Robert De Niro wrote:ตกลงจะไม่ตอบผมเหรอ ว่าหลักเขตที่ปักครั้งแรกอยู่ที่ไหน
saopao wrote:Robert De Niro wrote:ตกลงจะไม่ตอบผมเหรอ ว่าหลักเขตที่ปักครั้งแรกอยู่ที่ไหน
ขนาดมีข้อมูลพิกัดตรงๆ ปานเทพ ยังพล็อดพิกัดหลักเขตลงในแผนที่ปัจจุบันยังผิดเลย
แล้วจะเอาข้อมูล ที่ไม่แน่นอน พล็อดพิกัดหลักเขต ลงในแผนที่ในอดีตได้ยังไง
finder wrote:...เพราะหลักเขตแรกอยู่ที่ช่องสะงำ มันจะบอกต่อว่าหลักเขตต่อๆไปอยู่ณ.ตำแหน่งทิศใด จนไปถึงหลักสุดท้าย...
Mick wrote:เอ่อ .... คือว่า จะไปหาหลักเขตที่ ๔๖ แต่รู้สึกว่าที่เดินดุ่ยๆนั้น หลักเขต ๔๖ อยู่ข้างหลังไม่ใช่เหรอครับ
antiseptic wrote:ลุงแคนสุดยอดเลยครับ
(หัวใจลุงช่างน่ากราบ)
คนบาป wrote:นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกังวลว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทาง บกปี 2543 หรือเอ็มโอยู 2543 ไปยอมรับแผนที่ของกัมพูชาและจะทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวยืนยันว่า เอ็มโอยูปี 2543 ไม่ได้ไปยอมรับแผนที่ดังกล่าว แต่ทำขึ้นมาเพื่อต้องการให้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดน โดยระหว่างนั้นยังห้ามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปครอบครองหรือทำอะไรในพื้นที่ พิพาทเพิ่มเติม และเมื่อจัดทำหลักเขตแดนแล้ว ยังต้องมาดูอีกทีว่า เราจะยอมรับเขตแดนดังกล่าวหรือไม่ เพราะต้องรายงานต่อรัฐสภาด้วย
00000000000
แต่แป๊ะลิ้ม ไปเอาแผนที่เขมรมาเล่นซะแล้ว
รายละเอียด แถลงข่าว 2/2554
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ตามที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2554 กรณีการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชาจับกุมและปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิจารณาพิพากษาตัดสินลงโทษคนไทยนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นดังต่อไปนี้
1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นเขตอพยพค่ายหนองจาน ที่ชาวกัมพูชาได้อพยพหลบหนีสงครามภายในประเทศ มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2522 และรัฐบาลไทยได้ตระหนักดีว่ามีการมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยจึงมีการล้อมรั้วค่ายอพยพดังกล่าวให้เลยเส้นเขตแดนเข้ามาในประเทศไทย โดยมีจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้ขุดเอาไว้ท้ายหมู่บ้านเพื่อใช้สำหรับเลี้ยงดูชาวอพยพนั้นอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยได้ปรากฏหลักฐานและพยานมามากมายที่ยังมีชีวิตอยู่ในยุคนั้นได้ยืนยันว่าบริเวณดังกล่าวเป็นผืนแผ่นดินไทย เช่น อดีตทหารไทย, อดีตเจ้าหน้าที่กาชาดสากล, อดีตข้าราชการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยที่รับจ้างขุดสระน้ำ ฯลฯ
ดังนั้น จากหลักฐานและพยาน 7 คนไทยที่เดินไปในบริเวณดังกล่าวทั้งๆ ที่ยังเดินไปไม่ถึงสระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้สร้างเอาไว้ในประเทศไทย ถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีความปลอดภัยจากสงคราม จึงย่อมถือว่า 7 คนไทยอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยไม่เคยปรากฏว่ารัฐบาลไทยได้เอื้ออำนวยช่วยเหลือ 7 คนไทยในการชี้แจงประเด็นที่เป็นคุณและข้อเท็จจริงในกรณีนี้ให้กับกัมพูชาแต่ประการใด
2. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ตรวจสอบจากพยานบุคคลและเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินบริเวณหลักเขต 46-47 พบว่า 7 คนไทยยังอยู่ในดินแดนไทย ซึ่งชาวบ้านเจ้าของที่ดินหลายรายซึ่งสูญเสียที่ทำกินจากกรณีที่เขมรมาอพยพอาศัยอยู่ในบริเวณหลักเขตที่ 46-47 ได้ให้ปากคำตรงกันถึง 2 ครั้ง คือวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2554 และวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 ยืนยันว่ากรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ ประเภท ส.ค.1 ของราษฎรไทยอยู่ในบริเวณสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ (ที่ดินของนายหมา อันสมศรี) และรวมถึงทิศตะวันออกของสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ (ที่ดินของนายบุญจันทร์ เกษธาตุ) ตั้งแต่เมื่อ 56 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2498)
ทั้งนี้ เจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าวได้ยืนยันด้วยว่าการลากเส้นปฏิบัติการตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอ้าง และพยายามให้กรมที่ดินสร้างหลักฐานนำที่ดินชาวบ้านไปวางในหลังแนวเส้นปฏิบัติการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ใช่เส้นเขตแดนตามหลักเขตเดิมตั้งแต่ พ.ศ.2498 ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงอาจทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนและอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119, 120 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
จากพยานและหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า หลักเขต 46 และ 47 ที่ใช้อ้างในการปฏิบัติการในปัจจุบันนั้นมีการถูกเคลื่อนย้ายมาแล้วในช่วงที่ชาวกัมพูชาอพยพลี้ภัยมาอยู่ในประเทศไทย เอกสารสิทธิที่ทำกินและการชี้จุดบริเวณที่ดินของชาวบ้านหลายรายยังแสดงให้เห็นว่าเส้นทางเดินของ 7 คนไทยซึ่งยังไม่ถึงสระน้ำขององค์การสหประชาชาตินั้นย่อมอยู่ในดินแดนไทย แต่รัฐบาลไทยก็ไม่เคยให้การสนับสนุนเพื่อใช้ข้อมูลที่เป็นคุณเหล่านี้กับ 7 คนไทย เช่นกัน
3. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่มีมาตรการตอบโต้กดดันใดๆ ที่เป็นรูปธรรมเพื่อหยุดยั้งการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนที่ประเทศไทยซึ่งยังมีข้อพิพาทอยู่ ตามที่ได้ประกาศเอาไว้เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2554 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์ในเวลานั้นว่า “ไม่ว่ากรณีจับกุมจะเกิดขึ้นที่ฝั่งใดก็ตาม เราเห็นว่าบุคคลทั้ง 7 คน ควรจะได้รับการปล่อยตัวทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า ทางฝ่ายนโยบายทั้งสองฝ่ายได้เคยคุยกันว่ากรณีที่เกิดปัญหาในชายแดนลักษณะนี้โดยเฉพาะไม่มีอะไรบ่งบอกว่าคนทั้ง 7 คน มีอาวุธ ไม่ควรที่จะมีการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการของศาล” ดังนั้น กรณี 7 คนไทยที่เดินทางไปในบริเวณดังกล่าวซึ่งปราศจากอาวุธแล้วยังมีการปล่อยให้กัมพูชาแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธและศาลของกัมพูชาในดินแดนไทยหรือดินแดนพิพาท ถือว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลง แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ได้มีมาตรการตอบโต้เพื่อให้กัมพูชาหยุดการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนไทยได้แต่ประการใด
4. นักการเมืองและข้าราชการ ให้ข้อมูลให้เป็นโทษกับคนไทยมาโดยตลอด โดยมีคำสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว รวมถึงข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ซึ่งระบุว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชาแล้ว หรือพูดโน้มน้าวให้คนไทยยอมรับและเคารพอำนาจศาลกัมพูชา หรือเจรจาขออำนาจศาลกัมพูชาให้เร่งรัดคดีความ ล้วนแล้วแต่เป็นการยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และพูดให้เป็นโทษต่อ 7 คนไทยทั้งสิ้น
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว หลักเขตที่ 46 และ 47 ยังไม่ได้ข้อยุติระหว่างไทย-กัมพูชาว่าหลักเขตเดิมอยู่ในบริเวณใด และยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 190 ถือเป็นการกระทำที่ให้โทษกับ 7 คนไทยและเป็นผลร้ายทำให้ราชอาณาจักรหรือพื้นที่พิพาทตกอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐกัมพูชา อันอาจเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119, 120, 128, 129 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้แต่การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554 ว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในแนวปฏิบัติการของไทยนั้น โดยไม่ชี้แจงหรือโต้แย้งเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นคุณต่อ 7 คนไทย ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยมเสียต่อศักดิ์ศรีประเทศชาติในการที่ทำให้กัมพูชาสามารถใช้กรณีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือดินแดนไทยหรือพื้นที่พิพาทได้ต่อไปทั้งกับ 2 คนไทยที่ยังเหลืออยู่ในการพิจารณาคดีความในชั้นศาลกัมพูชา และคนไทยอื่นๆที่อาจจะถูกจับกุมในพื้นที่ลักษณะเดียวกันต่อไปในอนาคต
5. รัฐบาลไทยไม่สามารถแยกเรื่องเขตแดนกับการลงโทษ 7 คนไทยได้ เพราะคดีนี้เป็นการลงโทษคนไทยที่ปราศจากอาวุธจากการอ้างมูลฐานความผิดว่า 7 คนไทยล้ำเขตแดนกัมพูชา ดังนั้นหากรัฐบาลไทยทำได้เพียงแค่โต้แย้งหรือประท้วงคำพิพากษาของศาลกัมพูชาว่าประเทศไทยไม่ยอมรับเส้นเขตแดนตามคำพิพากษา ก็เป็นเพียงการเยียวยาย้อนหลังที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ “ประเทศไทยไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลบนดินแดนที่เป็นประเทศไทย หรือยังพิพาทอยู่” ซึ่งเป็นผลทำให้ 5 คนไทยต้องถูกพิพากษาลงโทษโดยศาลกัมพูชาอย่างไม่เป็นธรรมที่ผ่านมา และมีผลกระทบอย่างยิ่งกับ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ในการพิจารณาของศาลกัมพูชาย่อมได้รับผลร้ายมากยิ่งขึ้นเพราะได้ถูกข้อกล่าวหาร้ายแรงและไม่เป็นธรรมว่าจารกรรมข้อมูลจากมูลฐานความผิดคดีการล้ำเขตแดนกัมพูชา เพราะหากรัฐบาลไทยต่อสู้และกดดันว่าศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสิน 7 คนไทยในดินแดนไทยที่พิพาทอยู่ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ย่อมไม่สามารถโดนข้อกล่าวหาจารกรรมได้ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกลับกล่าวว่าเป็นคดีที่ผูกพันเฉพาะคู่ความ โดยไม่ปฏิเสธ โต้แย้ง กดดัน หรือการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในการพิพากษาลงโทษกับ 7 คนไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ย่อมเป็นผลทำให้ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ต้องตกอยู่ในสถานภาพที่อันตรายมากยิ่งขึ้น
6. ประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณหลักเขต 46, 47 ไปแล้วโดย
พฤตินัยไปแล้ว เพราะ MOU 2543 โดยดูจากวีดีโอเส้นทางเดินของ 7 คนไทย จะพบว่าราษฎรไทยเข้าไปทำกินในที่ดินของตัวเองไม่ได้เพราะมีแต่ชุมชนและทหารกัมพูชายึดครองดินแดนไทยฝ่ายเดียว โดยเงื่อนไข MOU 2543 ระบุข้อ 5 ว่า ในระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จ ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะหากการเจรจาตกลงตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการไม่ได้ กัมพูชาก็ได้อาศัยเงื่อนไขดังกล่าวในการทำให้การเจรจาไม่แล้วเสร็จไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ชาวกัมพูชาที่อพยพมาอาศัยอยู่ในที่ดินทำกินของไทยสามารถยึดครองและขยายชุมชนได้ต่อไปอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา นอกจากนี้ยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชา โดยตำรวจตระเวนชายแดนไทยไม่สามารถเข้าไปโดยติดอาวุธได้ และยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในบริเวณดังกล่าว จึงย่อมเท่ากับว่าประเทศไทยได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยในบริเวณดังกล่าวไปแล้วในทางปฏิบัติอย่างชัดเจน
7. ความอ่อนแอของรัฐบาลที่ยังแก้ไขไม่ได้กระทั่งแม้ปัญหาป้ายหินแกะสลักกล่าวร้ายประเทศไทยอันเป็นเท็จบนเขาพระวิหารว่าทหารไทยได้รุกล้ำเขตแดนกัมพูชาในบริเวณ วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา เป็นปรากฏการณ์สะท้อนความล้มเหลวของ MOU 2543 เพราะในเงื่อนไขข้อ 8 ของ MOU 2543 ได้ระบุว่าในกรณีที่มีการพิพาทให้ใช้วิธีการปรึกษาหารือโดยสันติวิธี โดยไม่สามารถใช้กำลังทหารผลักดันได้ ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบเหิมเกริม รุกล้ำ ยึดครองดินแดนไทย สร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยในทางปฏิบัติ และกล่าวอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งถนนอ้อมจากฝั่งกัมพูชารุกเข้ามาในฝั่งไทยถึงตัวปราสาทพระวิหาร สร้างวัด สร้างตลาด สร้างชุมชน สร้างแผ่นหินกล่าวร้ายประเทศไทย และเชิญธงชาติกัมพูชาขึ้นสู่เสาในวัดแก้วสิขาคีรีสวาระฝ่ายเดียว โดยที่ทหารไทยได้ปรับกำลังถอนตัวออกจากวันแก้วสิขะคีรีสะวาราแล้ว ย่อมถือว่าประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณดังกล่าวแล้ว
8. หากยกเลิก MOU 2543 เราก็จะสามารถรักษาอธิปไตยไทยได้เหมือนดังที่บรรพบุรุษ
เคยทำได้สำเร็จมาตั้งแต่ในอดีต และไม่จำเป็นต้องทำสงครามเสมอไป เพราะอำนาจต่อรองทางแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยสูงกว่ากัมพูชา สามารถนำไปสู่การเจรจาต่อรองเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ เช่น MOU 2554 ที่ยุติเงื่อนไขความเสียเปรียบทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยได้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
24 มกราคม 2554
zerolines wrote: หลักฐาน อ.ปานเทพ ชัดเจนกว่้า ไอ้อภิสิทธิ์
Robert De Niro wrote:ผมถึงถามไงว่ารู้หรือเปล่า ว่าหลักเขตแรกเริ่มเดิมทีที่ปักครั้งแรกอยู่ที่ไหน
และที่สำคัญ ไอ้หลักที่ว่านี่มันปักๆถอนๆกันไปกี่ครั้งแล้ว