คุณมะแอครับผมไม่เอาทั้งทักษิณและอภิสิทธิ์แล้วครับเลวพอๆกัน
แต่ตอนนี้ มาร์คไม่ต่างจากพันเอกกัดดาฟี่แล้วคือเอาประชาชนโง่ๆมาบังหน้าปกป้องแบบตื้นๆ
'กัดดาฟี'ลั่นสู้จนเลือดหยดสุดท้าย แต่ฝ่ายลุกฮือยึดภาคตะวันออกแล้ว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2554 23:30 น.

เอเจนซี/เอเอฟพี - ประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย ประกาศกร้าวพร้อมตายคาเก้าอี้ และจะต่อสู้ยิบตาเพื่อปราบปรามพวกลุกฮือโค่นล้มอำนาจปกครองของเขาไปจนถึงที่สุด ถึงแม้ระบอบกฎเหล็กอันยาวนาน 41 ปีของกัดดาฟีกำลังถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกหรือแม้แต่กระทั่งจากพวกพ้องของเขาเองมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการลุกฮือของผู้ประท้วงยังได้ขับไล่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลออกไปจากเบงซากี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ ตลอดจนเมื่องอื่นๆ ทางภาคตะวันออกแล้ว ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นและนานาชาติได้ออกแถลงประณามพฤติการณ์ที่รัฐบาลสังหารพลเรือนอย่างโหดเหี้ยมด้วยฝูงบินรบและขบวนรถถัง โดยที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลีระบุวันพุธ(23) มีประชาชนลิเบียถูกสังหารโหดถึง 1,000 คน
กัดดาฟี ปรากฏตัวต่อสาธารณชนผ่านสื่อโทรทัศน์ทางการอีกครั้งเมื่อช่วงค่ำวันอังคาร (22) ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงอันเด็ดเดี่ยวระคนอารมณ์เกรี้ยวกราดตามแบบฉบับของเขา ระบุว่า “ที่นี่เป็นประเทศของผม ประเทศของผม ผมจะต่อสู้ไปจนกระทั่งเหลือเลือดหยดสุดท้าย”
อดีตนายทหารชั้นยศพันเอกผู้นี้ซึ่งยึดอำนาจด้วยการทำรัฐประหารและปกครองลิเบียมาตั้งแต่ปี 1969 ยังประกาศลั่นด้วยว่า “ผมจะเสียสละชีวิตในดินแดนบรรพบุรุษของผม” พร้อมกันนี้กัดดาฟียังเรียกร้องให้พวกที่ภักดีต่อเขาออกมาชุมนุมให้การสนับสนุนระบอบของเขาตั้งแต่วันพุธ (23) เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กัดดาฟี ยังขู่ด้วยว่าจะตามล่ากวาดล้างพวกต่อต้านระบอบไปทุกซอกทุกมุม ไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านหลังไหน และจะค้นหาทุกตารางนิ้ว พร้อมกับเตือนให้ผู้ประท้วงวางอาวุธและยอมแพ้เสีย มิเช่นนั้นพวกเขาจะได้ลิ้มรสการถูก “สังหารหมู่”
“จับพวกหนู” เขากล่าวโดยที่หมายถึงเหล่าผู้ประท้วง “ออกมาจากบ้าน และถล่มใส่พวกมันให้สิ้นซากไม่ว่าพวกมันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
ก่อนหน้านี้มีรายงานจากสื่อหลายสำนัก อาทิ อัลญะซีเราะห์, รอยเตอร์และเอเอฟพี ที่ต่างก็ระบุตรงกันว่า กัดดาฟี ได้สั่งการให้รถถัง, เครื่องบินรบ และเฮลิคอปเตอร์ พร้อมด้วยทหารรับจ้างออกบดขยี้กลุ่มผู้ประท้วงอย่างโหดร้ายทารุณ ด้วยการทิ้งบอมบ์ และกราดยิงแบบไม่เลือกหน้า ซึ่งต่อมาข้อมูลเหล่านี้ก็ได้รับการยืนยันโดยบี. ลินเน ปาสกาว รองเลขาธิการยูเอ็นด้านกิจการการเมือง ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมวิสามัญว่าด้วยสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียเมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (22) ตามเวลาในนิวยอร์ก โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติและพยานผู้ในอยู่ในเหตุการณ์หลายคนในลิเบียได้พบเห็นกิจกรรมการปราบปรามผู้ประท้วงของกองทัพด้วยตาตัวเอง
“พวกเขาเห็นเครื่องบินรบหลายลำบินโฉบอยู่เหนือศีรษะ พวกเขาพบเห็นเฮลิคอปเตอร์หลายลำบินวนอยู่เหนือหัว พวกเขาเห็นขบวนรถถัง พวกเขาเห็นทหารบางคนไล่ยิงผู้คนไม่หยุดบนพื้นดิน รวมทั้งยังมีผู้ที่พบเห็นพวกสไนเปอร์ดักซุ่มอยู่อีกด้วย” ปาสกาว บอก
ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ได้ออกคำแถลงประณามผู้นำลิเบียแม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อของกัดดาฟีโดยตรงก็ตาม
“ทางคณะมนตรีฯ ประณามเหตุความรุนแรงและการใช้กำลังเข้าปราบปรามพลเรือน ขณะเดียวกันก็แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพลเรือนลิเบียหลายร้อยคนที่เสียชีวิต”
คำแถลงโดยสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง 15 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศ, รัสเซีย, จีน และอินเดีย ยังเน้นย้ำให้รัฐบาลลิเบียออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำกับพลเรือน ซึ่งรวมทั้งการเอาผิดกับกลุ่มกองกำลังที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาให้กระทำการปราบปรามโหดอีกด้วย “
ลงท้าย ถ้อยแถลงของยูเอ็นเอสซี ยังระบุว่า รัฐบาลลิเบียจักต้อง “ปกป้องประชากรของตน” และอนุญาตให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและหน่วยงานด้านมนุษยธรรมเข้าไปในลิเบียได้ ตลอดจนรับประกันความปลอดภัยของชาวต่างชาติในลิเบียและให้ความช่วยเหลือแก่คนเหล่านี้หากพวกเขาต้องการจะออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม อิบรอฮิม ดับบาชี รองเอกอัครราชทูตลิเบียประจำยูเอ็น ซึ่งประกาศประณามกัดดาฟี ระบุว่า คำแถลงของคณะมนตรีความมั่นคงคราวนี้ ยังไม่รุนแรงเพียงพอ โดยที่บอกด้วยว่า ทหารลิเบียหน่วยต่างๆ ตอนนี้ได้โจมตีใส่พลเรือนระลอกใหม่หลังจากที่กัดดาฟีออกมาประกาศทางทีวี
ทางด้าน บัน คีมูน เลขาธิการยูเอ็น ยังเรียกร้องให้นานาชาติร่วมมือร่วมใจกันกดดันให้ลิเบียทำการถ่ายโอนอำนาจผู้นำทันทีและโดยสันติวิธี
“สถานการณ์ ณ ปัจจุบันยังคาดการณ์อะไรไม่ได้ และอาจมีความเป็นไปได้ในหลายทิศทาง ด้วยเหตุนี้ประชาชนจำนวนมากจึงกำลังตกอยู่ในภยันตราย” บัน กล่าวที่นครลอสแองเจลิสเมื่อค่ำวันอังคาร (22) ก่อนที่จะบินกลับสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก
“ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญยิ่งเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่ประชาคมโลกจะต้องรักษาความเป็นเอกภาพเอาไว้และตอบโต้ไปด้วยกันเพื่อรับประกันว่าจะเกิดการเปลี่ยนผ่านของระบอบขึ้นในลิเบียโดยทันทีและด้วยสันติวิธี”
ขณะที่องค์การสันนิบาตชาติอาหรับ ซึ่งได้ประชุมวาระเร่งด่วนกรณีลิเบียในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ก็ได้มีมติออกมาให้ระงับความเป็นสมาชิกภาพของลิเบียชั่วคราว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่องค์การดังกล่าวลงโทษขับประเทศสมาชิกด้วยเหตุผลด้านกิจการภายในของประเทศนั้นๆ
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ของฝรั่งเศส ยังออกมาเรียกร้องวันพุธ (23) ให้สหภาพยุโรปออกมาตรการคว่ำบาตรลิเบีย ด้วยการตัดสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินกับลิเบียเป็นการชั่วคราว
ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศ ฟรังโก ฟราตตินี ของอิตาลี แถลงวานนี้ว่า เขาไม่แน่ใจว่าการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดของทางการลิเบีย ทำให้มีประชาชนถูกสังหารไปมากแค่ไหน แต่ “เราเชื่อว่าการประเมินที่ราว 1,000 คนเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ”
เขาบอกด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลลิเบียไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในจังหวัดซีเรไนกา ที่อยู่ทางภาคตะวันออกได้แล้ว
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานจากภาคสนามว่า การลุกฮือของประชาชนได้ขับไล่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลออกไปจากภาคตะวันออกของประเทศเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ รวมทั้งเมืองเบงกาซี ที่เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ และเมืองโตบรูก
สำหรับความเคลื่อนไหวทั่วไปของชาติต่างๆ ปรากฏว่า ทั้งจีน, รัสเซีย, อินเดีย, เกาหลีใต้, ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ ซึ่งต่างหวาดวิตกต่อสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียและเป็นห่วงในสถานภาพความปลอดภัยของพลเรือนตนในประเทศดังกล่าว ต่างก็ได้ทยอยส่งเครื่องบินหรือจัดหาเรือมารับพลเรือนของตนกลับประเทศ
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000024235