาชำระ เพราะต้องเสียค่าเบี้ยปรับอีก 1.50% ต่อเดือน

ส่วนกรณีที่ศาลฯมีคำสั่งยึดทรัพย์ทั้งหมดตกเป็นของแผ่นดิน ทางกรมสรรพากรก็จะต้องหาทรัพย์สินอื่นมาตีชำระภาษีแทน โดยทรัพย์สินอื่นของนายพิณทองทาและพานทองแท้ ชินวัตรที่กรมสรรพากรได้อายัดทรัพย์ไว้ก่อนหน้านี้ คือ หุ้นและที่ดิน มูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านบาท และ ยังมีทรัพย์สินอื่น ซึ่งขณะนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างพิจารณาอายัด โดยบางส่วนสามารถทำได้ในวันนี้

สำหรับกรณีที่ศาลฯตัดสินให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินทั้งหมด และ ไม่มีการยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน เม็ดเงินจำนวน 76,000 ล้านบาท ก็จะต้องเป็นของรัฐทันทีโดยไม่ต้องมีการตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาว่าเงินจะเข้าไปอยู่ส่วนใด ซึ่งกระทรวงการคลังก็จะนำเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินคงคลัง โดยจะรวมไว้ในส่วนเงินรายได้ภาครัฐเช่นเดียวกับการจัดเก็บรายได้อื่นๆ รวมถึง ค่าปรับต่างๆ ซึ่งหากจะนำเงินดังกล่าวออกมาใช้ก็จะเป็นไปตามระบบงบประมาณปกติ ที่ต้องนำเสนอการใช้ผ่านขั้นตอนของรัฐสภา


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 26/102456/
Last edited by see-u on Mon Mar 01, 2010 11:01 am, edited 1 time in total.
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Mar 01, 2010 10:41 am

** ขออภัยค่ะ .. กำลังแก้ไขจัดเรียงข้อมูลใหม่ + ข้อมูล เพิ่มเติมลงไป
ด้วยการนำไตรภาค 3 ( 16 ) เข้ามาแทรก ... ในส่วนที่ขาดหายไปก่อนจะมีการพิจรณาคดี
แต่ดันกลายเป็นโพสใหม่ซะงั้น
:shock: :shock:
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Mar 01, 2010 11:08 am

สรุปคำวินิจฉัย...มติเอกฉันท์"ทักษิณ"ปกปิด-อำพรางหุ้น

Image

มติเอกฉันท์"ทักษิณ"ปกปิด-อำพรางหุ้น หลังคำตัดสินของศาล มีประเด็นตามข้อกฎหมายดังนี้

ประเด็นข้อกฎหมาย

1. วินิจฉัย ศาลมีอำนาจพิจารณาคดี
วินิจฉัยในประเด็นแรก คือ ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ตามที่ผู้คัดค้านคัดค้านหรือไม่ โดยวินิจฉัยว่า การตรวจสอบของ คตส.เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ตามมาตรา 9 (1) และ (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นมติเอกฉันท์

มติเอกฉันท์

2. วินิจฉัย คตส.มีอำนาจตรวจสอบโดยชอบ
ประเด็นวินิจฉัยต่อมา คตส.มีอำนาจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการดำเนินการภายใต้ขอบอำนาจตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ส่วนที่ คตส. แต่งตั้งอนุ คตส.นั้น เห็นว่า คตส.ใช้อำนาจตามประกาศ คปค. สามารถแต่งตั้งได้ และไม่ล่วงเลยระยะเวลาตามที่ผู้คัดค้าน ทำการคัดค้าน เพราะมีกรอบเวลาชัดเจน หากไม่เสร็จสิ้นต้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งประเด็นที่ คตส.บางคน เช่นนายกล้านรงค์ จันทิก นายบรรเจิด สิงคะเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นปฏิปักษ์ของผู้ถูกร้อง แต่งตั้งเป็นประธานอนุฯ คตส.นั้น ชอบแล้วด้วยกฎหมาย และ ป.ป.ช.จึงมีอำนาจดำเนินการแทน คตส.ได้ก็ชอบแล้วด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ คดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา แต่เป็นคดีแพ่ง จึงไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถูกกล่าวหามา ศาลมีมติเอกฉันท์ ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้

มติเอกฉันท์

3. วินิจฉัย คำร้องของอัยการไม่เคลือบคลุม
วินิจฉัย คำร้องที่ให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้อง แจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม

มติเอกฉันท์

ประเด็นข้อเท็จจริง

1. ปกปิดอำพรางหุ้น โดยผ่านนอมินี
ประเด็นวินิจฉัยผู้ถูกกล่าวหาปกปิดอำพรางหุ้นหรือไม่ วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ ยังถือหุ้นไว้ แต่ปี 2549 รวบรวมหุ้นทั้งหมดขายให้เทมาเส็ก โดยมีการโอนหุ้นให้กับผู้คัดค้านหลายคนจริง ผู้ถูกกล่าวหาแม้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 แล้ว ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจดำเนินนโยบายและแต่งตั้งกรรมการในบริษัทชินคอร์ปจริง การควบคุมนโยบายของผู้ถูกกล่าวหาผ่านทางคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ปจริง มีมติเป็นเอกฉันท์ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 มีหุ้นในเทมาเส็กจริง

การขายหุ้นให้พี่น้องมีพิรุธ ไม่มีใครจ่ายเป็นเงิน ทั้งที่จริงๆ มีเงินจ่ายได้ แต่กลับจ่ายเป็นตั๋วสัญญา อีกทั้งยังเป็นผู้รับเงินปันผลตามบัญชีบริษัทแอมเพิลริช ที่มีเงินปันผลเข้าบัญชีระหว่างปี 2546-2548 จำนวน 1,000 ล้านบาท ศาลจึงมีมติเอกฉันท์ว่าผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถือหุ้นใหญ่กว่า 1,400 ล้านหุ้น ของบริษัทชินคอร์ป ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทั้งสองสมัย

มติเอกฉันท์

2. การแปลงสัญญาสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป
วินิจฉัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ มีมติด้วยเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหา ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ตราพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ทำให้ชาติเสียหาย

มติเสียงข้างมาก

3. กรณีแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงิน และ โรมมิ่ง
การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วยการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน (PREPAID CARD) ส่งผลให้เอไอเอส จ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543-30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน

การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ ชินคอร์ป และเอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศท และบริษัท กสท ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น เอไอเอส จะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัท ชินคอร์ป ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นใน ดังนั้นผลประโยชน์ที่ เอไอเอส ได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั่งได้มีการขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์

วินิจฉัยว่า ภาระเอไอเอสลดน้อยลง แต่มีรายได้เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 44-49 โดยลำดับ ตั้งแต่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขสัญญาดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหามีหุ้นในชินคอร์ป ผลประโยชน์จึงตกแก่ผู้ถูกกล่าวหา เงินที่ขายหุ้นให้เทมาเส็ก จึงได้มาโดยไม่สมควร

มติเสียงข้างมาก

4. กรณีการใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง)
วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) และปรับลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมระหว่าง กสท กับ DPC เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับชินคอร์ป และเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นให้เทมาเส็กไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นเทมาเส็ก


5. กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ
กรณีการละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป

ในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ ล้วนเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ป และ ชินแซทฯ

วินิจฉัยว่า เป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน รีบเร่ง ผิดปกติวิสัย ทั้งนี้ ดาวเทียม IP STAR ไม่ได้เป็นดาวเทียมหลัก แทนไทยคม 3 เป็นดาวเทียมใช้สื่อสารต่างประเทศ ผิดสัญญาตามที่ระบุว่า ใช้สื่อสารในประเทศ จึงอยู่นอกกรอบสัญญา เป็นการอนุมัติให้บริษัทผู้ถูกกล่าวหา ได้รับสัมปทานไปโดยไม่มีคู่แข่ง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท องค์คณะจึงมีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมาก เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป และบริษัทไทยคม

มติเสียงข้างมาก

6. กรณีอนุมัติเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า
การขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่ประเทศพม่า เพิ่งเกิดขึ้นภายหลังจากประชุมร่วมกับพม่า-กัมพูชา และในการประชุมครั้งนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของไทยคมและไอเอเอส ไปสาธิตระบบให้บริการมือถือผ่านดาวเทียมในการประชุมด้วย จึงย่อมแสดงให้เห็นว่าการขอวงเงินเพิ่มเติมมีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อสินค้าและบริการจากไทยคมนั่นเอง

ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าได้อนุมัติเงินไปซื้อสินค้าอื่นนั้น ก็ไม่อาจรับฟังหักล้างข้อที่ว่าไทยคมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ และที่อ้างว่าการอนุมัติวงเงินสินเชื่อนั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของธนาคารนั้น เห็นว่าธนาคารเอ็กซิมแบงก์ ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.เอ็กซิมแบงก์ ปี 2536 และอยู่ในการกำกับของ รมว.คลัง จัดเป็นหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งในการอนุมัติวงเงินให้รัฐบาลพม่าในครั้งนี้ ก็ได้ความจากพยานซึ่งเป็นอดีตกรรมการเอ็กซิมแบงก์ ว่าเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และโดยการให้สินเชื่อดังกล่าวได้ผลตอบแทนเป็น

ดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ จึงต้องขอให้กระทรวงการคลังจัดสรรเงินของคลังมาชดเชย กรณีนี้จึงส่งผลเสียต่องบประมาณของประเทศโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเอ็กซิมแบงก์ก็ไม่ได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนี้อีกด้วย

ส่วนที่อ้างว่าการดำเนินการในครั้งนี้พิจารณาผลประโยชน์ของประเทศ โดยทำให้ปตท.สผ.ได้รับสัมปทานบ่อแก๊สที่พม่านั้น เห็นว่าบริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยคม จึงได้ประโยชน์จากการถือหุ้น ย่อมเป็นการไม่สมควรที่จะอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้กับพม่า องค์คณะจึงมีมติเสียงข้างมากว่าการดำเนินการกรณีนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่ไทยคมและชินคอร์ป

มติเสียงข้างมาก

7. การดำเนินการทั้ง 5 กรณีเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
ใน 5 กรณีพบว่ามีการสั่งการอยู่ 2 กรณีคือการแปลงภาษีสรรพสามิตฯ โดยเป็นการสั่งการและมอบนโยบายให้ปฏิบัติเป็นลำดับชั้น ตั้งแต่รมว.คลัง รมว.ไอซีที ขรก.และกรรมการในชุดต่างๆ อีกกรณีคือการอนุมัติของเอ็กซิมแบงก์ในการให้วงเงินสินเชื่อแก่พม่า โดยผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการและมอบนโยบายผ่าน รมว.ต่างประเทศ

ส่วนอีก 3 กรณีคือบัตรเติมเงิน การใช้โรมมิ่ง และละเว้นอนุมัติส่งเสริมธุรกิจดาวเทียมในประเทศ ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาล้วนเป็นผู้กำกับดูแลในฐานะนายกฯ มีการไล่เป็นลำดับชั้นได้แก่ รมว.คลัง รมว.คมนาคม รมว.ไอซีที และหน่วยงานของรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ และเป็นประธานบีโอไอ สำหรับคณะกรรมการประสานงานดาวเทียมสื่อสารของประเทศ ข้อ 39 กำหนดให้ปลัดคมนาคม และจนท. ซึ่งเป็นผู้แทนรวม 4 คน ร่วมเป็นคณะกรรมการดังกล่าว ส่วน กสท และ ทศท แม้จะแปลงเป็นบริษัทแล้วแต่ทั้งสองหน่วยงานแต่ก็ยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ อยู่ในกำกับของกระทรวงไอซีที

อีกทั้งผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ก็เป็นสมาชิกพรรค ทรท. โดยที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ในขณะนั้น ประกอบกับทั้งสามกรณีเป็นการเริ่มต้นร้องขอมาจากชินคอร์ป และบริษัทเกี่ยวข้องทั้ง 3 กรณี ฟังจากคำเบิกความจากผู้จัดการผลประโยชน์ ทศท ฯลฯ ได้ความว่าคณะกรรมการกลั่นกรองได้พิจารณาหลักการตามที่เอไอเอสเสนอต่อ ทศท ในวันที่ 21 และ 28 สิงหาคม และเป็นวาระจรทั้งสองครั้ง ไม่ได้เสนอโดยฝ่ายบริหารผลประโยชน์ดังที่ได้ปฏิบัติมา

ส่วนกรณีการใช้เครือข่ายร่วมนั้นก็ไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ปฏิบัติ และมีการตอบสนองเอไอเอสอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกรณีดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ก็มีวิธีการทำนองเดียวกัน คือให้ รมว.คมนาคมอนุมัติไปก่อนที่คณะกรรมการจะรับรายงานการประชุม ปรากฏจากบันทึกของบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เนื่องจากสัญญาสัมปทาน มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ จึงให้ถอนเรื่องออกไป ขณะที่ผู้อำนวยการส่วนวางแผนการเงินก็เบิกความประกอบว่า การดำเนินการเรื่องนี้ค่อนข้างรวดเร็ว และพยายามเสนอให้ทัน 12 เมษายน 2544 ที่มีการประชุมคณะกรรมการ ทศท เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทั้ง 5 กรณีเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ ใช้อำนาจรัฐเอื้อธุรกิจชินคอร์ป

มติเสียงข้างมาก

8. กรณีให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่
เมื่อผลเป็นการเอื้อประโยชน์โดยตรงต่อชินคอร์ป และเป็นการแสดงให้ปรากฏแกคนทั่วไปของกิจการ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มูลค่าหุ้นในชินคอร์ปเพิ่มขึ้น ดังนั้นเงินปันผลค่าหุ้น และเงินขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร ในฐานะนายกฯ ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ประกอบพ.ร.บ.รธน.ว่า ป.ป.ช. แต่โดยที่ผู้กล่าวหา และผู้คัดค้าน 1 จึงเห็นวินิจฉัยเสียก่อนว่าศาลจะให้เงินในส่วนของผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินได้หรือไม่


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 27/102581/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Mar 01, 2010 11:26 am

** ทั้งนี้ .. หลาย ๆ ท่านสามารถตามอ่านการถอดความ ...

“คำต่อคำ” พิพากษายึดทรัพย์เงินปล้นชาติ 46,373 ล้าน!

ได้จากเว็บ managerค่ะ ... มีทั้งหมด 6 ตอนตามลิงค์ข้างล่าง ...

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028148 <-- ตอนที่ 1

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028154 <-- ตอนที่ 2

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028158 <-- ตอนที่ 3

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028171 <-- ตอนที่ 4

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028195 <-- ตอนที่ 5

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000028211 <-- ตอนที่ 6
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Mar 01, 2010 11:36 am

ประวัติศาสตร์คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน

Image

นับเป็นคดีประวัติศาสตร์คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน
ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร


"ทักษิณ"แถลงการณ์โวย ถูกข่มเหงรังแก-ยากจะทานทน

"ผมไม่เคยคิดว่าการเข่นฆ่ากันทางการเมือง จะมีผลรุนแรงตามมามากมายขนาดนี้ ผมรู้สึกเจ็บปวด"
หลังจากที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 46,373 ล้านบาท พร้อมดอกผลของเงินจำนวนดังกล่าว ที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผล บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ตกเป็นของแผ่นดิน จากทั้งหมดกว่า 76,000 ล้านบาท ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้เปิดใจแสดงปฏิกิริยาไม่ยอมรับคำตัดสิน พร้อมประกาศจะต่อสู้เพื่อทวงความยุติธรรมต่อไป เมื่อวันที่ 26 ก.พ. นั้น

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลง ณ ที่พรรคเพื่อไทย วานนี้ (27 ก.พ.) ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกแถลงการณ์ต่อเรื่องดังกล่าว โดยมีเนื้อหาดังนี้

"ผมรู้สึกเสียใจและผิดหวังที่ศาลฎีกาได้ตัดสินและสั่งยึดทรัพย์ครอบครัวของผมกว่าสี่หมื่นล้านบาทเมื่อวานนี้ ผมและครอบครัวไม่ได้รับความยุติธรรม และไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน เพราะเป็นคำตัดสินที่มิชอบด้วยกฎหมาย และข้อเท็จจริง ทรัพย์สินที่ถูกยึดนั้น ผมและครอบครัวได้ทำมาหากินด้วยน้ำพัก น้ำแรง และร่ำรวยมาก่อนเป็นนักการเมือง

ยิ่งกว่านั้นทรัพย์สินที่ถูกยึดก็เป็นของลูกและครอบครัวที่ผมได้โอนไปให้ก่อนผมมาเป็นนักการเมือง และตลอดเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผมทุ่มเททำงานเพื่อชาติ ผมไม่เคยทำสิ่งใดที่เอื้อประโยชน์ให้ครอบครัว ผมไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ ราคาหุ้นนั้นสูงขึ้นเป็นปกติตามดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ และตามการขยายตัวของตลาดหุ้นเกือบทุกวันในตลาดหลักทรัพย์มีราคาสูงขึ้นทั้งสิ้น ผมรู้สึกคล้ายกับว่าครอบครัวของผมถูกปล้นทรัพย์ และถูกข่มเหงรังแกจนยากที่จะทานทนต่อไปได้

เมื่อวานนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ที่พี่น้องชาวไทย และชาวโลกจะต้องจดจำไปอีกนาน การอายัดทรัพย์ของคตส.เป็นความพยายามทำลายล้างผมอย่างไม่ลดละของฝ่ายอำมาตย์ เริ่มตั้งแต่ลอบสังหาร ยึดอำนาจ ทำลายครอบครัว และอายัดทรัพย์ ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมไม่ท้อถอยและผมไม่ยอมแพ้ ผมจะแสวงหาความเป็นธรรมในทุกช่องทาง และทุกโอกาสที่ผมสามารถกระทำได้

ผมไม่เคยคิดว่าการเข่นฆ่ากันทางการเมืองจะมีผลรุนแรงตามมามากมายขนาดนี้ ผมรู้สึกเจ็บปวด เพราะผมสงสารครอบครัว และลูกที่ถูกรังแก เจ็บปวดที่ต้องมารับกรรมที่ผม และพวกเราไม่ได้ก่อไว้ ผมรักครอบครัวของผมเหมือนคนไทยทั่วไป

การยึดทรัพย์และสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม และครอบครัว คือความอยุติธรรมอย่างยิ่ง พี่น้องที่รักและเห็นใจผม และผู้รักความเป็นธรรมทั้งหลายย่อมรู้สึกสะเทือนใจ ไม่พอใจ หรือแม้แต่โกรธแค้นแทนผมและครอบครัว ผมขอวิงวอนให้พี่น้องประชาชนใช้ความอดทน อดกลั้น ไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ที่อาจนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติ หรือเป็นเหตุให้รัฐบาลใช้มาทำลายการต่อสู้ของประชาชน

ผมขอเรียกร้องต่อพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย และรักความเป็นธรรมทั้งหลายว่า แม้จะเกิดความอยุติธรรมอย่างร้ายแรงกับผมและครอบครัวก็ตาม ขอให้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรมไม่ต้องคิดว่าจะทำอะไรให้แก่ผมและครอบครัว หรือต่อสู้เพื่อผมและครอบครัว แต่ขอให้ช่วยกันคิดว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศอันเป็นที่รักของเรา จึงขอให้ช่วยกันต่อสู้เพื่อให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย และเกิดความยุติธรรมให้ได้ และนี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

ผมขอกราบขอบคุณกำลังใจที่ส่งมาให้ผมและครอบครัวในช่วงเวลาที่ยากลำบากในขณะนี้ เมื่อวานนี้อาจจะไม่ใช่วันของผม แต่ผมจะต่อสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตย และความเป็นธรรมตามแนวทางสันติ เพื่อคนไทยและประเทศไทยของเรา วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้าและจะเป็นวันของพวกเราทุกคน"


นักกฎหมายฟันธงสองคดีอาญา "ทักษิณ"รอดยาก"

นักกฎหมาย ชี้ สองคดีอาญา "ทักษิณ" รอดยาก เหตุเพราะศาลชี้ชัดเจนพฤติกรรมเอื้อประโยชน์ส่อขัดมาตรา 157 ส่วน "ทักษิณ" ถ้าอุทธรณ์อดเป็นนายกฯ ตลอดชีวิต

นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) อดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ที่สั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นการชี้ในเรื่องความร่ำรวยผิดปกติ แต่พฤติกรรมการเอื้อประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็สามารถถูกใช้เป็นฐานในการวินิจฉัยของสองคดีที่ค้างอยู่ในศาลอาญา ทั้งกรณีการปล่อยเงินกู้ให้พม่าและการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

"จากการฟังคำพิพากษาของศาลครั้งนี้แล้วเห็นว่าสองคดีดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ จะต่อสู้ได้ยากมากขึ้น เพราะแนวโน้มจะเป็นไปตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ได้ชี้ไว้แล้ว พฤติกรรมของคนเมื่อถูกชี้แล้วจะสามารถเอาผิดได้ทั้งอาญาและแพ่ง ดังนั้นเมื่อศาลชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ ก็เป็นไปได้ที่จะมีความผิดทางอาญาด้วย"

นายคมสัน กล่าวด้วยว่า สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น หากอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาฯ ไม่สำเร็จ กลายเป็นบุคคลที่ถูกยึดทรัพย์จะไม่สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นส.ส. แต่การถูกยึดทรัพย์เป็นคุณสมบัติต้องห้ามของผู้ที่จะลง ส.ส. ซึ่งจะติดตัวไปตลอดชีวิต นอกจากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต่อสู้จนพวกตัวเองได้เป็นรัฐบาล แล้วแก้ไขรัฐธรรมนูญตัดมาตรานี้ทิ้งไปก็จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้


อภิสิทธิ์ : รัฐบาลไม่เคยปล้นใคร

"รัฐบาลไม่เคยปล้นใคร เงินที่ยึดมาตามคำตัดสินของศาลก็ยึดมาเป็นของแผ่นดิน และรัฐบาลไม่ใช่คู่กรณีของคดี"
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างบันทึกเทปรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ซึ่งจะออกอากาศทั่วประเทศวันนี้ (28 ก.พ.) ว่า หลังจากมีการพิพากษาคดียึดทรัพย์แล้วคงต้องมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะ โดยคำพิพากษาที่ออกมามีทั้งผู้ที่พอใจและไม่พอใจ

"เราต้องให้ความเชื่อถือกระบวนการยุติธรรม อยากให้ทุกฝ่ายเคารพคำพิพากษา การเคลื่อนไหวนอกกฎหมาย เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องประเมินและทำงานอย่างต่อเนื่องทั้งด้านความมั่นคงและด้านการข่าว สถานการณ์ขณะนี้คงไม่แตกต่างจากก่อนการพิพากษา เป้าหมายของผู้ชุมนุมมีหลายเรื่อง เช่น การยุบสภา และสถานการณ์จะรุนแรงหรือเบาขึ้นกับความเข้าใจของประชาชน ต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจไม่ใช่หน้าที่ศาลที่ต้องออกมาชี้แจง ถ้ามีการชุมนุมปกติก็ไม่เป็นไรแต่มีบางกลุ่มที่พูดเรื่องความรุนแรง รัฐบาลไม่ต้องการปราบแต่ต้องการบริหารบ้านเมืองให้ดี และตั้งใจที่จะทำงานให้เป็นปกติ ถ้าทุกคนปล่อยให้แต่ละฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองทุกอย่างจะเป็นปกติ"

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อะไรที่เป็นผลสืบเนื่องจากคำพิพากษา และกระทบกับแผ่นดินทั้งแพ่งและอาญา ถ้าเกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐหน่วยใดก็ต้องเข้าไปดู โดยอัยการจะเป็นฝ่ายกฎหมายที่เข้าไปให้คำแนะนำ ซึ่งต้องการให้อัยการเป็นผู้สรุปมากว่ารัฐบาลจะเป็นผู้สรุปเอง ถ้าตนเป็นผู้สรุปก็อาจตีความเป็นประเด็นการเมือง

โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นสิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดิน แต่ถ้าหน่วยงานรัฐไม่ทำก็เป็นหน้าที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้าไปดู การจะปล่อยให้คดีอื่นหมดอายุความไปคงไม่เกิดขึ้น ขณะนี้มีหลายคดีที่ดำเนินการอยู่ เช่น การหลีกเลี่ยงภาษี การปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) รวมทั้งการปล่อยดาวเทียมไอพีสตาร์โดยยังไม่มีการประมูลก็เป็นเรื่องทางกฎหมายที่คู่สัญญาต้องไปดู

สำหรับการแก้สัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เข้าไปดูภายใน 1 เดือน ซึ่งได้มอบหมายไปพร้อมกับการประมูลโทรศัพท์ 3 จี ที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดให้แข่งขันกันอย่างเสรีเพื่อไม่ให้เกิดมรดกความยุ่งยากเหมือนที่รัฐบาลปัจจุบันรับมา โดยการที่รัฐมนตรีว่าการไอซีทีอยู่คนละพรรคไม่เป็นปัญหา และภายใน 1-2 สัปดาห์จะเชิญ ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีมาหารือเรื่องดังกล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นการยึดทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบ ซึ่งยึดส่วนต่างที่เพิ่มและของเดิมก็คืนให้ เป็นคนละเรื่องกับความเสียหายของประเทศ โดยหน่วยงานรัฐใดที่ได้รับความเสียหายก็ต้องนำคำพิพากษามาดูแล้วหาทางลดความเสียหาย ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะมองเรื่องการอายัดเงินที่ศาลให้คืน โดยภาษีที่ค้างอยู่หมื่นกว่าล้านบาท เป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังหาทางป้องกัน จึงได้ขอส่วนนี้ไว้ ซึ่งผลจะมีการคัดค้านหรือไม่ ก็ต้องรอดูเพราะเป็นคนละคดี

อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังมีช่องทางอุทธรณ์หากไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา ผู้ที่เสียหายอาจไม่พอใจและหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีหลักฐานการรับสินบนของศาลก็ควรยอมรับคำตัดสิน แต่ถ้ามีหลักฐานอะไรเพิ่มก็ขออุทธรณ์ได้ ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าเราต้องเคารพอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายและหากมีทรัพย์มาก่อนก็คืนให้ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และถ้าอดีตนายกรัฐมนตรีเห็นว่ามีสิทธิฟ้องศาลโลกได้ก็เป็นสิทธิของอดีตนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลไม่เคยปล้นใคร เงินที่ยึดมาตามคำตัดสินของศาลก็ยึดมาเป็นของแผ่นดิน และรัฐบาลไม่ใช่คู่กรณีของคดี ซึ่งคู่กรณี คือ อดีตนายกรัฐมนตรีและแผ่นดิน ไม่ว่าศาลจะยึดหมดหรือคืนหมดก็คงมีการชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค. 2553 และรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้เกิดขึ้น ซึ่งผู้มาชุมนุมล้วนมีเหตุผลและมีไม่น้อยที่มาด้วยสุจริตใจ โดยขึ้นกับข้อมูลที่แต่ละคนได้รับแต่ยอมรับว่าบางคนมีวาระส่วนตัวที่ต้องการเห็นความวุ่นวายหรือรัฐประหารก็จะสมประโยชน์

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เห็นด้วยกับผู้เสนอให้มีการแปลคำพิพากษาเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งควรมีการนำไปชี้แจงกับต่างประเทศให้เข้าใจด้วย และคนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ ถ้าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองเชื่อว่าเศรษฐกิจและสังคมก็จะไปได้ โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็สามารถใช้ช่องทางตรวจสอบ เช่น รัฐสภา และขณะนี้ฝ่ายค้านก็เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่ง ส.ส.จะได้ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาและวิธีการนี้น่าจะช่วยทำให้ประเทศเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาได้


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 28/102629/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Mon Mar 01, 2010 11:46 am

3 พยานปากสำคัญชี้เอื้อชินคอร์ป

Image

สุรเกียรติ์ : ไม่ได้ปกป้อง ไม่ได้ปรักปรำใคร

นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องคำพิพากษาที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องกรณีปล่อยกู้ให้กับประเทศพม่า 4,000 ล้านบาท ว่า "ผมได้พูดทุกอย่าง ตามเนื้อผ้า ตามความจริง ตามเอกสารหลักฐาน อย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ปกป้องใคร และไม่ได้ปรักปรำใคร ผมคิดว่า ผมได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ตามพยานที่มีอยู่ และอยู่ในเหตุการณ์จริงในบางส่วน"

ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า การดำเนินการในกรณีนี้ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทไทยคม และบริษัทชินคอร์ป

รัฐบาลไทยให้วงเงินกู้สินเชื่อแก่รัฐบาลสภาพพม่า 3,000 ล้านบาท เป็นการให้วงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อเครื่องจักรและพัฒนาประเทศ แต่การอนุมัติเงินกู้ครั้งนี้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท เป็นการขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม เพื่อการพัฒนาระบบโทรคมนาคม

แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะต่อสู้ประเด็นเรื่องบริษัทไทยคมขายสินค้าให้แก่รัฐบาลสภาพพม่าตามพันธสัญญาเดิม และเป็นการซื้อขายกันตามปกติ ไม่ว่าจะได้รับเงินสินเชื่อหรือไม่ รัฐบาลสภาพพม่าก็จำเป็นต้องซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นประจำอยู่แล้วนั้น

ทั้งนี้ ในการประชุมระดับผู้นำระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2546 พ.ต.ท.ทักษิณได้อนุมัติให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ร่วมเดินทางเป็นคณะอย่างเป็นทางการไปด้วย ระหว่างการประชุมยังมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทไทยคมจำนวน 8 คน และบริษัทเอไอเอสจำนวน 2 คน เข้าร่วมทำการสาธิตระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่จีเอสเอ็มผ่านดาวเทียม ต่อมาทางการสภาพพม่าได้มีหนังสือลงวันที่ 8 มกราคม 2547 ถึงสถานเอกอัครราชทูตไทย เสนอโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมในเขตชนบทและพื้นที่ห่างไกลของกระทรวงสื่อสารไปรษณีย์ และโทรเลขแห่งสภาพพม่า และขอรับความช่วยเหลือจากไทย มูลค่า 24.05 ล้านดอลลาร์

ทั้งสหภาพพม่ายังได้มีหนังสือลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2547 ขอเพิ่มวงเงินกู้สินเชื่อจาก 3 พันล้าน เป็น 5 พันล้านบาท และมีหนังสือลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2547 ติดตามผลรวมทั้งการขอลดดอกเบี้ย

ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการต่อนายสุรเกียรติ์ แจ้งไปว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งการว่าให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพิ่มเป็น 4 พันล้านบาท

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นคนสั่งให้นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ ให้เงินกู้แก่รัฐบาลสหภาพพม่าในวงเงิน 4 พันล้านบาท หากได้รับความเสียหายก็ให้กระทรวงการคลังจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ชดเชยแก่ธนาคารตามจำนวนที่เสียหาย และให้ชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยที่ได้รับจากรัฐบาลสหภาพพม่ากับต้นทุนดอกเบี้ยของธนาคาร และกระทรวงการคลังต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชดเชยความเสียหายแก่เอ็กซิมแบงก์


สมเกียรติ : พรก.ภาษีมือถือ นโยบายขัดประโยชน์ส่วนรวม

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) คือ อีกหนึ่ง "พยาน" สำคัญ ในประเด็นการแปลงสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ให้การต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2540 คณะรัฐมนตรีสมัยนั้น มีมติเห็นชอบกับแผนแม่บท ของการพัฒนากิจการโทรคมนาคมรวมทั้งการแปรรูป ทศท. และ กสท โดยจัดตั้งองค์กรขึ้นกำกับดูแล ต่อมาวันที่ 3 มีนาคม 2541 คณะรัฐมนตรี จึงมีมติให้กระทรวงคมนาคม เสนอแผนในการแปรรูป ทศท. และ กสท โดยกำหนดโครงสร้าง การแปรรูปสัญญาร่วมการงาน ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันธุรกิจโทรคมนาคมอย่างเสรี

คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ จึงมีมติให้ว่างจ้าง ทีดีอาร์ไอ ศึกษาและเสนอความเห็นต่อกระทรวงการคลัง พยานกับนายฉลองภพ สุสังกรณ์กาญจน์ และนักวิชาการ อีก 10 กว่าคน ได้ร่วมกันศึกษา อยู่หลายเดือน

มีความเห็นว่าการตราพระราชกำหนดทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว รวมทั้งออกประกาศกระทรวงการคลัง กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิต มีมติเห็นชอบให้ภาคเอกชนประกอบธุรกิจในด้านกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเสียภาษีสรรพสามิตให้แก่กรมสรรพสามิตนำภาษีดังกล่าวไป หักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องชำระให้แก่หน่วยงานของรัฐ

สมเกียรติ เบิกความอีกว่า การที่คณะรัฐมนตรีชุดนั้น ยอมให้ภาคเอกชน ที่ประกอบธุรกิจในด้านกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเสียภาษีสรรพสามิต สามารถนำภาษี ที่ชำระให้แก่กรมสรรพสามิตไปหักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องชำระให้แก่หน่วยงานของรัฐได้ จึงขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ ในการตราพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวอย่างชัดเจน

"กิจการโทรคมนาคม ถือเป็นกิจการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมอย่างมาก นอกจากไม่ควรเก็บภาษีสรรพสามิตแล้ว ยังควรสนับสนุนให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น"


สิทธิชัย : ภาษีเอื้อประโยชน์กลุ่มชินคอร์ป

นายสิทธิชัย โภไคยอุดม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นหนึ่งในพยานปากสำคัญในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจโทรคมนาคม

เขามีส่วนสำคัญ เนื่องจากเป็นผู้ส่งให้กฤษฎีกาตีความการแก้สัญญาของกลุ่มชินคอร์ป และภาษีสรรพสามิต โดยเป็นคนส่งให้กฤษฎีกาตีความ และเป็นหลักฐานที่ชี้ว่า "เอื้อประโยชน์" กลุ่มชินคอร์ป

นายสิทธิชัย ยังเบิกความด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงการเก็บค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้แบ่งจ่ายเป็นภาษีสรรพสามิตได้ เป็นการกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในทางธุรกิจอย่างแยบยล ไม่ให้นักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาลงทุนธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศหรือมาเป็นคู่แข่ง ขณะที่การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แม้ผู้ให้บริการรายเดิมจะต้องลงทุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าน่าจะได้กำไรจากการลงทุนไปนานแล้ว เนื่องจากเริ่มแรกของการให้บริการประชาชนต้องเสียค่าใช้บริการในอัตราที่สูงถึงนาทีละ 8-12 บาท มานานกว่า 10-15 ปี และที่อ้างว่าสถานีเครือข่ายที่ก่อสร้างได้โอนให้รัฐตามสัญญาแล้ว เป็นเพียงข้อความในกระดาษ เพราะความจริงแล้ว ผู้ให้บริการรายเดิม ยังคงใช้ประโยชน์จนถึงปัจจุบัน

เขาบอกว่า ไม่มีใครมาลงทุน เพราะเอื้อประโยชน์การผูกขาดผู้ให้บริการรายเดิม

จากคำให้การดังกล่าว องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า ผู้ถูกกล่าวหา หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในการตราพระราชกำหนด 2 ฉบับ รวมทั้งมีมติคณะรัฐมนตรีหักภาษีสรรพสามิตออกจากค่าสัมปทาน ซึ่งเป็นการกีดกันผู้ประกอบกิจการ


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 1/102675/3
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Mar 07, 2010 11:06 am

เปิดอดีตรมต.-ขรก.-บอร์ดพันคำพิพากษาส่อผิด "อาญา 157"

Image

ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา
ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี


เป็นเจ้าของหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419 ล้านหุ้น และใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจของตนเอง ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ผลพวงของคำพิพากษานอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งตามมาอีกหลายเรื่องแล้ว อดีตรัฐมนตรี ข้าราชการ รวมทั้งคณะกรรมการ กสท คณะกรรมการทีโอที มีมติอนุมัติการแก้ไขสัญญาสัมปทานให้แก่ บริษัทในเครือชินคอร์ป อยู่ในข่ายที่จะถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งข้อกล่าวหา ความผิดอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 152, 157 อีก 3 คดี

1.การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Mobile Telephone) ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ ที่ต้องจ่ายให้ ทศท จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส 20% จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตรา 25-30%

กรณีนี้เกิดขึ้นจากข้อเสนอของเอไอเอส แต่คณะกรรมการกลั่นกรองวาระการประชุมคณะกรรมการทีโอทีได้พิจารณาแล้ว มีเงื่อนไขว่าการปรับลดครั้งนี้เอไอเอส ต้องลดค่าบริการให้กับประชาชนด้วย จึงมีมติให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ไปเจรจากับเอไอเอสในวันที่ 4 เม.ย.2544

จากนั้นเพียง 1 วัน ฝ่ายบริหารผลประโยชน์และฝ่ายการเงินและงบประมาณ ได้ร่วมจัดทำเอกสารผลการเจรจาระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส ในประเด็นต่างๆ รวมทั้งขอเสนอการ ลดอัตราการจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากบริการโทรศัพท์ระบบเติมเงิน One-2-Call ให้เอไอเอสจาก 25% เหลือ 20% ของมูลค่าหน้าบัตร ก่อนที่คณะกรรมการทีโอที ที่มี นายศุภชัย พิศิษฐวานิช ประธานอนุมัติ โดยเอไอเอสและทีโอที ได้ร่วมกันลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญา เพื่อแก้ไขส่วนแบ่งรายได้ที่เอไอเอสต้องจ่ายให้แก่ทีโอที จาก 25% เหลือ 20% ในวันที่ 15 พ.ค.2544

บุคคลที่อยู่ในข่ายถูกตั้งข้อกล่าวหา ประกอบด้วย ผู้บริหารและคณะกรรมการทีโอที มีมติอนุมัติเรื่องดังกล่าว ยกเว้น นายสถิต ลิ่มพงศ์พันธุ์ ที่ลาการประชุม

2.การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular MOBILE Telephone) เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2545 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ เอไอเอส ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้แก่ ทศท และ กสท

ผลการตรวจสอบพบว่าการแก้ไขสัญญาดังกล่าวคณะกรรมการกลั่นกรองกลั่นกรองวาระการประชุมคณะกรรมการทีโอที ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการทีโอที พิจารณาได้มีการแก้ไขความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง จนนำมาสู่การอนุมัติ

สำหรับบุคคลที่อยู่ในข่ายถูกแจ้งข้อกล่าวหาคือ นายสุธรรม มะลิลา อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอที และคณะกรรมการทีโอที ชุดที่มี นายศุภชัย พิศิษฐวานิช ประธาน ยกเว้น นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ที่ไม่อยู่ในห้องประชุมระหว่างการพิจารณาอนุมัติเรื่องดังกล่าว

ทั้ง 2 กรณีนอกจากเป็นการแก้ไขสัญญาสัมปทานเอื้อประโยชน์ ให้แก่บริษัทในเครือชินคอร์ปแล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกายังวินิจฉัยว่า ขัดกับ พ.ร.บ.ร่วมทุน ปี 2535 อีกด้วย เพราะไม่ได้เสนอให้ ครม.พิจารณา

3.การอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลงวันที่ 27 ต.ค.2547 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ และการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในชินแซทจากไม่ต่ำกว่า 51% เป็นไม่ต่ำกว่า 40%

กรณีนี้มีบุคคลที่อยู่ในข่ายถูกแจ้งข้อกล่าวหาคือ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ อดีตปลัดกระทรวงไอซีที และนายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานโครงการดาวเทียม

สำหรับนายวันนอร์ และนายศรีสุข เกี่ยวข้องคืออนุมัติให้ดาวเทียม IP STAR เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ทั้งๆ ที่ดาวเทียมดวงดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่เหมือนกับดาวเทียมไทยคม 3 เนื่องจากมีการตัดคลื่นความถี่ CU-Band ที่มีในดาวเทียมไทยคม 3 ออกไป

ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ และคุณหญิงทิพาวดี เกี่ยวข้องกับการอนุมัติค่าสินไหมทดแทนความเสียหายของตามเทียมไทยคม 3 จำนวน 33,082,960 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท ให้แก่ ชินแซท จำนวน 6,765,299 ดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัทเพื่อจัดหาช่องสัญญาณดาวเทียม Intelsat จำนวน 3 ทรานสพอนเดอร์ และอีก 26,236,661 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างดาวเทียมใหม่ (ไทยคม -3R)

นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ ยังอยู่ในข่ายที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหา กรณีลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในชินแซท จากไม่ต่ำกว่า 51% เป็นไม่ต่ำกว่า 40% โดยไม่เสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา เข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติร่วมทุน ปี 2535

นอกจากคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช.แล้ว ยังต้องจับตามองการดำเนินงานของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริงจำนวน 1,419 ล้านหุ้น ก.ล.ต.จะดำเนินคดีกับบุคคลต่างๆ ทั้ง นายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.พินทองทา ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่อ้างว่าซื้อหุ้นมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร หรือไม่

ขณะเดียวกันก็ต้องจับตามองว่ากรมสรรพากรจะหยิบยกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติส่งหนังสือให้กรมสรรพากรทบทวนการคืนภาษี พร้อมกับเรียกเก็บภาษีเงินได้ จากบริษัท ชินแซท ประมาณ 377 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าเงินค่าสินไหมทดแทนความเสียหาย ของดาวเทียมไทยคม 3 จากกระทรวงไอซีทีจำนวน 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ขึ้นมาปัดฝุ่นด้วยหรือไม่

ส่วนการดำเนินการทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายจากการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ชินคอร์ป ประเด็นนี้ กระทรวงไอซีที จะเป็นแม่งานหลักที่ต้องพิจารณาว่าการแก้ไขสัญญาต่างๆ ทำให้รัฐเสียหายเป็นมูลค่าเท่าใด จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตรัฐมนตรี ข้าราชการ คณะกรรมการ กสท และคณะกรรมการทีโอที รวมทั้งบริษัทชินคอร์ป อย่างไร

ที่สำคัญต้องพิจารณาด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไรกับสัญญาสัมปทานที่มีการแก้ไขในลักษณะ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทในเครือชินคอร์ป ซึ่งประเด็นนี้คงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ

"ต้องไม่ลืมว่า ผู้ถือหุ้นชินคอร์ปนั้นไม่ได้มีแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว แต่ยังมีนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อยอีกจำนวนมาก การดำเนินการต่างๆ จึงต้องรอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน เหมือนกรณีมาบตาพุด"


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 02/102736/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Mar 07, 2010 11:09 am

"สุธรรม มลิลา-ศุภชัย พิศิษฐวานิช"
สองคีย์แมนยุคแก้สัญญาพรีเพด-โรมมิ่ง


Image

จากกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
หรือ ป.ป.ช. ได้หยิบยกกรณีที่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) แก้ไขสัญญาสัมปทาน


ให้แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส สองกรณีขึ้นมาตรวจสอบ ได้แก่ 1.การแก้ไขสัญญาปรับลดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงิน พรีเพด หรือ PREPAID ที่เอไอเอส ต้องจ่ายให้แก่ทีโอทีจาก 25-30% เหลือ 20% เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2544

2.การแก้ไขสัญญาสัมปทานให้เอไอเอส อนุญาตให้เอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมของบริษัท ดิจิตอลโพน จำกัด (ดีพีซี) บริษัทที่ได้รับสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่จาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) พร้อมกับยินยอมให้เอไอเอส นำค่าใช้จ่ายด้านโรมมิ่ง ที่เอไอเอสต้องจ่ายให้บริษัทอื่นมาหักออกจากรายรับก่อนจ่ายส่วนแบ่งรายได้สัมปทานให้แก่ทีโอที

ดูเหมือนประเด็นสำคัญที่ ป.ป.ช. จะเข้าไปตรวจสอบ นอกจากจะเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกายังวินิจฉัยว่า ขัดกับ พ.ร.บ.ร่วมทุน ปี 2535 อีกด้วย เพราะไม่ได้เสนอให้ ครม.พิจารณา

เมื่อมองย้อนกลับไปพบว่า การแก้ไขสัญญาทั้ง 2 ครั้งของทีโอทีเกิดขึ้นในยุค นายสุธรรม มลิลา เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ มีนายศุภชัย พิศิษฐวานิช อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการ ทีโอที ส่วนกรรมการ ประกอบด้วย พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม นายวันชัย ศารทูลทัต พล.อ.ต.บุญฤทธิ์ รัตนะพร นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ นายสุรินทร์ ดุลย์วัฒนจิต

สำหรับการปรับลดส่วนแบ่งรายได้พรีเพด เกิดขึ้นจากข้อเสนอของเอไอเอส แต่คณะกรรมการกลั่นกรองวาระการประชุมคณะกรรมการทีโอทีได้พิจารณาแล้ว มีเงื่อนไขว่าการปรับลดครั้งนี้เอไอเอส ต้องลดค่าบริการให้กับประชาชนด้วย จึงมีมติให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ไปเจรจากับเอไอเอสในวันที่ 4 เม.ย. 2544

จากนั้นเพียงหนึ่งวัน ฝ่ายบริหารผลประโยชน์และฝ่ายการเงินและงบประมาณ ได้ร่วมจัดทำเอกสารผลการเจรจา ระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส ในประเด็นต่างๆ รวมทั้งข้อเสนอการลดอัตราการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ จากบริการโทรศัพท์ระบบเติมเงิน ONE-2-CALL ให้เอไอเอสจาก 25% เหลือ 20% ของมูลค่าหน้าบัตร ก่อนที่คณะกรรมการทีโอที ที่มี นายศุภชัย พิศิษฐวานิช ประธานอนุมัติ โดยเอไอเอสและทีโอที ได้ร่วมกันลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญา เพื่อแก้ไขส่วนแบ่งรายได้ที่เอไอเอส ต้องจ่ายให้แก่ทีโอที จาก 25% เหลือ 20% ในวันที่ 15 พ.ค. 2544

ในขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เจ้าหน้าที่ ทีโอที ทุกคน ยืนยันตรงกันว่าฝ่ายปฏิบัติการได้นำเสนอแผนการจัดเก็บรายได้จาก เอไอเอส ในหลายรูปแบบ โดยคำนวณจากข้อมูลที่ปรึกษาทางการเงินจากหลายบริษัท และได้เสนอรายงานให้กับคณะกรรมการ ทีโอที พิจารณาให้เก็บรายได้จากบริการระบบ พรีเพด ในอัตรา 22% แต่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เรียกเก็บอัตรา 20% ตามข้อเสนอของ เอไอเอส

นอกจากนี้ยังพบว่านายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ไม่ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการทีโอทีที่มีมติอนุมัติให้แก้ไขสัญญาทั้ง 2 ครั้ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำวินิจฉัยตอนหนึ่งระหว่างพิพากษาคดียึดทรัพย์ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่า

การที่คณะกรรมการ ทีโอที พิจารณาแล้ว มีมติให้ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ เป็นแบบคงที่ ในอัตรา 20% แล้วแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา โดยไม่มีกำหนดให้เพิ่มอัตราส่วนแบ่งรายได้ตามระยะเวลาของสัญญา เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาในสาระสำคัญ ทำให้ ทีโอที จะต้องขาดผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับตามสัญญาหลักอยู่แล้ว แต่กลับเป็นผลให้บริษัท เอไอเอส ได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2544 อันเป็นวันที่มีการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมสัญญาหลักในครั้งที่ 6

ศาลฎีกายังวินิจฉัยว่า “ผลของการดำเนินการทำให้ภาระต้นทุนของบริษัท เอไอเอส ลดน้อยลงก่อให้เกิดประโยชน์แก่บริษัท เอไอเอส ในด้านจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพด ทำให้รายได้จากค่าใช้บริการที่ได้รับเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ปี 2544-2549 บริษัท เอไอเอส มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพด เพิ่มขึ้นในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก จากที่มีจำนวน 297,000 ราย ในปี 2543 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2,288,500 รายในปีถัดมา และทวีจำนวนขึ้นเป็นลำดับ จนถึงปี 2549 มีผู้ใช้บริการถึง 17,279,100 ราย กับมีรายได้จริงสำหรับค่าใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยจากที่มีรายได้ในปีสัมปทานที่ 11 ในช่วงเดือนตุลาคม 2543 ถึงกันยายน 2544 จำนวน 2,225,560,000 บาท เพิ่มเป็น 17,098,890,000 บาท ในปีสัมปทานที่ 12 ในช่วงเดือนตุลาคม 2544 ถึงเดือนกันยายน 2545 และทวีจำนวนขึ้นในแต่ละปีสัมปทาน

กระทั่งในปีสัมปทานที่ 16 ช่วงเดือนตุลาคม 2548 ถึงกันยายน 2549 มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 57,375,880,000 บาท แต่รายได้ในส่วนที่ให้บริการแบบโพสต์เพดกลับลดลงจากที่เคยได้รับในปีสัมปทานที่ 11 จำนวน 34,752,080,000 บาท เป็น 37,767,710,000 บาท ในปีสัมปทานที่ 12 แล้วลดลงเป็นลำดับในแต่ละปีสัมปทาน จนกระทั่งลดลงเหลือ 21,171,390,000 บาท ในปีสัมปทานที่ 16

แม้รายได้ในภาพรวมที่เพิ่มขึ้นจะเป็นผลให้ ทีโอทีได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่หากปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้เป็นจำนวนที่เหมาะสม และเป็นแบบอัตราก้าวหน้าแล้ว ผลประโยชน์ตอบแทนที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้แก่ โทโอทีย่อมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจากที่เป็นอยู่ไปด้วย

ส่วนการแก้ไขสัญญาโรมมิ่ง ศาลฎีกาฯได้มีคำพิพากษาในเรื่องนี้ว่า “การไม่ปฏิบัติตามสัญญาหลัก ด้วยการนำค่าใช้จ่าย ค่าเครือข่ายร่วม ซึ่งบริษัท เอไอเอส จะต้องรับผิดชอบตามสัญญา มาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้ ย่อมเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ทีโอที ที่ไม่ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการใช้บริการของลูกค้าเท่าจำนวนครั้งต่อนาทีที่มีการใช้บริการเครือข่ายร่วมกับเครือข่ายอื่น

นับจากวันที่สัญญาแก้ไขมีผลบังคับ เดือนตุลาคม 2545 ถึงเดือนเมษายน 2551 ปรากฏจากรายงานการตรวจสอบว่า บริษัท เอไอเอส ใช้เครือข่ายร่วม 13,283,420,483 นาที คิดเป็นเงิน 6,960,359,401 บาท เงินจำนวนดังกล่าวเป็นประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ได้รับจากการแก้ไขสัญญาที่ไม่ชอบด้วยสัญญาหลัก”

สำหรับ นายสุธรรม มลิลา หลังจากที่พ้นตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทีโอทีแล้ว ได้เข้าไปเป็นกรรมการบริษัท สร้างสิน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทที่รับก่อสร้างหมู่บ้านชินณิชา วิลล์ ที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีต ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ

นายอลงกรณ์ กล่าวหาว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ตามมาตรา 66 ของกฎหมาย ป.ป.ช. จากการถือครองหุ้นในหมู่บ้านชินณิชา วิลล์ ที่มีการใช้ชื่อบุคคลอื่นถือหุ้นแทนนางเยาวภา และกรณีที่บุตรทั้งสามคนของนางเยาวภา ซื้อหุ้นจาก 4 บริษัทเอกชน เป็นเงินมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 03/102965/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Mar 07, 2010 11:13 am

วิเคราะห์ปมอุทธรณ์-ถอดถอนศาล "ทักษิณ"ถึงทางตัน-ดับฝันหวนนายกฯ

Image

คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553

ที่ให้ทรัพย์สินจำนวน 46,373,687,454.70 บาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว ตกเป็นของแผ่นดินนั้น ได้ส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงถึงอนาคตทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงขั้นปิดโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเลยทีเดียว

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุพฤติการณ์โดยสรุปว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (2544-2549) ได้ใช้อำนาจนายกฯ กำหนดนโยบาย 5 ประการเอื้อประโยชน์โดยตรงต่อบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป และบริษัทในเครือ ส่งผลให้มูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้น เข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ และมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ

จากคำพิพากษาของศาล เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ซึ่งเขียนล้อมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ในส่วนของคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (รวมถึงนายกรัฐมนตรี) มาตรา 174 ระบุว่า รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (4) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 102 (7) คือ "เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติหรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ"

เมื่อพิจารณาความตามรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวแล้ว ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แทบไม่มีโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีก โดยเฉพาะหากประเทศไทยยังคงปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

และหากมีการทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ ก็จะเกิดคำถามว่าสังคมไทยจะยอมให้ล้มล้างหลักการข้อนี้ อันเป็นสาระสำคัญของคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (นายกรัฐมนตรี) หรือไม่ เพราะหลักการเดียวกันก็มีอยู่และบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดจนพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้นำกลับมาใช้ตลอดมา

นี่คือสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มผู้สนับสนุนต้องตอบ หากจะพยายามนำพาบ้านเมืองไปสู่ทิศทางนั้น

ปิดทางถอดถอนผู้พิพากษา

อีกประเด็นหนึ่งที่กำลังมีข้อถกเถียงกัน ก็คือกรณีที่ฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมล่าชื่อประชาชนเพื่อถอดถอนผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 คนที่เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์ กรณีคำพิพากษาขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตที่เคยวินิจฉัยว่าการตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

มีการกล่าวอ้างว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องถือเป็นที่สุดและผูกพันทุกองค์กร รวมทั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย

อย่างไรก็ดี มีฝ่ายที่ออกมาให้ข้อมูลโต้แย้งแนวทางของทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างน่าสนใจ...

นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการวินิจฉัยกันคนละเรื่อง

โดยศาลรัฐธรรมนูญขณะนั้นวินิจฉัยเพียงว่า พ.ร.ก.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต คณะรัฐมนตรียุคนั้นมีอำนาจตราขึ้นได้ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ (ต้องมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องปัดภัยพิบัติ รวมถึงป้องกันผลกระทบอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่ต้องนำร่างกฎหมายเข้าสภาก่อน) แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาของกฎหมายว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทใดหรือไม่อย่างไร

ส่วนคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการวินิจฉัยในพฤติกรรมของตัวบุคคลว่า เมื่อมีการตรา พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้ว มีการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทของตนเองและพวกพ้อง

“ถ้าศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้ไม่สามารถออกได้ หรือเป็น พ.ร.ก.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เสื้อแดงถึงจะอ้างเหตุไปยื่นถอดถอนผู้พิพากษาได้ แต่ศาลฎีกาฯ ไม่ได้บอกเช่นนั้น เท่ากับว่า พ.ร.ก.ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ไม่ได้ยกเลิกเพิกถอน แต่วินิจฉัยว่ามีการเอื้อประโยชน์กันเกิดขึ้น ดังนั้นเสื้อแดงจึงไม่มีเหตุที่จะยื่นถอดถอนองค์คณะของผู้พิพากษาในคดียึดทรัพย์” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ระบุ

ยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์...ไม่ง่าย

ส่วนความเคลื่อนไหวของทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อาจจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาคดียึดทรัพย์ภายใน 30 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องเอาไว้นั้น

อันที่จริงตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกที่บัญญัติให้มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้บัญญัติให้การพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีเพียงศาลเดียว และคำพิพากษาให้ถือเป็นที่สุด

แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ได้มีบทบัญญัติเพิ่มเติมในมาตรา 278 วรรค 3 และ 4 ว่า "ในกรณีผู้ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ อาจยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคำพิพากษาได้"

แน่นอนว่าหากทีมทนายจะยื่นอุทธรณ์ ก็ต้องใช้ช่องทางตามมาตรานี้

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากศาลฎีกา ให้ข้อมูลกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ยังมีประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดังนี้

1. เมื่อผู้ต้องคำพิพากษาตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องเรียกประชุมเพื่อตั้งองค์คณะที่ไม่ใช่องค์คณะเดิม (ที่พิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์) เพื่อทำหน้าที่พิจารณาว่า อุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษานั้น มี "ข้อเท็จจริงใหม่" หรือไม่

หากมีข้อเท็จจริงใหม่ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงจะรับอุทธรณ์
แล้วจึงจะเข้าสู่กระบวนพิจารณาคดีอีกครั้งหนึ่งว่าอุทธรณ์ฟังขึ้นหรือไม่ แต่หากไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็จะไม่รับอุทธรณ์

2. การยื่นอุทธรณ์จะกระทำได้เฉพาะประเด็น "ข้อเท็จจริง" ไม่สามารถอุทธรณ์ประเด็น "ข้อกฎหมาย" ได้ และที่ผ่านมามีผู้ต้องคำพิพากษาเคยยื่นอุทธรณ์เพียงรายเดียว คือคดีคลองด่านของ นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เพราะไม่เป็นข้อเท็จจริงใหม่

3. จริงๆ แล้วการพิจารณาคดีในระบบไต่สวน (ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) จะไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ เพราะองค์คณะผู้พิพากษามีอำนาจเสาะหาพยานหลักฐานได้เองจากการไต่สวน ข้อเท็จจริงทั้งหมดจึงต้องชัดเจนก่อนมีคำพิพากษา และที่สำคัญ "ข้อเท็จจริงเก่า" ที่ไม่ได้นำมาสืบพยานในกระบวนพิจารณาคดีที่ผ่านมา ย่อมไม่ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่

ดูเหมือนเส้นทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะตีบตันลงทุกที!


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 04/103200/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Sun Mar 07, 2010 11:21 am

"เอ็มดีทีโอที"
เปิดเบื้องหลังรื้อสัญญาโรมมิ่งเอื้อเอไอเอส


Image
วรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที จำกัด (มหาชน)

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2545 นายวรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที จำกัด (มหาชน)

ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ทีโอที นับเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขสัญญาสัมปทานอนุญาตให้บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส นำค่าใช้จ่ายการเข้าไปใช้เครือข่ายร่วม หรือโรมมิ่ง จากผู้ประกอบการรายอื่นหักค่าใช้จ่ายสัมปทาน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่าเป็นการแก้ไขสัญญาที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ที่สำคัญ นายวรุธคนเดียวกันนี้ ยังเป็นพยานปากสำคัญที่บอกว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานให้เอไอเอสสามารถหักค่าใช้จ่ายการเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมของผู้ประกอบการรายอื่น ถือว่าน่าจะไม่ชอบด้วยสัญญาสัมปทานระหว่างทีโอทีกับเอไอเอส และทางเอไอเอสไม่สมควรจะนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักออกจากรายได้ที่เอไอเอสได้รับจากการให้บริการก่อนนำส่งให้กับทีโอที

ตามบันทึกคำให้การของผู้ถูกกล่าวหาหรือพยาน ลงวันที่ 6 ก.ย.2550 นายวรุธให้ปากคำในเรื่องนี้ ว่า การแก้ไขสัญญาและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 7 เกี่ยวกับการใช้เครือข่ายร่วมหรือโรมมิ่ง มีจุดเริ่มต้นมาจากเอไอเอส มีหนังสือลงวันที่ 30 ม.ค.2544 ขอเปิดให้บริการการใช้โครงข่ายร่วมกับบริษัทดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) และขอส่งส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโททีต่อไป

“ขณะนั้นข้าพเจ้า ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว เพราะผู้จัดการฝ่ายผลประโยชน์ส่งเรื่องให้ส่วนจัดการงานผลประโยชน์ที่ 1 พิจารณา ซึ่งมีนายพิพัฒน์ ปทุมวงษ์ เป็นผู้จัดการส่วน แต่ไม่พบว่านายพิพัฒน์ได้พิจารณาเรื่องนี้แต่อย่างใด”

ต่อมาคณะกรรมการทีโอที มีการประชุมครั้งที่ 10/2545 เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2545 วาระที่ 3.2 เรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับเงินประกันการใช้โทรศัพท์และมีมติให้ทีโอทีดำเนินการเจรจาโรมมิ่งให้เครื่องลูกข่าย 1900 MHz ได้กับโครงข่ายของเอไอเอส ในลักษณะ Long Term Roaming โดยเร็ว พร้อมทั้งเจรจาโรมมิ่งกับโครงข่ายอื่นๆ ต่อไปได้ โดยในการประชุมดังกล่าว มี นายศุภชัย พิศิษฐวานิช เป็นประธานกรรมการ ทศท นายสุธรรม มลิลา เป็นผู้อำนวยการและกรรมการ ทศท โดยมีนายโอฬาร เพียรธรรม เป็นรองผู้อำนวยการ ทศท ทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการ ทศท
หลังจากมีมติคณะกรรมการ ทศท ไม่พบว่านายสุธรรมได้สั่งการให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด จนกระทั่งวันที่ 21 ส.ค.2545 เอไอเอส มีหนังสือที่ BR.BR 1760/2545 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ ขอหลักการการใช้เครือข่ายร่วมกัน โดยเอไอเอสจะไม่ส่งส่วนแบ่งรายได้จากการที่ผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาใช้เครือข่ายของเอไอเอส และเมื่อเอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่น เอไอเอสจะนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเข้าไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่นมาหักออกจากรายได้ของเอไอเอส ก่อนนำส่งส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโทที

หลังจากทีโททีได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ในวันเดียวกันมีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองวาระการประชุมของคณะกรรมการบริษัท นายสุธรรมได้มอบหมายให้นายนายวรุธ จัดทำเอกสารเสนอคณะกรรมการทีโอที ในเรื่องหลักการการใช้โรมมิ่งของเอไอเอส เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณา

นายวรุธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ได้ใช้ข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้ว คือ หนังสือของเอไอเอส สวีนที่ 30 ม.ค.2544 และ 3 ก.ย.2544 รวมทั้งสัญญาให้เอไอเอสดำเนินการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ 900 มาประกอบในการพิจารณาจัดทำเอกสาร แต่ไม่มีหนังสือข้อมูลของเอไอเอสในวันที่ 21 ส.ค.2545 และไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมติกรรมการทีโอทีวันที่ 2 พ.ค.2545

การประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองวันที่ 21 ส.ค.2545 ที่มีนายสุธรรมเป็นประธาน นายพิพัฒน์ ผู้จัดการส่วนผลประโยชน์ที่ 1 เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับเอกสารที่นายวรุธจัดทำ ที่ประชุมเห็นว่ารายได้ที่เอไอเอสได้รับจากผู้ประกอบการรายอื่นที่เข้ามาใช้เครือข่ายของเอไอเอสจะต้องนำส่งส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโอทีตามสัญญา โดยไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่นก่อนนำส่งส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโอที

เนื่องจากตามสัญญาอนุญาตให้เอไอเอสดำเนินกิจการ ถือว่าเป็นภาระของเอไอเอสในการลงทุนและออกค่าใช้จ่ายเพื่อขยายการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างครอบคลุมและทั่วถึงตามสัญญาอยู่แล้ว ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองจึงมีมติให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ดำเนินการตามมติที่ประชุมและเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาต่อไป

จากนั้นนายสุธรรมได้บันทึกสั่งการลงวันที่ 22 ส.ค.2545 ให้ผู้อำนวยการฝ่ายผลประโยชน์ให้ช่วยดำเนินการต่อไปตามที่พิจารณาในการประชุมกลั่นกรอง ซึ่งหนังสือดังกล่าวฝ่ายบริหารผลประโยชน์ได้รับเมื่อวันที่ 23 ส.ค.2545 และในวันที่ 26 ส.ค.2548 นายวรุธได้บันทึกสั่งการให้ผู้จัดการงานผลประโยชน์ เพื่อดำเนินการต่อไป

ต่อมานายพิพัฒน์ ผู้จัดการส่วนจัดการงานผลประโยชน์ได้สั่งการให้กองบริหารผลประโยชน์ที่ 1 ดำเนินการตามที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองวาระ

ในวันเดียวกัน เอไอเอสมีหนังสือลงวันที่ 26 ส.ค.2545 ที่ BR.BR 1777/2545 ถึงนายสุธรรมพร้อมสำเนาอีก 1 ชุดให้นายสุวิทย์ สัตยารักษ์วิทย์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ขอปรับหลักการการใช้เครือข่ายร่วมที่ทำไว้ครั้งแรก โดยเอไอเอสขอหักค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่นในอัตราไม่เกิน 3 บาทต่อนาที ทั่วประเทศ และรายได้ที่เอไอเอสได้รับจากผู้ประกอบการรายอื่นที่เข้ามาใช้เครือข่ายของเอไอเอส ในอัตราไม่เกิน 3 บาทต่อนาที ทั่วประเทศ โดยเอไอเอสจะนำรายได้ที่เกิดขึ้นมารวมคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโอทีต่อไป
แต่ในกรณีที่เอไอเอสไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่นซึ่งเอไอเอสต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการรายอื่น จะหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกจากรายได้ที่เกิดจากการให้บริการจากลูกค้าก่อนนำส่งเป็นส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโอที
จากนั้นได้มีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองที่มีนายสุธรรมเป็นประธาน ครั้งที่ 3/2545 วันที่ 28 ส.ค.2545 วาระที่ 4.2 เรื่องหลักการใช้โครงข่าย ที่ประชุมพิจารณาโดยฝ่ายบริหารผลประโยชน์เสนอว่าให้เป็นไปตามสัญญาอนุญาตให้เอไอเอส ดำเนินการ กล่าวคือไม่ให้เอไอเอส หักค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเข้าใช้เครือข่ายร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นก่อนนำส่งรายได้ให้ทีโอที แต่ที่ประชุมมีความเห็นว่าเอไอเอส สามารถหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ จึงมีมติให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ปรับเอกสารวาระโดยให้นำข้อพิจารณาของที่ประชุมมาพิจารณาและใช้ประโยชน์เพื่อนำเสนอคณะกรรมการทีโอทีต่อไป

ต่อมาฝ่ายบริหารผลประโยชน์ได้มีบันทึกที่ ทศท.บย./334 ลงวันที่ 29 ส.ค.2545 ซึ่งนายวรุธเป็นผู้ลงนามแทน ถึงผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายชัยเชวง กฤตยาคม เสนอหลักการใช้เครือข่ายร่วมกัน ของเอไอเอส เพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการทีโอที โดยไม่ได้ปรับปรุงตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2545 แต่อย่างใด

"ระหว่างวันที่ 28-30 ส.ค.2545 หลังจากคณะกรรมการกลั่นกรองมีมติแล้ว ข้าพเจ้าทราบว่าได้มีการแก้ไขร่างสัญญาเดิมที่ฝ่ายบริหารผลประโยชน์มีความเห็นว่าต้องดำเนินการตามสัญญาอนุญาตให้เอไอเอส ดำเนินการตามสัญญา โดยมีการแก้ไขด้วยลายมือชื่อ ของนายโอฬาร เพียรธรรม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่"

ต่อมาวันที่ 30 ส.ค.2545 นายสุธรรม และนายโอฬาร ได้เรียกนายวรุธและนายสุวิทย์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ไปพบเพื่อหารือเรื่องหลักการโรมมิ่งที่เอไอเอสเสนอ โดยมีประเด็นพิจารณาเพิ่มเติมว่าการทำโรมมิ่งเป็นวิธีการใหม่ไม่มีการกำหนดไว้ในสัญญาข้อ 9 ข้อ 16 และข้อ 30 ซึ่งกำหนดไว้ในเรื่องการลงทุนสร้างโครงข่ายและส่งมอบให้เป็นทรัพย์สินของทีโอที ส่วนการโรมมิ่งเป็นการเข้าไปใช้ทรัพย์สินของผู้อื่น

เนื่องจากปริมาณเลขหมายไม่เพียงพอกับความถี่ 7.5 MHz ที่ได้รับการจัดสรร ทำให้เอไอเอสมีขีดความสามารถจำกัดกว่าโครงข่ายอื่น จึงเห็นว่าเอไอเอสมีขีดจำกัดทางเทคนิคไม่สามารถวางโครงข่ายเพิ่มเติมได้อีกจำเป็นต้องไปใช้โครงข่ายร่วมกับผู้ให้บริการรายอื่น เพื่อลดข้อจำกัดทางเทคนิค

ทีโอทีควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้โครงข่ายร่วมในฐานะผู้รับผิดชอบจัดหาคลื่นความถี่ให้คู่สัญญา และเอไอเอสมีรายได้เพิ่มขึ้นของพื้นที่นอกเขตบริการ ทำให้เป็นประโยชน์ทั้งผู้ใช้บริการและรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษจากเดิม เมื่อนำมาแบ่งรายได้โดยหักค่าใช้โครงข่ายก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ น่าจะยอมรับได้

ซึ่งนายพิชัย อยู่คง ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาคณะกรรมการทีโอที ได้เข้ามาระหว่างการหารือ เพื่อรับเอกสารไปดำเนินการแก้ไข ซึ่งสำนักงานเลขาคณะกรรมการทีโอทีได้แก้ไขร่างวาระใหม่ตามผลการพิจารณาในวันที่ 30 ส.ค.2545 เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการทีโอทีพิจารณา ในวันที่ 5 ก.ย.2545

อย่างไรก็ตาม สำนักเลขาคณะกรรมการทีโอที ได้สอบถามนายวรุธว่าเหตุใดเอกสารของฝ่ายบริหารผลประโยชน์จึงไม่ตรงกับวาระที่สำนักเลขาคณะกรรมการจะเสนอให้คณะกรรมการทีโอทีพิจารณา นายวรุธจึงทำบันทึกที่ ทศท.บย.380 ลงวันที่ 2 ก.ย.2545 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่เพื่อชี้แจงเหตุผลดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 5 ก.ย.2545 ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริษัท ทีโอที ครั้งที่ 4/2545 วาระที่ 3.5 เพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการใช้เครือข่ายร่วม โดยคณะกรรมการมีมติ อนุมัติให้เอไอเอสทำโรมมิ่งกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ ในกรอบอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วมกันนาทีละไม่เกิน 3 บาท ทั่วประเทศ

พร้อมอนุมัติวิธีการคำนวณส่วนแบ่งรายได้ตามที่บริษัทเสนอ คือ (1) กรณีที่ผู้บริหารรายอื่นมาโรมมิ่งกับเครือข่ายของบริษัท รายได้จากการโรมมิ่ง ที่จะคิดในอัตรานาทีละไม่เกิน 3 บาททั่วประเทศ บริษัทจะนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโอทีและ (2) กรณีที่บริษัทไปโรมมิ่งกับเครือข่ายของผู้ให้บริการรายอื่นในอัตราค่าโรมมิ่งนาทีละไม่เกิน 3 บาททั่วประเทศ บริษัทจะนำรายได้จากค่าใช้จ่ายที่บริษัทเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการหักด้วยค่าโรมมิ่งดังกล่าวก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้กับทีโอที

หลังจากคณะกรรมการทีโอทีมีมติแล้วนายสุธรรมในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้ลงนามกับเอไอเอสตามข้อตกต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 7 โดยการลงมติดังกล่าวไม่ได้มีการพิจารณาตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนแต่อย่างใด

"ความเห็นของข้าพเจ้าเห็นว่าการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 7 เกี่ยวกับหลักการการใช้เครือข่ายร่วม โดยที่เอไอเอสสามารถหักค่าใช้จ่ายการเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมของผู้ประกอบการรายอื่นถือว่าน่าจะไม่ชอบด้วยสัญญาดำเนินการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ 900 ตามข้อ 9 ข้อ 16 และข้อ 30 และทางเอไอเอสไม่สมควรจะนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักออกจากรายได้ที่เอไอเอสได้รับจากการให้บริการก่อนนำส่งให้กับทีโอที"


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 06/103641/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby loginofu » Sun Mar 07, 2010 11:46 am

มหากาพย์ยาวเฟื้อย.......
แต่ ยังมีต่อภาคสอง...........เอิ๊ก
http://www.prachathon.org/forum/index.php
ทางเข้าบอร์ดสำรอง http://siamseri.orgfree.com/
ประชาทนธิปไตย : ทนได้ก็ทนไป
loginofu
 
Posts: 10316
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:22 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Fri Mar 19, 2010 8:10 am

** ขออัฟข้อมุลเรื่องนี้ต่อนะคะ ...

"สุธรรม" อุ้ม "เอไอเอส" แก้สัญญาโรมมิ่ง
ช่วยเอกชนลดรายจ่ายสร้างเครือข่าย


Image

กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานอนุญาตให้บริษัท เอไอเอส
นำค่าใช้จ่ายการเข้าไปใช้เครือข่ายร่วม หรือ โรมมิ่ง ทำให้เสียหายกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท


นายสุธรรม มลิลา อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน การแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส หนึ่งในบุคคลที่อยู่ในข่ายที่จะถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหากรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานอนุญาตให้บริษัท เอไอเอส นำค่าใช้จ่ายการเข้าไปใช้เครือข่ายร่วม หรือ โรมมิ่ง จากผู้ประกอบการรายอื่นหักค่าใช้จ่ายสัมปทาน จนทำให้ ทีโอที ได้รับความเสียหายตลอดอายุสัญญาสัมปทาน กว่า 2-3 หมื่นล้านบาท

กรณีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่า "การไม่ปฏิบัติตามสัญญาหลัก ด้วยการนำค่าใช้จ่าย ค่าเครือข่ายร่วม ซึ่งบริษัทเอไอเอส ต้องรับผิดชอบตามสัญญา มาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้ ย่อมเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทีโอที ที่ไม่ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการใช้บริการของลูกค้าเท่าจำนวนครั้งต่อนาที ที่มีการใช้บริการเครือข่ายร่วมกับเครือข่ายอื่น"


นับจากวันที่สัญญาแก้ไขมีผลบังคับเมื่อเดือนต.ค. 2545 ถึงเดือนเม.ย. 2551 ปรากฏจากรายงานการตรวจสอบพบว่า บริษัท เอไอเอส ใช้เครือข่ายร่วม 13,283,420,483 นาที คิดเป็นเงิน 6,960,359,401 บาท เงินจำนวนดังกล่าวเป็นประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ได้รับจากการแก้ไขสัญญาที่ไม่ชอบด้วยสัญญาหลัก

อย่างไรก็ตาม หากพลิกกลับไปดูคำให้การของ นายสุธรรม ที่ให้ไว้ต่อ คตส. กลับมีมุมมองในเรื่องนี้ว่า หลักการของการใช้เครือข่ายร่วมคือ การให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างเครือข่ายสามารถ เข้าไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่นได้ ซึ่งจะทำให้การติดต่อสื่อสารของผู้ประกอบการในกรณีที่เครือข่ายหนาแน่น หรือไม่มีเครือข่ายในพื้นที่นั้นสามารถใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่นได้ ทำให้สะดวกในการติดต่อสื่อสารและผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างเครือข่ายของตนเอง

ส่วนการแก้ไขสัญญาและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 7 กับบริษัทเอไอเอส ในเรื่องหลักการการใช้เครือข่ายร่วมนั้น นายสุธรรม บอกว่ามีที่มาจากการที่บริษัทเอไอเอส ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 ม.ค. 2544 และ 3 ก.ย. 2545 ซึ่งฝ่ายบริหารผลประโยชน์อยู่ระหว่างการพิจารณา

ต่อมาบริษัทเอไอเอสได้มีหนังสือลงวันที่ 21 ส.ค. 2545 ถึงนายสุธรรม ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอทีขณะนั้น ขอหลักการใช้เครือข่ายร่วมกัน โดยบริษัทเอไอเอส จะไม่ส่งส่วนแบ่งรายได้จากการที่ผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาใช้เครือข่ายของ เอไอเอส และเมื่อบริษัทเอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่น บริษัทเอไอเอสจะนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเข้าไปใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายอื่น มาหักออกจากรายได้ของบริษัทเอไอเอส ก่อนนำส่งส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ทีโอที

วันเดียวกันนั้นเองได้มีการประชุม คณะกรรมการกลั่นกรองวาระการประชุมคณะกรรมการทีโอที ครั้งที่ 2/2545 มีนายสุธรรม เป็นประธาน ได้หยิบยกหนังสือของบริษัทเอไอเอส ที่เสนอมาถึงนายสุธรรม ขึ้นมาพิจารณาวาระที่ 4 เรื่องอื่นๆ แต่นายสุธรรม ยืนยันว่าเรื่องนี้ได้มีการจัดวาระไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่เพราะสืบเนื่องจากหนังสือของบริษัทเอไอเอสลงวันที่ 21 ส.ค. 2545

“ข้าฯไม่ได้สั่งให้พิจารณาเรื่องนี้โดยด่วนในวันนั้น ตามรายงานการประชุมวาระที่ 4.12 ผลการพิจารณามีประเด็นที่ไม่ให้ เอไอเอส หักค่าใช้จ่ายโรมมิ่ง ก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอที และให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ดำเนินการ หลังการประชุมข้าฯ ได้สั่งการในหนังสือของ เอไอเอส ให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ดำเนินการตามมติของที่ประชุมดังกล่าว”

นายสุธรรม บอกด้วยว่า ต่อมาเข้าได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ครั้งที่ 3/2545 เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2545 เพื่อพิจารณาเรื่องหลักการการใช้เครือข่ายร่วมของเอไอเอในวาระที่ 4.2 ผลการประชุมให้เอไอเอสหักค่าใช้จ่ายโรมมิ่ง ก่อนนำมาคำนวณแบ่งรายได้ให้ทีโอที ซึ่งไม่ตรงกับข้อเสนอของฝ่ายบริหารผลประโยชน์ที่มีความเห็นว่าไม่ให้หักค่าโรมมิ่งก่อนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ และให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ปรับเอกสารแล้วนำเสนอคณะกรรมการทีโอทีโดยเร็วต่อไป

หลังจากนั้นฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ไปดำเนินจัดทำเอกสารเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการทีโอที ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง สอดคล้องกับคำให้การของ นายวรุธ สุวกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที จำกัด (มหาชน) ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ทีโอที ที่ระบุว่า "ฝ่ายบริหารผลประโยชน์มีความเห็นไม่ให้บริษัท เอไอเอส หักค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเข้าใช้เครือข่ายร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่น ก่อนนำส่งรายได้ให้ทีโอที แต่ที่ประชุมมีความเห็นว่า บริษัทเอไอเอส สามารถหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้"

ต่อมาฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ได้มีบันทึกที่ทศท.บย./334 ลงวันที่ 29 ส.ค. 2545 ซึ่ง นายวรุธ เป็นผู้ลงนามแทน ถึงผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายชัยเชวง กฤตยาคม เสนอหลักการใช้เครือข่ายร่วมกัน ของบริษัทเอไอเอส เพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการทีโอที โดยไม่ได้ปรับปรุงตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2545 แต่อย่างใด โดยยังคงยืนยันไม่ให้บริษัทเอไอเอสหักค่าใช้จ่ายโรมมิ่งก่อนจ่ายส่วนแบ่งรายได้

นายวรุธ บอกด้วยว่า หลังจากนั้นกลับมีการแก้ไขเอกสารที่ ฝ่ายบริหารผลประโยชน์จะเสนอให้คณะกรรมการทีโอที พิจารณา โดยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ จนทำให้เอกสารที่เสนอคณะกรรมการไม่ตรงกัน และเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2545 ก่อนที่จะประชุมคณะกรรมการทีโอที นายสุธรรม และ นายโอฬาร เพียรธรรม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้เรียกนายวรุธ และผู้จัดการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ไปหารือเรื่องโรมมิ่งรอบนอก ก่อนจะมีความเห็นให้บริษัทเอไอเอส หักค่าใช้จ่ายโรมมิ่งก่อนจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอที

ประเด็นนี้ นายสุธรรม อ้างว่าเขาไม่ทราบว่ามีข้อขัดแย้งในเรื่องการนำเสนอคณะกรรมการทีโอทีของฝ่ายบริหารผลประโยชน์กับมติของคณะกรรมการกลั่นกรอง และมีการประชุมนอกรอบ เพื่อแก้ไขเอกสารวาระเพื่อเสนอคณะกรรมการทีโอทีแต่อย่างใด

นายสุธรรม มองว่าการอนุมัติโรมมิ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ใช้บริการ โดยรัฐไม่เสียประโยชน์แต่อย่างใด นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มเติมจากการโรมมิ่งด้วย

เขายังมีความเห็นว่า การที่บริษัทเอไอเอส ไปใช้เครือข่ายร่วมของผู้ประกอบการรายอื่น โดยไม่ลงทุนสร้างสถานีโครงข่ายของตนเองเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถให้บริการผู้ใช้บริการของตนเองได้อย่างทั่วถึงนั้น ไม่เป็นการทำผิดสัญญาอนุญาตให้บริษัทเอไอเอส ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ข้อ 4 ข้อ 9 ข้อ 16 และข้อ 30 แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการลดต้นทุนการสร้างเครือข่ายของตนเอง แต่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง และความถี่ 7.5 MHz ที่ทีโอที จัดสรรให้แก่เอไอเอส

“เมื่อเทียบกับปริมาณผู้ใช้บริการของเอไอเอสนั้นถือว่าน้อยมาก ซึ่งความถี่เป็นตัวบังคับว่าจะสามารถสร้างสถานีฐานได้จำนวนเท่าใด เอไอเอสจึงจำเป็นต้องใช้เครือข่ายร่วมของผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งมิใช่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอไอเอสแต่อย่างใด หากเอไอเอสไม่สามารถขยายสถานีฐานได้และทีโอทีไม่อนุญาตให้เอไอเอส ทำการโรมมิ่งกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ จะทำให้มีผู้ใช้บริการน้อยลงและทีโอทีจะไม่ได้รับรายได้ในส่วนนี้" คำพูดของนายสุธรรมที่ให้ปากคำไว้กับ คตส.

อย่างไรก็ตาม นายสุธรรมปฏิเสธว่า ไม่ทราบว่าบริษัทเอไอเอสถือหุ้นในบริษัทดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) เป็นจำนวนเท่าใด และไม่ทราบว่าดีพีซีทำสัญญาเช่าสถานีฐานของบริษัทเอไอเอส เพื่อให้บริการลูกค้าของตน แทนการสร้างสถานีฐาน กรณีดังกล่าวฝ่ายบริหารผลประโยชน์มีหน้าที่ต้องดูแลและตรวจสอบให้คู่สัญญาของทีโอทีปฏิบัติตามสัญญา

รวมทั้งไม่ทราบว่าดีพีซีสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการเข้าไปใช้เครือข่ายของเอไอเอสมาหักออกจากรายได้ที่ดีพีซีได้รับจากการให้บริการก่อนนำส่งส่วนแบ่งรายได้แก่ กสท หรือไม่

นอกจากนี้ เขายังมีความเห็นว่า ทีโอที ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ร่วมทุน พ.ศ. 2535 และรัฐก็ไม่เสียหายจากการที่คณะกรรมการทีโอทีอนุมัติให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีการใช้เครือข่ายร่วม รวมทั้งปฏิเสธด้วยว่า เขาและบุคคลในครอบครัว ไม่รู้จักหรือสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว หรือญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด
นายสุธรรม บอกด้วยว่า หลังจากเกษียณจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอทีแล้ว ในปี 2546 เข้าได้ทำงานเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น ในบริษัทสร้างสิน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้นจำนวน 10% เป็นบริษัทเดียวกันกับที่รับก่อสร้างหมู่บ้านชินณิชา วิลล์


ที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีต ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ โดยกล่าวหา นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ตามมาตรา 66 ของกฎหมาย ป.ป.ช. จากการถือครองหุ้นในหมู่บ้านชินณิชา วิลล์ ที่มีการใช้ชื่อบุคคลอื่นถือหุ้นแทนนางเยาวภา และกรณีที่บุตรทั้งสามคนของนางเยาวภา ซื้อหุ้นจาก 4 บริษัทเอกชน เป็นเงินมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 08/103721/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Fri Mar 19, 2010 8:11 am

เปิดคำให้การ "พิพัฒน์ ประทุมวงษ์" กุญแจสำคัญ...แก้สัญญาโรมมิ่ง

Image

กล่าวกันว่า นายพิพัฒน์ ประทุมวงษ์
อดีตผู้จัดการส่วนงานผลประโยชน์ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) คือ "กุญแจสำคัญ"


ที่นำไปสู่การคลี่คลายปมปัญหาการอนุมัติให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส นำค่าใช้จ่ายการเข้าไปใช้เครือข่ายร่วม หรือโรมมิ่ง จากผู้ประกอบการรายอื่น มาหักออกจากรายได้ก่อนจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาสัมปทานให้แก่ทีโอที จนทำให้ทีโอทีได้รับความเสียหายตลอดอายุสัญญาสัมปทานกว่า 2 หมื่นล้านบาท

นายพิพัฒน์ อดีตผู้จัดการส่วนงานผลประโยชน์ ทีโอที ให้ปากคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาโรมมิ่งยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวเกิดจากข้อเสนอของเอไอเอส ที่มีหนังสือลงวันที่ 30 ม.ค. 2544 ขอเปิดให้บริการการใช้เครือข่ายโรมมิ่ง ของเอไอเอสกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ดีพีซี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2544 โดยเอไอเอสจะส่งส่วนแบ่งตามสัญญาสัมปทาน

หลังจากได้รับหนังสือนายพิพัฒน์ ได้ส่งการให้นางพจนีย์ ไทยจินดา ผู้จัดการกองบริหารผลประโยชน์ที่ 1 ดำเนินการต่อตามสายงาน แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับการอนุมัติเอไอเอส ก็มีหนังสือวันที่ 3 ก.ย. 2544 แจ้งว่า เอไอเอส ได้ให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท AIS เข้ามาใช้เครือข่ายโรมมิ่ง ในพื้นที่เดียวกัน 6 บาทต่อนาที และต่างพื้นที่ 12 บาทต่อนาที โดยบริษัทจะนำส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ทีโอทีตามสัญญา

นายพิพัฒน์ ได้หารือกับนางพจนีย์ ว่าการโรมมิ่ง ให้ผู้บริการรายอื่นเข้ามาใช้เครือข่ายร่วม ทำให้เกิดรายได้และรายได้ดังกล่าวนำมาคำนวณเป็นส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ทีโอที ก็ไม่น่ามีปัญหากับสัญญาหลัก แต่ควรต้องมีการปรับแก้ไขสัญญาให้ครบถ้วน

ต่อมาได้มีการประชุมกรรมการทีโอทีครั้งที่ 1 เมื่อเดือนพ.ค. 2545 ได้มีการพิจารณาเรื่องการคืนประกันระบบโทรศัพท์พื้นฐานระบบ 1900 MHz ซึ่งคณะกรรมการทีโอทีได้มีมติให้ดำเนินการเจรจาโรมมิ่งกับโครงข่ายอื่นๆ ต่อไปได้

จากนั้นได้มีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองวาระเพื่อเสนอคณะกรรมการทีโอที มี นายสุธรรม มลิลา เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2545 นายพิพัฒน์ ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ที่ประชุมได้พิจารณาอนุมัติหลักการการใช้เครือข่ายโรมมิ่งในวาระที่ 4.12

นายพิพัฒน์ ยืนยันว่าการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่ข้อเสนอของฝ่ายบริหารผลประโยชน์ แต่เข้าใจว่า เหตุที่มีการพิจารณาเนื่องจากเอไอเอสมีหนังสือลงวันที่ 21 ส.ค. 2545 ถึงนายสุธรรม เรื่องหลักการการใช้เครือข่ายร่วมกัน นายสุธรรม คงนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม เพื่อพิจารณาและที่ประชุมได้มีมติ ในส่วนของการคำนวณส่วนแบ่งรายได้ จากผู้บริการรายอื่นมาใช้เครือข่ายของเอไอเอส ต้องนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้

ส่วนรายจ่ายของเอไอเอสจากการใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการรายอื่นถือ เป็นภาระหน้าที่ของ เอไอเอส ที่ต้องขยายเครือข่ายให้สามารถรองรับการให้บริการ โดยบริษัทจะเลือกวิธีลงทุนสร้างเครือข่ายหรือใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการรายอื่น

"หลังจากนั้นนายสุธรรมได้สั่งการในหนังสือของเอไอเอส ลงวันที่ 21 ส.ค. 2545 ให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ดำเนินการต่อไป ตามที่พิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองดังกล่าว และฝ่ายบริหารผลประโยชน์ที่ 1 เพื่อดำเนินการ ตามที่ที่ประชุมกลั่นกรองเห็นว่าเอไอเอส ต้องแบ่งรายได้ให้ทีโอที หลังจากนั้นได้ส่งมติคณะกรรมการกลั่นกรองใหฝ่ายบริหารผลประโยชน์ดำเนินการ ซึ่งข้าพเจ้าได้สั่งการให้นางพจนีย์ ดำเนินการต่อไปเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2545"
ต่อมาฝ่ายบริหารผลประโยชน์ที่มีนายพิพัฒน์ รับผิดชอบในการบริหารสัญญากับเอไอเอส ได้เสนอเรื่องหลักการการใช้โรมมิ่ง เพื่อเสนอคณะกรรมการทีโอทีพิจารณา โดยฝ่ายบริหารผลประโยชน์มีความเห็นว่า การคำนวณส่วนแบ่งรายได้ ไม่ควรที่จะต้องหักด้วยค่าโรมมิ่ง ที่เอไอเอสจ่ายให้กับโครงข่ายอื่น

เรื่องนี้ได้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองวาระ ครั้งที่ 3/2545 เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2545 มีนายสุธรรม เป็นประธาน และนายพิพัฒน์ ก็เข้าร่วมประชุมด้วย ที่ประชุมเห็นชอบตามที่เอไอเอสเสนอคือ ให้เอไอเอสหักค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องจ่ายให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ทีโอที

หลังจากนั้น นางพจนีย์ ในฐานะผู้จัดการกองบริหารผลประโยชน์ที่ 1 ได้จัดทำวาระเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการทีโอที ให้นายพิพัฒน์พิจารณา โดยเอกสารที่เสนอยังคงยืนยันหลักการเดิมคือ กรณีบริษัทเอไอเอเอสไปใช้เครือข่ายของผู้ใช้บริการรายอื่น ส่วนแบ่งรายได้ควรคำนวณจากรายได้ค่าบริการที่เอไอเอสเรียกเก็บโดยไม่หักค่าใช้จ่ายของผู้ให้บริการรายอื่น จากนั้นฝ่ายบริหารผลประโยชน์ได้จัดทำบันทึกที่ บย./334 ลงวันที่ 29 ส.ค. 2545 เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการทีโอทีพิจารณา

จากนั้น ทราบว่ามีการปรับแก้เอกสารวาระที่ฝ่ายบริหารผลประโยชน์จัดทำเพื่อเสนอคณะกรรมการทีโอที เนื่องจากเจ้าหน้าที่สำนักเลขานุการคณะกรรมการทีโอที สอบถามมายังฝ่ายบริหารผลประโยชน์ว่าวาระที่จะนำเสนอคณะกรรมการทีโอที พิจารณาในวันที่ 5 ก.ย. 2545 ซึ่งนางพจนีย์ เสนอบันทึกสรุปเรื่องราวความเป็นมาผ่านนายพิพัฒน์ ให้ นายวรุธ สุวกร ลงนาม ถึงนายสุธรรม ตามบันทึกฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ตามบันทึกที่ บย./380/1 ลงวันที่ 2 ก.ย. 2545

โดยสรุปว่า "หลังจากฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ได้เสนอเอกสารวาระตามสายงานแล้ว ในวันที่ 30 ส.ค. 2545 นายสุธรรม นายโอฬาร เพียรธรรม ได้ขอหารือร่วมกับนายสุวิทย์ สัตยารักษ์วิทย์ และนายวรุธ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ได้มีการปรับเอกสารวาระที่จะเสนอให้คณะกรรมการทีโอทีพิจารณา"

จากนั้นได้มีการประชุมคณะกรรมการทีโอที เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2545 มีมติให้เอไอเอส หักค่าโรมมิ่งที่ไปโรมมิ่งกับเครือข่ายอื่นจากค่าใช้บริหารที่เอไอเอสเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้ และมีมติให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ดำเนินการตามมติ

"แต่ข้าพเจ้าและนางพจนีย์ไม่เห็นด้วยกับมติกล่าวโดยยังคงยืนยันความเห็นเดิมว่าไม่ควรให้เอไอเอสหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวก่อนคำนวณส่วนแบ่งรายได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2545 นายวรุธ ในฐานะรักษาการแทนผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ ได้มีบันทึกเลขที่ ทศท. บย. /561 ลงวันที่ 16 ก.ย. 2545 ถึงผู้อำนวยการสำนักฝ่ายกฎหมาย ขอให้พิจารณาตรวจร่างข้อตกลง ตามมติของคณะกรรมการทีโอที เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2545 ถึงผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ขอให้พิจารณาตรวจร่างข้อตกลงตามมติของคณะกรรมการทีโอที เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2545 "

หลังจากนั้น ฝ่ายกฎหมายได้มีบันทึกที่ ทศท. กม./106 ลงวันที่ 18 ก.ย. 2545 ส่งร่างข้อตกลงต่อท้ายสัญญาที่ได้พิจารณาปรับปรุงมาให้ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลประโยชน์ นายวรุธ จึงสั่งให้นายพิพัฒน์ ดำเนินการ นายพิพัฒน์ จึงมีบันทึกสั่งการที่ 19 ก.ย. 2545 ให้นางพจนีย์ ดำเนินการตรวจสอบกับมติคณะกรรมการทีโอที ก่อนส่งเอไอเอสรับรอง

แต่ยังไม่ทันที่นางพจนีย์ได้ดำเนินการเสนอตามคำสั่งของนายพิพัฒน์ นายวรุธได้ทำบันทึกที่ ทศทศ.บย./631 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2545 ลงนามโดยนาย วรุธ เพื่อเสนอนายสุธรรมเห็นชอบและลงนามในข้อตกลงต่อท้ายสัญญาให้เอไอเอส หักค่าใช้จ่ายจากการเข้าไปใช้โรมมิ่งจากผู้ประกอบการรายอื่นก่อนนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้สัมปทานให้แก่ทีโอทีตามสัญญา

นายพิพัฒน์ ยืนยันว่าบันทึกข้อตกลงที่เสนอให้มีการลงนาม ไม่ใช่บันทึกที่เขารับผิดชอบในการบริหารสัญญาดังกล่าว แต่เข้าใจว่าเป็นการดำเนินการของนายวรุธ และปรากฏว่านายสุธรรม ได้เห็นชอบและลงนามในข้อตกลงดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2545

“ส่วนตัวเห็นว่าการโรมมิ่ง เป็นการลงทุนของบริษัทที่บริษัทต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ในการขยายเครือข่ายการให้บริการ และมีภาระหน้าที่ตามสัญญาหลัก ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยสัญญาหลัก และไม่มีความสมเหตุสมผล”

ประเด็นนี้ น่าจับตามว่าคำให้การของนายพิพัฒน์ จะทำให้นายวรุธปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 หรือไม่


http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 09/103936/
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Wed May 26, 2010 9:47 am

** ขุดกระทู้นี้อีกครั้ง ... หลังจากไตรภาคคดียึดทรัพย์ผ่านไป
ว่ามีที่มาที่ไปของการคดในข้องอในกระดูก .. ล้างผลาญโกงกินบ้านเมืองไปอย่างไรบ้าง
สำหรับคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

วันนี้ .. นอกจากจะโดนคดียึดทรัพย์แล้ว
โจรแผ่นดินคนนี้ยังมีข้อหา" ผู้ก่อการร้าย "พ่วงท้ายอีกตามที่ทุกคนทราบว่ามีที่มาจากอะไร


ศาลอนุมัติหมายจับทักษิณข้อหาก่อการร้าย

ในวันนี้ (25 พ.ค.) ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ข้อหาก่อการร้าย
อันเป็นความผิดตามประมวลกม.อาญา ม.135/1/2/3 โดยศาลพิจารณาหลักฐานที่ดีเอสไอนำเข้าไต่สวนที่ผ่านมาแล้ว
เห็นว่า มีหลักฐานพอสมควรเชื่อได้ว่ามีพฤติการกระทำผิดจึงได้อนุมัติหมายจับตามคำร้องของดีเอสไอ


http://www.suthichaiyoon.com/detail/3069


คนเราจะเลวจะจัญไรกันอย่างไร .. สามัญสำนึกเล็ก ๆ มันน่าจะมีอยู่ในใจกันบ้าง
เผาได้แม้แต่กระทั่งบ้านเมืองตัวเอง ..
ทำลายบ้านเกิดตัวเองทุกวิธีทางจากเงินที่โกงแผ่นดินมาทั้งนั้น ...
:!:

ก็ไม่รู้ว่า .. ทางรัฐจะสามารถนำเงินที่ยึดทรัพย์มาใช้ในการเยียวยาฟื้นฟูผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้หรือไม่
เอาเงินที่มันโกงมานะแหละมาชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้น !!
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Tue Jun 15, 2010 11:45 am

** ขุดกระทู้ซักหน่อย ... เขาจะซื้อ ไทยคม คืนแล้ว :!:
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby dahlia » Tue Jun 15, 2010 12:03 pm

see-u wrote:** คงไม่เอาไปแปะในห้องราชหรอกค่ะ ...
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเอาข้อมูลเหล่านี้ไปให้คนที่นั่นอ่าน ...
เสียเวลา .. เปลืองพลังงาน เพราะ พวกเค๊าไม่สนใจหรอก
ห้องราช เน่า เกินกว่าที่จะไปเหยียบแล้วค่ะ
:D


ตอบได้ถูกใจผมมากให้กีบ
ผมเป็นแฟนคลับ แคนไท , ริดกุน , nontee , eAT , Moon , tonythebest , -3- , amplepoor , เด็กปากดี
User avatar
dahlia
 
Posts: 1375
Joined: Mon Oct 12, 2009 2:35 pm

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby see-u » Thu Dec 30, 2010 1:57 pm

** อัฟซักหน่อย ..ทิ้งระยะผ่านมาหลายเดือนแล้วสำหรับข่าว
ล่าสุด : 29 ธันวาคม 2553 >> อ่านกันเองละกัน ( รูปไม่แปะนะ ..เหม็นขี้หน้ามัน )
:roll:

ศาลสั่งงดเก็บภาษี “โอ๊ค-เอม” หมื่นล้าน
ชี้ “แม้ว” เจ้าของหุ้นตัวจริง!


ศาลภาษีอากรกลาง สั่งสรรพากรงดเก็บภาษี โอ๊ค-เอม ซื้อขายหุ้นแอมเพิลริช กว่าหมื่นล้าน ชี้ ทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง

วานนี้ (29 ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ห้องพิจารณา 306 ศาลภาษีอากรกลาง ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งในคดีที่ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน ผู้แทนคดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร, นายสุทธิชัย สังขมณี, นายศิริศักดิ์ พันธ์พยัคฆ์ และ นายณัฎฐภพ อนันตรสุชาติ ซึ่งเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินภาษีของกรมสรรพากร เป็นจำเลยที่ 1-4 เรื่องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินภาษีของนายพานทองแท้ จำนวน 5,677,136,572 บาท และของ น.ส.พิณทองทา จำนวน 5,675,676,860.08 บาท

คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2550 จำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้ แบบ ภ.ง.ด.12 ปี 2549 ว่า โจทก์เสียภาษีไม่ถูกต้อง เนื่องจากตรวจพบว่า เมื่อปี 2549 โจทก์เป็นกรรมการ บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ได้ซื้อหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยทําการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549 จำนวน 164,600,000 หุ้นในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่หุ้นชินคอร์ป มีราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หุ้นละ 49.25 บาท หุ้นชินคอร์ป ที่บริษัท แอมเพิล ริช ขายให้โจทก์เป็นหุ้นชนิดไร้ใบหลักทรัพย์ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ จะนำหุ้นลักษณะนี้ไปฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศไม่ได้ การซื้อหุ้นไม่ว่าในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อลงบันทึกบัญชี ของผู้ฝากหลักทรัพย์ในสำนักหักบัญชีของบริษัทศูนย์ฝากหลักทรัพย์ และพบว่า ได้มีการโอนหลักทรัพย์หุ้นชินคอร์ป จากผู้รักษาทรัพย์ช่วง คือ ธนาคารซิตี้แบงก์ ไปยังโบรกเกอร์ คือ บริษัท หลักทรัพย์ยูบีเอส จำกัด (มหาชน) จำนวน 164,000,000 หุ้น ดังนั้น การซื้อขายหุ้นของโจทก์จึงเป็นการซื้อขายหุ้นในประเทศไทยการที่ บริษัท แอมเพิล ริช ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับโจทก์ในวันดังกล่าว จึงมีผลส่วนต่างที่คำนวณได้เป็นเงิน 7,941,950,000 บาท

ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทแอมเพิล ริช ได้รับประโยชน์ เข้าลักษณะพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 40(2) แต่โจทก์ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 โดยไม่นำเงินได้ส่วนต่างจำนวน 7,941,950,000 บาท มารวมคำนวณเสียภาษี ถือว่า สำแดงรายการต้องเสียภาษีไม่ครบ ดังนั้น โจทก์ทั้งสองจะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับอีก สองเท่า โดยของโจทก์ที่1รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,904,791,172.29 บาท โจทก์ที่ 2 รวม 5,676,860,088 บาท นั้น โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการอุทธรณ์ และต่อมาเมื่อวันที่ 22 ก.ย.52 คณะกรรมการอุทธรณ์ได้ลดภาษีให้บางส่วนแต่ยังคงให้โจทก์ต้องเสียภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ตามเดิม

โจทก์ขออุทธรณ์การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานการประเมิน และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ทุกประเด็น และขอให้ศาลมีคำสั่งปลดภาษี และเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงาน และขอเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯพร้อมขอลดเบี้ยปรับด้วย

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่ อม.1/2553 ระหว่าง อัยการสูงสุด ผู้ร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา (ขณะนั้น) ผู้คัดค้านที่ 1 นายพานทองแท้ ชินวัตร ผู้คัดค้านที่ 2 นางสาวพิณทองทา ชินวัตร ผู้คัดค้านที่ 3 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้คัดค้านที่ 4 กับพวกรวม 22 คน โดยศาลฎีกาฯได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวว่าหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ที่พิพาทในคดีดังกล่าว (ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นหุ้นที่พิพาทในคดีนี้) ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานโดยให้นายพานทองแท้ (โจทก์ที่ 1 ในคดีนี้) และนางสาวพิณทองทา (โจทก์ที่ 2 คดีนี้) เป็นผู้ถือหุ้นแทนในระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณได้โอนหุ้นจำนวน 32,900,000 หุ้น ให้แก่บริษัท แอมเพิลริช โดย พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงอยู่

ต่อมาบริษัท แอมเพิลริช ได้มีการจดทะเบียนลดมูลค่าหุ้นจากที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เหลือหุ้นละ 1 บาท ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า และเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2549 บริษัท แอมเพิลริช ได้โอนหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดให้นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา คนละ 164,600,000 หุ้น ต่อมาในวันที่ 23 ม.ค.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รวบรวมหุ้นของบริษัท ชินคอร์ป ที่ตนเองยังคงเป็นเจ้าของที่แท้จริงขายให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ เงินที่ได้มาจากการขายหุ้นดังกล่าวตลอดจนเงินปันผลของหุ้นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมในขณะที่ดำรงตำแหน่ง และศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาให้ยึดเงินที่ได้จากการขายหุ้น รวมทั้งเงินปันผลของหุ้นดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากนายพานทองแท้ และ นางสาวพิณทองทาโจทก์ทั้งสองมีฐานะเป็นคู่ความอยู่ในคดีดังกล่าว และแม้ว่ากรมสรรพากรจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในคดีนี้ จะมิได้เป็นคู่ความโดยตรงในคดีดังกล่าวแต่ก็ถือเป็นหน่วยราชการและเจ้า พนักงานของรัฐในการปฏิบัติราชการตามกฎหมายเช่นเดียวกับอัยการสูงสุดซึ่งเป็น ผู้ร้องในคดีดังกล่าว ย่อมถือว่าคู่ความในคดีดังกล่าวและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยไว้ว่าหุ้นที่พิพาทยังคงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน จึงมีผลผูกพันคู่ความในคดีนี้ด้วยตามกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29

ดังนั้น จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่านายพานทองแท้ และ นางสาวพิณทองทา มิใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นที่พิพาท เงินได้ที่เกิดขึ้นจากการขายหุ้นดังกล่าว จึงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่ผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่อาจคิดคำนวณได้เป็นเงินอันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 150,000 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการฟังคำพิพากษาในวันนี้นานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ฝ่ายโจทก์มีนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ทนายความและผู้ติดตามอีก 3 คนเดินทางมาศาล ส่วนฝ่ายจำเลยไม่มีจำเลยหรือผู้แทนมาศาลแต่อย่างใด

ภายหลังทนายความโจทก์ กล่าวว่า หลังจากนี้ ก็จะรายงานผลคำพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองทราบ ซึ่งเชื่อว่า ศาลได้พิจารณาด้วยความเป็นธรรม และหากว่ากรมสรรพากรจะยื่นอุทธรณ์ ก็สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย ฝ่ายโจทก์ก็จะรวบรวมหลักฐานต่อสู้คดีต่อไป


http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews ... 0000183338


** เหอะ ๆ ............
* See - U Never Die *

** ข้ออ้างจากพวกหิวคะแนน..

แมงสาบ : ไม่เลือกเราเขา (แม้ว) มาแน่
ตะกวดแดง : เลือกเรา "แม้ว"จะกลับมา


ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา : ถ้าไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก พรรคการเมืองอย่าดูถูกประชาชน
User avatar
see-u
 
Posts: 5073
Joined: Mon Oct 13, 2008 10:04 am

Re: * ไตรภาคคดียึดทรัพย์ .. ทักษิณ

Postby kritz » Thu Dec 30, 2010 2:02 pm

ตอนแรกก็เกือบไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินนะครับ แต่พอมาคิดอีกที ถ้าเป็นทรัพย์สินไอ้แม้ว แสดงว่า คลังยึดได้น่ะสิครับ เพราะคดีทุจริตคอรัปชั่น ยังมีอีกเยอะรอจัดเก็บ ...หุหุหุ

:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
I'm a PAD, not a Democrat!

Honestly is the best policy!
ประชาทนธิปไตย คลิกเบาๆ
User avatar
kritz
 
Posts: 2276
Joined: Fri Nov 07, 2008 12:52 pm
Location: ภูเก็ต

Previous

Return to สภากาแฟ



cron