เปิดความลับใครเผา “เซ็นทรัลเวิลด์" ของ นสพ. ไทยรัฐ
ใครเผา Central World (เซ็นทรัลเวิลด์) คำถามที่หลายคนอยากรู้ วันนี้เราจะเอาคำตอบมาคลายความสงสัยกันว่า ห้างที่อยู่ใจกลางเมืองอย่าง Central World และตั้งอยู่เยื้องกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกิดไฟไหม้ได้อย่างไร วันนี้เราจะมาฟังการถ่ายทอดการให้ปากคำจากนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาที่ อยู่ในเหตุการณ์จริงกัน
ภารกิจลับที่ 1 เปิดโฉมหน้าคนเผา Central World
หลังจากได้รับแจ้งแล้ว พ.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ที่วังสระปทุม ร่วมกับ พ.ต.ท.สุรกาญจณ์ นาคสิงห์ รอง ผกก (จร.) สน.ยานนาวาจึงได้ตัดสินใจกับ พ.ต.ท.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ รอง ผกก.ปป.สน.พลับพลาไชย 1 แบ่งกำลังหนึ่งหมวด (ราว 40 นาย) รุดไปที่เกิดเหตุเพื่อช่วยเหลือทันที พอเขาเห็นพวกเรา ปรากฏว่าเขาใช้ระเบิดปิงปองและประทัดยักษ์สู้ เราก็ใช้ระยะเวลารุก ทั้งหมอบคลานเพื่อยิงปืนรุกเรื่อยๆ ชุลมุนอยู่นาน หลังจากที่รุกหนักจนเขาถอยร่น ที่สุดแล้วก็สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุร้ายที่เตรียมจะเผาห้าง ซึ่งหลบอยู่ตามชั้นในห้างเวิลด์เทรดมาได้ถึง 9 คน กับของกลางเช่นสายกระสุนปืนกล เครื่องประดับที่โจรกรรมภายในห้างมาอย่างมากมาย
เมื่อภารกิจบุกเข้าไปเสร็จสิ้น พ.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ ได้คุ้มกันพนักงานของห้างที่หลบอยู่ที่ลานจอดรถชั้น 3 รวมแล้วมากถึง 471 คน ซึ่งของที่อยู่ในห้างนั้นก็โดนรื้อ-ทุบกระจุยกระจายตำรวจก็ยิงเปิดทางนำ พนักงานที่ติดอยู่ในนั้นกลับออกมาจากเซ็นทรัลเวิลด์ หนีออกมาทางด้านหลังโรงแรมแล้วก็มาทะลุหลังพารากอนมาเรื่อยๆ จนออกมาสู่ ถนนพระราม 1 ท่ามกลางห่ากระสุนและความร้อนจากไฟที่กำลังโหมไหม้ห้างบริเวณราชประสงค์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีรถดับเพลิงเข้ามาวิ่งวนอยู่รอบๆ ตัวด้วยความปลอดภัย
ภารกิจลับบทที่ 2 : ฝ่าห่ากระสุน ลุยดับไฟเพลิง…!
หลังจากคืนอิสรภาพและความปลอดภัยให้กับพนักงานเซ็นทรัลเวิลด์ ภารกิจของ พ.ต.อ.ฤชากร จรเจวุฒิ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ผู้มีส่วนสำคัญในการปฏิบัติฝ่าห่ากระสุนที่บริเวณราชประสงค์เพื่อกรุยทางนำ รถดับเพลิงเข้าไปดับไฟที่โหมแรงที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และ บิ๊กซี ก็ต้องเริ่มต้นต่อ
“ขณะเรานำกำลังกลับไปประจำการที่เดิม ตอนนั้นเราเริ่มได้ข่าวว่ามีการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่ด้านล่าง โรงหนังสยาม และที่ใกล้ๆ ละแวกนั้นหลายแห่ง แต่รถดับเพลิงที่เข้าไปดับเพลิงบริเวณนั้นไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากพอเข้าไปก็โดนยิงสวนจากคนที่อยู่บริเวณนั้นกลับมาทันที อีกทั้งยังมีกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่อยู่ในวัดปทุมฯ มากมาย ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้มาก คือนำกำลังออกไปแต่ต้องล่าถอยกลับ เนื่องจากผู้ดูแลพื้นที่คือทหารยังไม่เคลียร์ ฉะนั้นเราไม่รู้ว่าจะมีผู้ก่อเหตุซุ่มยิงอยู่หรือไม่ การประสานงาน ณ ขณะไฟไหม้นั้นก็สับสน ทำให้ไม่มีหน่วยงานไหนเป็นเจ้าภาพ”
พ.ต.อ.ฤชากร เล่าต่อว่า เหตุการณ์ตอนนั้นมันมั่วมากๆ (เน้นเสียง) รถดับเพลิงก็เข้าไปดับไฟไม่ได้เพราะว่า พนักงานดับเพลิงที่เข้าไปบริเวณนั้นโดนกลุ่มผู้ชุมนุมเอาปืนจ่อหัวไม่ให้ เข้าไป จึงตัดสินใจเข้าไปในพื้นที่ แต่ทหารบอกว่ายังเคลียร์พื้นที่ไม่ได้ แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นไฟไหม้ต่อหน้าเช่นกัน ที่สุดแล้วก็ต่อโทรศัพท์นานมากจนได้คุยโทรศัพท์กับท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ท่านถามว่าต้องการอะไร ก็บอกว่ารถดับเพลิงและกำลังทหาร จากนั้น 1 ชั่วโมงรถดับเพลิงก็มา
“ผมก็เดินหน้านำกองร้อยนำรถดับเพลิงไปเลยทั้งๆ ที่มืดแบบนั้น ถามว่ากลัวไหมบอกได้เลยแบบไม่อายว่ากลัวเหมือนกัน รอบๆ ตัวผมได้ยินเสียงปืน มีควันไฟเต็มไปหมด เดินทะลุประตูน้ำ เข้าแยกราชดำริ แต่ละย่างก้าวที่พวกเราจะเดินไปมันลำบากมากๆ (เสียงสั่น) นี่เล่าแล้วยังสั่นอยู่ ซึ่งความรู้สึกว่าระยะทางข้างหน้าใกล้ๆ เท่านั้นแต่เรารู้สึกว่าไกลมากๆ (เน้นเสียง) มือหนึ่งถือปืน อีกมือถือไฟฉายส่องนำทาง แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อที่ผ่านมา ตำรวจไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ดังนั้นไม่น่าจะมีใครมาดักทำร้ายเรา ที่สำคัญมีกำลัง 150 คนถ้าโดนยิงก็ไม่น่าจะตายฟรีแน่ ที่สำคัญบ้านเมืองและทรัพย์สินของประชาชนรออยู่ข้างหน้า และทนไม่ได้จริงๆที่สถานที่ต่างๆจะไหม้ไปต่อหน้าต่อตาและประชาชนเดือดร้อน”
ที่สุดแล้วแม้ภารกิจจะผ่านพ้นไปโดยไม่มีใครเสียชีวิต แต่สิ่งที่ พ.ต.อ. ฤชากร จรเจวุฒิ เสียใจก็คือช่วยห้างบิ๊กซีไม่ทัน เนื่องจากนักผจญเพลิงบอกว่าอาคารบิ๊กซีเหมือนเป็นเตาอบ ไม่รู้ว่าจะฉีดน้ำไปด้านไหนก็เลยต้องถอย ตนอยู่ตรงนั้นจนถึงตี 4 ถึงจะสกัดแนวไฟได้แล้วถึงกลับมานอนเพราะว่า 8 โมงเช้าหลังจากนั้นประชุมเพื่อคลี่คลายปัญหาต่อ…!?!
“ถามว่าเสี่ยงชีวิตไปแล้วได้อะไรกลับคืนมาบ้างนอกจากถูกตี ตราว่าเป็นตำรวจมะเขือเทศ จริงๆ ผมขอแค่ให้ประเทศชาติและประชาชนไม่เป็นอะไร และประเทศไทยสงบดังเดิมก็เพียงพอ” นักปิดทองหลังพระผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กล่าวทิ้งท้าย
มาฟังความจริงอีกฝ่ายจากปากของผู้บริหารของเซ็นทรัลเวิลด์อยู่ใน เหตุการณ์ เผยความรู้สึกว่าก่อนหน้าจะเกิดการเผาได้มีการเตรียมถังดับเพลิง และคนเฝ้าระวังประจำ FIRE MAN ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ที่สุดแล้วก็ต้องแพ้พ่ายต่อความบ้าคลั่งของผู้ชุมนุมบางคน
“พอได้รับข่าวแกนนำมอบตัวก็ปรากฏว่ามีเอ็ม 79 ถึง 1 ลูกลงมาที่หน้าห้าง หลังจากนั้นผู้ชุมนุมก็กรูเข้ามาในห้างก็กรูเข้าไปทุบกระจกอย่างบ้าคลั่ง บางคนก็ถือถังแก๊สดับเพลิงและถังน้ำมันอยู่ เริ่มทำการจุดไฟเผาห้างต่อหน้าต่อตา รปภ. และพนักงานหลายคนจะวิ่งเข้าไปดับ แต่ปรากฏว่า โดนไล่ยิง จนต้องหนี และติดอยู่ในห้าง คิดว่าต้องตาย จนกระทั่งตำรวจมาช่วยเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ” ผู้บริหารเล่าเสียงสั่นเครือด้วยความกลัว
และนี่เป็นเรื่องราวเบื้องหน้าเบื้องหลัง ภารกิจลับของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในวันที่ 19 พ.ค. 53 หรือ “วันเผาเมือง” ที่นักการเมืองในสภาไม่เคยรู้ หรือถึงรู้ก็อาจจะไม่กล้าเล่า… เพราะการหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อตัวเอง…! และนี่ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ยังมีเรื่องลับๆอีกมากมายรอการเปิดเผย คอยติดตามกันต่อไปได้
http://www.thairath.co.th/content/life/86712