อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

คลังปัญญา กระทู้ปักหมุดเดิม เรื่องสำคัญจัดเก็บที่นี่

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby Panya7 » Sat Jul 17, 2010 8:11 pm

ชอบมากเลย ประทับใจครับ :)
ถ้าคุณคิด (จริงจัง) อยากมีอิสรภาพทางการเงิน โปรดอ่าน...
User avatar
Panya7
 
Posts: 21
Joined: Sat Jul 17, 2010 7:17 pm
Location: Bangkok Thailand

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby noway2know » Sat Jul 24, 2010 8:31 pm



ปิดทองหลังพระ

พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖

“การทำงานด้วยใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็นก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง เมื่อพูดเช่นนี้เหมือนสอนให้ปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิดว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้าไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย จะเป็นพระที่งดงามสมบูรณ์ไม่ได้”

Image

รักในหลวง หวงแผ่นดิน
เกลียดเสื้อแดง จะรัฐบาล ม.แม้ว หรือ ม.มาร์ค ก็น่าผิดหวัง เลวพอๆกัน
ไปม๊อบมา ไปก็บอกว่าไป..ไม่ใช่ประเภท....ตุลาคมก็อยู่นะ(โกหก)
http://www.baanpud.net/forum/index.php....http://www.prachathon.org/forum/
User avatar
noway2know
 
Posts: 7750
Joined: Thu May 20, 2010 12:19 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby ปลาบู่ทะเล » Thu Aug 19, 2010 2:06 pm

รักในหลวงสงสารในหลวงมากๆๆๆๆๆเปลี่ยนใจเถอะนะ...คนพวกนั้น....นะยังไม่สายเกินไปคิดใหม่เถอะไม่มีใครว่าพวกคุณหรอก
User avatar
ปลาบู่ทะเล
 
Posts: 208
Joined: Thu Jul 22, 2010 9:11 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby NUBO » Thu Aug 19, 2010 2:19 pm

รักในหลวงมากๆๆๆ
User avatar
NUBO
 
Posts: 236
Joined: Thu Jul 22, 2010 4:00 pm

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby VEE99999 » Sat Aug 28, 2010 11:35 am

พระราชกรณียกิจของพ่อหลวง(ด้านการแพทย์)


ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ทุกครั้ง จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ที่ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่างๆ และล้วนเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ครบครัน พร้อมที่จะให้การรักษาพยาบาลราษฎร ผู้ป่วยไข้ได้ทันที
นอกจากนั้น ยังมีโครงการทันตกรรมพระราชทาน ซึ่งเป็นพระราชดำริที่ให้ทันตแพทย์อาสาสมัคร ได้เดินทางออกไปช่วยเหลือบำบัดโรคเกี่ยวกับฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟัน แก่เด็กนักเรียนและราษฎรที่อาศัยอยู่ในท้องที่ทุรกันดาร และห่างไกลจากแพทย์ทั่วทุกภาค โดยให้การบริการรักษาโรคฟัน โดยไม่คิดมูลค่าในการแพทย์เคลื่อนที่
สำหรับการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมวัดทุกแห่ง ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางของชุมชนในชนบท โดยจะพระราชทานกล่องยาแก่วัด เพื่อพระภิกษุใช้เมื่อเกิดอาพาธ และเพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎรผู้ป่วยเจ็บในหมู่บ้านนั้นๆ ส่วนในการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมหน่วยทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ที่ออกไปตั้งฐานปฏิบัติการในท้องที่ทุรกันดาร ก็จะพระราชทานสิ่งของที่จำเป็นต่างๆ รวมทั้งยารักษาโรคสำหรับใช้ในหมู่เจ้าหน้าที่ และใช้ในการรักษาพยาบาล และเพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎรในท้องที่ ที่มาขอความช่วยเหลือ อันจะทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม และประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติการ ได้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ทางด้านหน่วยแพทย์หลวงที่จะต้องตามเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ประทับแรมทุกแห่งนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลราษฎร ผู้มาขอรับการรักษา ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด นอกจากนั้น หน่วยแพทย์หลวงยังจัดเจ้าหน้าที่ออกเดินทาง ไปรักษาราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นผู้แนะนำสถานที่และร่วมเดินทางไปด้วย สำหรับราษฎรผู้เจ็บป่วยรายที่มีอาการหนัก หรือจำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจรักษาเพิ่มเติมนั้น ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จพระราชดำเนิน ทำการบันทึกรายชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และอาการโดยละเอียด โดยตรวจสอบความถูกต้องกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และมีสำเนาให้รับทราบเพื่อติดต่อประสานงานต่อไป ในการพิจารณาส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาต่อ ตามความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจ
User avatar
VEE99999
 
Posts: 378
Joined: Sat Aug 14, 2010 10:32 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby รักเมืองไทย55 » Sun Aug 29, 2010 11:57 am

อ่านแล้วสงสารในหลวงจัง พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย ทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชนของพระองค์มาโดยตลอด
sample_royal_project01.jpg
king8.jpg
CFNA02-P0001676-00.jpg
User avatar
รักเมืองไทย55
 
Posts: 476
Joined: Tue Aug 24, 2010 11:12 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby ปลาบู่ทะเล » Fri Oct 01, 2010 10:50 am

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญกับงานสาธารณสุขเป็นอย่างยิ่งดังจะเห็นว่าโครงการที่พระราชทานให้กับประชาชนในระยะแรกๆ ล้วนแต่เป็นโครงการพัฒนาสุขภาพอนามัยให้แก่ประชาชน เมื่อประชาชนมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงจะนำไปสู่สุข ภาพจิตที่ดี และส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดีตามไปด้วย ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
“... การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยของเ ศรษฐกิจที่ดี และสังคมที่มั่นคงเพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น โดยปกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์ด้วย และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ดี พร้อมทั้งร่ายกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมของ บ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นแต่ผู้สร้างมิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ...”
User avatar
ปลาบู่ทะเล
 
Posts: 208
Joined: Thu Jul 22, 2010 9:11 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby tragedy » Sat Oct 02, 2010 2:50 pm

ในหลวงเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย
เราทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่
ท่านทรงงานเข้าใกล้ชิดประชาชน ทราบถึง
ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน เสียสละ
เป็นนักคิด พัฒนาให้ประชาชนมีความสุข
ดั่งในภาพที่ปรากฏ เราคนไทยโชคดีที่มี
สถาบันกษัตริย์ที่เห็นอกเห็นใจความทุกข์
ยากของประชาชน ทรงเสด็จทรงงาน และยัง
สร้างงานให้ประชาชน ตื่นเถิดคนไทย เราต้อง
รักสามัคคีกันให้มาก ๆ เพื่อประเทศชาติไทย
จะได้เป็นสุขสถาพร
User avatar
tragedy
 
Posts: 184
Joined: Wed Sep 15, 2010 5:55 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby noway2know » Mon Oct 04, 2010 4:57 am

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม

Image

"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

วันฉัตรมงคล

เป็นวันที่ระลึกในการครบรอบปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงรับพระบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยโดยสมบูรณ์ กล่าวคือพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาอยู่ ณ ทวีปยุโรป จนกระทั่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วจึงได้เสด็จนิวัติประเทศไทย และรัฐบาลไทได้น้อมเกล้าฯ จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถวาย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 เหล่าพสกนิกรชาวไทย ได้ถือเอาวันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคลรำลึก

ประวัติความเป็นมาของการจัดพิธีบรมราชาภิเษก
การจัดพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่จัดต้อนรับหรือรับรองฐานะความเป็นประมุขของสังคมอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งมีมาแต่ครั้งพ่อขุนผาเมือง ได้อภิเษกพ่อขุนบางกลางหาว หรือพ่อขุนบางกลางท่าว ให้เป็นผู้ปกครองเมืองสุโขทัย ดังปรากฏในหลักฐานในศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไท

ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมของชาติทุกสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้ถูกต้องสมบูรณ์

พระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จะไม่ใช้คำว่า "พระบาท" นำหน้า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และคำสั่งของพระองค์ก็ไม่เรียกว่า "พระบรมราชโองการ" และที่สำคัญประการหนึ่งคือจะยังไม่มีการใช้นพปฎลเศวตฉัตร หรือฉัตร 9 ชั้น
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณ ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2493 เป็นวันจุดเทียนชัยและวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 อันเป็นวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

Image

สำหรับขั้นตอนของพิธีที่สำคัญต่างๆ แบ่งออกเป็น 5 ลำดับ ดังนี้
1. ขั้นเตรียมพิธี
2. พิธีเบื้องต้น
3. พิธีบรมราโชวาท
4. พิธีเบื้องปลาย และ
5. เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร

พระราชพิธีที่ประกอบขึ้นก่อนวันพระฤกษ์บรมราชาภิเษก

1. ขั้นเตรียมพิธี
มีการตักน้ำและตั้งพิธีเสกน้ำสำหรับถวายเป็นน้ำอภิเษก และน้ำสรงมูรธาภิเษก สำหรับน้ำอภิเษกนั้น ต้นตำราให้ใช้น้ำจากสถานที่สำคัญต่างๆ 18 แห่ง และทำพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ณ พุทธเจดีย์ที่สำคัญตามจังหวัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร แล้วส่งเข้ามาเจือปนเป็นน้ำมูรธาภิเษกให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงและ ทรงรับน้ำอภิเษกในวันพระราชพิธีราชาอภิเษกต่อไป

พระพุทธเจดีย์ที่สำคัญที่ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษก ทั้ง 18 แห่ง คือ

1. จังหวัดสระบุรี ที่ตั้งพระพุทธบาท
2. จังหวัดพิษณุโลก ที่ตั้งวัดพระศรีมหาธาตุ
3. จังหวัดสุโขทัย ที่ตั้งวัดพระมหาธาตุ
4. จังหวัดนครปฐม ที่ตั้งพระปฐมเจดีย์
5. จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ตั้งวัดพระมหาธาตุ
6. จังหวัดลำพูน ที่ตั้งวัดพระธาตุหริภุญชัย
7. จังหวัดนครพนม ที่ตั้งวัดพระธาตุพนม
8. จังหวัดน่าน ที่ตั้งวัดพระธาตุแช่แห้ง
9. จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ตั้งวัดบึงพระลานชัย
10. จังหวัดเพชรบุรี ที่ตั้งวัดมหาธาตุ
11. จังหวัดชัยนาท ที่ตั้งวัดพระบรมธาตุ
12. จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ตั้งวัดโสธร
13. จังหวัดนครราชสีมา ที่ตั้งวัดพระนารายณ์มหาราช
14. จังหวัดอุบลราชธานี ที่ตั้งวัดศรีทอง
15. จังหวัดจันทบุรี ที่ตั้งวัดพลับ
16. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ตั้งวัดมหาธาตุ อำเภอไชยา
17. จังหวัดปัตตานี ที่ตั้งวัดตานีณรสโมสร
18. จังหวัดภูเก็ต ที่ตั้งวัดทอง

น้ำสำหรับมูรธาภิเษกเป็นน้ำที่เจือด้วยน้ำจากปัญจมหานทีในอินเดีย คือ
แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี สรภู มหิ และจากปัญจสุทธคงคา


ในแม่น้ำสำคัญทั้ง 5 ของไทย คือ

แม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่ตำบลบางแก้ว จังหวัดอ่างทอง
แม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าชัย จังหวัดเพชรบุรี
แม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม
แม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี
แม่น้ำบางปะกง ตักที่ตำบลบึงพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก
และน้ำ 4 สระ คือสระเกษ สระแก้ว สระคงคา สระยมนา ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเคยใช้เป็นน้ำสรงมาแต่โบราณ
นอกจากนี้ยังมีพิธีจารึกพระสุพรรณบัฎดวงพระบรมราชสมภพ (ดวงเกิด) และแกะพระราชลัญจกร (ดวงตราประจำรัชกาล) โดยได้มีการประกอบพิธีจารึกพระสุพรรณบัฎในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2493 ในพระอุโบสถวัดพระศรีศาสดาราม

2. พิธีในเบื้องต้น
มีการตั้งน้ำวงด้าย จุดเทียนชัย และเจริญพระพุทธมนต์ในการพระบรมราชาภิเษก

3. พิธีบรมราชาภิเษก
เริ่มด้วยการสรงพระมุรธาภิเษกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรพระราชอาสน์ ราชบัณฑิตและพราหมณ์นั่งประจำ 8 ทิศ กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล ถวายดินแดนแต่ละทิศให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคุ้มครอง (ในรัชกาลนี้ได้เปลี่ยนจากราชบัณฑิตเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทน)

Image

ในวันที่ 5 พฤษภาคม อันเป็นวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงมูรธาภิเษก แล้วทรงเครื่องต้นเสด็จออกประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศภายใต้สตปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร 7 ชั้น)

สมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษก และพราหมณ์ทำพิธีพวายน้ำเทพมนต์เวียนไปครบ 8 ทิศ เจ้าพระยาศรีธรรมธิเบศ (จิตต์ ณ สงขลา) ประธานวุฒิสมาชิกสภา ถวายพระพรเป็นภาษามคธ และนายเพียร ราชธรรมนิเทศ ประธานสภาผู้แทนราษฎรถวายพระพรเป็นภาษาไทย พระราชครูวามเทพมุนี ถวายนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตร 9 ชั้น) แล้วเสด็จพระราชดำเนินสู่พระที่นั่งภัทรบิฐ พราหมณ์ร่ายเวทเปิดศิวาลัยไกลาลทูลเกล้าฯ ถวายพระสุพรรณบัฎ เครื่องราชกกุธภัณฑ์
เครื่องราชูปโภค และพระแสงอัษฎาวุธ ด้วยภาษามคธ
สำหรับพระสุพรรณบัฎ ได้จารึกพระปรมาภิไธยว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร"
เมื่อทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ต่างๆ แล้ว พระราชครูวามเทพมุนี ถวายพระพรชัยมงคลด้วยภาษามคธ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการตอบ พระราชอารักษาแต่ปวงชนชาวไทย ด้วยภาษาไทยว่า

"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"


เมื่อพระราชครูวามเทพมุนีรับพระราชโองการด้วยภาษามคธ และภาษาไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรางหลั่งน้ำทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทยโดยทศพิธราชธรรมจริยา

จาก นั้นทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎ พระธำมรงค์รัตนวราวุธ และพระธำมรงค์วิเชียรจินดา จมื่นสิริวังรัตน (เฉลิม คชาชีวะ) เลขาธิการพระราชวัง ทูลเกล้าฯ ถวายดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน ทรงโปรยพระราชทานแก่พราหมณ์ แล้วเสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณ สู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ 80 รูป พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา สมเด็จพระสังฆราชถวายอดิเรกเป็นปฐม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถวายพระพรลา แล้วเสด็จขึ้น สมเด็จพระสังฆราชดับเทียนชัย

4. พิธีเบื้องปลาย เสด็จออกมหาสมาคม
เวลาบ่ายของวันที่ 5 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จออกมหาสมาคมที่พระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย ให้คณะรัฐมนตรี คณะฑูต สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทน และข้าราชการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อกราบทูลถวายพระพรชัยมงคล โดยมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี กลาบทูลในนามคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทั่วพระราชอาณาจ ักร และพระยาศรีธรรมาธิเบศ ประธานรัฐสภา กราบทูลในนามประชาชนชาวไทย แล้วทรงมีพระบรมราชโองการตรัสตอบขอบใจทั่วกัน แล้วเสด็จขึ้น

นอกจากนี้ยังมีพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระราชินี ประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกในพระบวรพุทธศาสนา ถวายพระบังคมพระบรมศพ พระบรมอัฐิ พระอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระอัครมเหสีในรัชกาลก่อนๆ และเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียร

5. เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร

การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค จัดเป็นราชประเพณีที่สำคัญพิธีหนึ่ง เมื่อเสด็จพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งนี้เพื่อให้พสกนิกรได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่

Image

การจัดงานวันฉัตรมงคลในปัจจุบัน
ขั้นตอนการจัดงานวันฉัตรมงคลในปัจจุบัน มักกำหนดให้เป็น 3 วัน

คือวันที่ 3 พฤษภาคม มีงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน คือ พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระบรมราชบุพการี ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งในวันนี้ได้เพิ่มพระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพล ที่จะพระราชทานแก่หน่วย ทหารบางหน่วยเข้าไว้ด้วย

ในวันที่ 4 พฤษภาคม
เป็นวันเริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล เจ้าพนักงานจะได้อัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ขึ้นประดิษฐานบนแท่นใต้พระมหาปฎลเศวตฉัตร พระครูหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล แล้วทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์

ในวันที่ 5 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ทรงบูชาเครื่องกกุธภัณฑ์ พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช พระมหาเศวตฉัตรและราชกกุธภัณฑ์

ตอนเย็นพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่ผู้มีความดีความชอบ แล้วเสด็จนมัสการพระพทุธมหามณีรัตนปฏิมากร และถวายบังคม พระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่ปราสาทพระเทพบิดร เป็นเสร็จพระราชพิธีในวันฉัตรมงคล สำนักพระราชวังได้เปิดปราสาทหลายแห่งให้ประชาชนได้เข้าชมและถวายบังคม

ในงานพระราชพิธีฉัตรมงคล เป็นเครื่องหมายยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาครบรอบขวบปีด้วยดีอีก วาระหนึ่ง และตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและปวงชนชาว ไทยนับอเนกอนันต์ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ประชาชนชาวไทยจึงได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองเนื่องในวันฉัตรมงคลเป็นประจำทุกปี และเนื่องในมหามงคลสมัยในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบรอบ 50 ปีในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2539 ทางราชการจัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระอันเป็นมงคลยิ่ง

เครื่องเบญจกกุธภัณฑ์
Image

วารวิชนี

Image

พระแสงขรรค์ชัยศรี
Image

ธารพระกร

Image

พระมหาพิชัยมงกุฏ
Image

รักในหลวง หวงแผ่นดิน
เกลียดเสื้อแดง จะรัฐบาล ม.แม้ว หรือ ม.มาร์ค ก็น่าผิดหวัง เลวพอๆกัน
ไปม๊อบมา ไปก็บอกว่าไป..ไม่ใช่ประเภท....ตุลาคมก็อยู่นะ(โกหก)
http://www.baanpud.net/forum/index.php....http://www.prachathon.org/forum/
User avatar
noway2know
 
Posts: 7750
Joined: Thu May 20, 2010 12:19 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby noway2know » Mon Oct 25, 2010 12:24 pm

โครงการทันตกรรม พระราชทาน

Image

ประวัติความเป็นมาของหน่วยทันตกรรมพระราชทาน
ในปี 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชปรารภว่า

"เวลาพระองค์มีปัญหาเกี่ยวกับฟันก็มีทันตแพทย์ดูแลรักษาแล้วเวลาราษฎรที่อยู่ห่างไกล
จะมีทันตแพทย์ช่วยรักษาหรือเปล่า"


ในเวลาต่อมา ทรงทราบว่าทันตแพทย์นั้นมีน้อยและมีอยู่ตามโรงพยาบาลประจำจังหวัดเท่านั้น บางจังหวัดก็ไม่มี พระองค์ทรงรับสั่งว่า "การที่จะให้ราษฎรที่ยากจนที่มีปัญหาเรื่องฟัน หยุดการทำนาทำไร่ เดินทางไปหาแพทย์นั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ในทางตรงกันข้าม หากเป็นการให้บริการเคลื่อนที่ไปสู่ประชาชน ก็จะเป็นการแก้ปัญหาได้ทางหนึ่ง"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสแก่ทันตแพทย์สีสิริสิงห์ทันตแพทย์ประจำพระองค์ว่า
"ฉันต้องการให้หมอช่วยไปดูแลบำบัดทุกข์ให้แก่นักเรียนและประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นกันดารห่างไกล หมอและจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตามความจำเป็นโดยให้จัดหน่วยเคลื่อนที่ไป โดยรถยนต์และตระเวนไปตามถนนหนทาง ตามหมู่บ้าน ที่อยู่ ห่างไกล ชนบท"

พระราชดำรัสในครั้งนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้น งานทันตกรรมเคลื่อนที่ หรืองานทันตกรรมชนบท
เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ได้พระราชทานรถทำฟันเคลื่อนที่ พร้อมอุปกรณ์ครบ 1 คัน พนักงานขับรถ และผู้ช่วย โดยมี ทันตแพทย์สี สิริสิงห์ เป็นหัวหน้าทีม ออกไป ให้บริการทำฟัน และดูแลสุขภาพในช่องปาก ให้กับราษฎรที่ยากจน ตามตำบล และอำเภอต่างๆ ที่อยู่ห่างไกล โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเจิมรถทันตกรรมเคลื่อนที่คันแรก เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2513 ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และได้ออกบริการประชาชนที่อำเภอทับสะแก ใกล้เขตแดนพม่าเป็นครั้งแรก ทันตแพทย์อาสาจะผลัดเปลี่ยนกันทุกอาทิตย์ การให้บริการทำตลอดปี ยกเว้นฤดูฝน โดยย้ายไปตามอำเภอต่างๆ อำเภอละ 1 วัน ในระยะแรก การให้บริการ เป็นการถอนฟัน และให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพช่องปาก เป็นส่วนใหญ่ เพราะราษฎรไม่เคยได้รับ การดูแลเรื่องฟันมาเลยในชีวิตหน่วยทันตกรรมพระราชทานจึงก่อกำเนิดขึ้น

Image

หน่วยทันตกรรมพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ให้บริการแก่ราษฎรผู้ยากไร้ และด้อยโอกาสมาเป็นเวลานานจนถึงปัจจุบัน

และได้มีการพัฒนาไปอย่างมาก ในอดีตสามารถให้การรักษาได้วันละประมาณ 50-70 คน และทำการถอนฟันเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันนี้ สามารถให้บริการได้ถึง 1,200-1,500 คนต่อวัน การบริการสามารถให้บริการได้ เช่นเดียวกับโรงพยาบาลใหญ่ๆ นับตั้งแต่การตรวจรักษาโรคในช่องปาก ถ้าพบโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งในช่องปาก ปากแหว่งเพดานโหว่ ฯลฯ ก็จะนำไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือที่คณะทันตแพทย์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระราชนุเคราะห์

นอกจากนั้น ยังให้ความรู้ทางทันตสุขภาพ บริการถอนฟัน ทั้งยากและง่าย
รวมทั้งการผ่าตัด ที่สามารถทำในหน่วยเคลื่อนที่ได้

บริการ รักษาโรคเหงือก การอุดฟันทั้งยากและง่าย นอกจากนั้น ในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา สามารถให้บริการรักษาคลองรากฟัน ซึ่งโดยปกติไม่สามารถให้การรักษา ในหน่วยเคลื่อนที่ได้ แต่จากการศึกษาวิจัย สามารถให้การรักษาให้เสร็จสิ้น ภายในวันเดียวได้ รวมทั้งการบริการด้านการใส่ฟัน ทั้งฟันเทียมบางส่วนถอดได้ ฐานพลาสติก หรือการใส่ฟันทั้งปาก ก็สามารถทำในหน่วยเคลื่อนที่ได้ ทำให้ผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากได้รับบริการ คณาจารย์ประจำหน่วยทันตกรรมพระราชทาน ได้พัฒนาเทคนิคในการใส่ฟันเทียม ให้ได้คุณภาพ แต่สามารถลดขั้นตอนลง ทำให้สามารถทำในหน่วยเคลื่อนที่ได้


เนื่องจากมีราษฎรมารับบริการวันละจำนวนมาก
เก้าอี้ทำฟันจึงต้องมีจำนวนถึง 45 ชุด และทันตแพทย์อาสาสมัคร
ที่ให้บริการจึงมีจำนวนถึง 50-60 คน ปัจจุบัน หน่วยทันตกรรมพระราชทานหน่วยนี้ จึงนับเป็นหน่วยทำฟันเคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีทันตแพทย์ชาวต่างประเทศให้ความสนใจ มาสมัครเป็นอาสาสมัครในหน่วยนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นค่าใช้จ่ายทุกประการปัจจุบัน มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ต้องการใส่ฟันเทียม แต่ยังไม่ได้รับการดูแล

ImageImage

ทั้งนี้เพราะทันตบุคลากรมีน้อย การใส่ฟันต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงเล่าว่า
วันหนึ่งเสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดขอนแก่น มีราษฎรคนหนึ่งเป็นผู้สูงอายุ ร่างกายซูบผอม ไม่สบาย พระองค์ท่านรับสั่งถาม

"เป็นอะไร ไม่สบายหรือ?" ราษฎรผู้นั้นทูลตอบว่า "ไม่สบาย ฟันไม่มี กินอะไรไม่ได้"
พระองค์ท่านจึงบอกว่า "ไปใส่ฟันซะ แล้วจะเคี้ยวอะไรได้ ร่างกายจะได้แข็งแรง"


Image

ในปีต่อมา เมื่อพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมราษฎร ที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้งราษฎรผู้นั้นได้มาเฝ้า และทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

"ไปใส่ฟันมาแล้ว ตามที่ในหลวงแนะนำ ตอนนี้กินอะไรได้ สบายแล้ว"

เมื่อได้ฟัง ทำให้คิดว่า เรื่องการใส่ฟันเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยเหตุนี้ หน่วยทันตกรรมพระราชทาน จึงสนองพระราชดำรัส ทำให้มีการใส่ฟันให้กับราษฎรที่ยากไร้ และด้อยโอกาสในหน่วยเคลื่อนที่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตา ให้อาสาสมัครในหน่วยทันตกรรมพระราชทาน ได้เฝ้ากราบพระบาทเสมอ เมื่อมีโอกาส พระองค์ท่านจะทรงเน้นเสมอในเรื่อง 2 เรื่อง

1.สถานที่ปฏิบัติงาน ควรเป็นที่ห่างไกลความเจริญ ที่ไม่มีทันตแพทย์ หรือมีทันตแพทย์ไม่เพียงพอ และควรให้โอกาสผู้ที่ยากไร้
และด้อยโอกาสก่อน ทั้งนี้ ท่านคงทรงหมายถึง ความเสมอภาค คนจน คนรวย ควรได้รับการดูแลเท่าเทียมกัน และทรงรับสั่งฝากว่า เวลาจะออกหน่วยฯ ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือสาธารณสุขจังหวัด ได้ทราบ เพื่อแจ้งให้ราษฎรที่มีปัญหาได้ทราบ จะได้เข้ามารับการรักษา ซึ่งหมายถึง การคุ้มทุน มีทันตแพทย์ไปให้บริการครั้งละหลายคน แต่มีราษฎรมารับการรักษา เพียงไม่กี่คน ทำให้เสียทั้งเวลา และค่าใช้จ่าย รวมทั้งเมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มารับทราบว่า ราษฎรของเขามีปัญหา มีความต้องการ เมื่อเห็นเป็นสิ่งที่ดี จะได้ปฏิบัติตาม หน่วยทันตกรรมพระราชทาน เหมือนเป็น pilot project ให้

2.เมื่อออกหน่วยฯ อย่าได้ไปรบกวนเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาต้อนรับ เลี้ยงดู
เพราะ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติมากอยู่แล้ว ให้อาสาสมัครหารับประทานเอง ฉะนั้น เวลาออกหน่วย จึงขอเป็นอาหารกล่องเป็นส่วนใหญ่ การออกหน่วยฯ ขณะนี้เน้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะราษฎรมีจำนวนมาก เมื่อเทียบกับจำนวนทันตแพทย์ การออกปฏิบัติงาน ทันตแพทย์ส่วนหนึ่งต้องออกปฏิบัติงาน ตั้งแต่ ตี 5 เพื่อไปจัดเตรียมเครื่องมือ เพื่อทันตแพทย์ส่วนใหญ่จะเริ่มปฏิบัติงาน ประมาณ 8.30 น. จนถึงประมาณ 5-6 โมงเย็น การปฏิบัติงาน เครื่องมือต้องมีเป็นจำนวนมาก เรื่องความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เครื่องมือทุกชิ้นต้องปราศจากเชื้อ ฉะนั้นในเรื่องนี้ต้องมีทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่ควบคุมเป็นพิเศษ ก่อนกลับเข้าที่พักแทบทุกวัน อาสาสมัครจะได้มีโอกาสทัศนศึกษา หรือกราบนมัสการพระเกจิอาจารย์ทั้งหลาย

โครงการทันตกรรมพระราชทานที่กล่าวมาแล้ว เป็นเพียงโครงการในพระราชดำริโครงการหนึ่ง
ยังมีโครงการในพระราชดำริอีก 3 โครงการ คือ


โครงการตามเสด็จ เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ จะมีทันตแพทย์ตามเสด็จ ถ้าพบราษฎรมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน หรือสุขภาพในช่องปากจะได้ให้บริการได้ทันที

โครงการทันตกรรมทางเรือ ได้ พระราชทานเรือเวชพาหน์ ให้สภากาชาดออกให้บริการทางการแพทย์ และทางทันตกรรม ดูแลราษฎรที่อาศัยอยู่ตามสองฝั่งคลอง เนื่องจากการคมนาคมทางบกไม่สะดวก

โครงการทันตกรรมหน้าวัง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จแปรพระราชฐานที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ทักษิณราชนิเวศน์ หรือภูพานราชนิเวศน์ จะมีรถทำฟันเคลื่อนที่ของกองทัพบก ให้บริการแก่ราษฎร บริเวณเน้าวังที่ประทับแทบทุกวัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหน่วยทันตกรรมพระราชทาน
ให้คณะทันตแพทย์ จุฬาฯ เป็นคณะแรก เมื่อ พ.ศ.2513
ต่อมาได้พระราชทานหน่วยทันตกรรมพระราชทาน ให้คณะทันตแพทย์อีก 6 คณะ


คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดูแลราษฎรทางภาคเหนือตอนบน
คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดูแลราษฎรทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดูแลราษฎรทางภาคใต้
คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ดูแลราษฎรทางภาคเหนือตอนล่าง
คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และคณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดูแลราษฎรทางภาคกลาง

ImageImage

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจัดถวาย จำนวน 50 ล้าน
จัดตั้งเป็นกองทุนทันตกรรม พระราชทานเฉลิมพระเกียรติฯ ให้คณะทันตแพทย์ทั้ง 8 สถาบัน เป็นค่าใช้จ่ายในการให้บริการและใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ทางทันตแพทย์ เพื่อให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพในช่องปากดี ในการบริหารกองทุน จะมีคณบดีทุกคณะ เป็นกรรมการ ซึ่งจะมีการประชุมกันเป็นประจำเพื่ออนุมัติโครงการต่างๆ



โครงการรากฟันเทียม พระราชทาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทาน พระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้าทูลละอองธุลีีพระบาท
ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรากฟันเทียม
เพื่อใช้ในโครงการรากฟันเทียม
21/06/53


รักในหลวง หวงแผ่นดิน
เกลียดเสื้อแดง จะรัฐบาล ม.แม้ว หรือ ม.มาร์ค ก็น่าผิดหวัง เลวพอๆกัน
ไปม๊อบมา ไปก็บอกว่าไป..ไม่ใช่ประเภท....ตุลาคมก็อยู่นะ(โกหก)
http://www.baanpud.net/forum/index.php....http://www.prachathon.org/forum/
User avatar
noway2know
 
Posts: 7750
Joined: Thu May 20, 2010 12:19 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby อานุง อัน รามา » Tue Nov 02, 2010 11:50 pm

ในหลวงที่สุดในหัวใจ
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

น้ำลดหรือยัง
โดย ถาวร ชนะภัย

หลาย ปีมาแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาได้รับผลกระทบหนักที่สุด เป็นช่วงเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ ห้องทรงงานใหม่ๆ
ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให้ฟังว่าแม้ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่เสด็จขึ้นห้องพระบรรทมแต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่ อยู่อย่างใกล้ชิด
ด้วยทรงห่วยใยราษฏรจึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เองถามไปทา งหาดใหญ่ว่า "น้ำลดแล้วหรือยัง"

โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์เมื่อเวลาตีสองตีสามมีข้อความที่ตอบ ด้วยความไม่พอใจว่า

"ถามอะไรอยู่ได้ดึกดื่นป่านนี้แล้วคนเขาจะหลับจะนอน" แต่ตอนท้ายของคำตอบก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า "น้ำลดแล้ว"

30บาทรักษาทุกโรค
ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก
ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯคนปัจจุบัน
บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์
สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไรในหลวงทรงตรัสว่า
"ไม่เป็นไรหรอกหากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้
แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี(ฟ้าหญิง)ก็ได้"
ท่านพูดเสียงเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลย
พูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้นให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก
เคยมีคนถามผมว่า นับถือใครมากที่สุด
คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือในหลวง
ท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้า
ยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน
มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์
ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่


เชื้อโรคตายหมด

หม่อมเจ้าภีศเดชรัชนีผู้อำนวยการโครงการหลวง
.......เหตุการณ์ในปี ๒๔๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา
และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม "เบื้องยุคลบาท"
วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่
ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้"ไปแอ่วบ้านเฮา"
ก็เสด็จฯ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ และมุงหญาแห้ง
เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ
แล้วรินเหล้าทำเอง ใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำ ๆ จับ
ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วง เพราะตามปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ
จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมา พระราชทานให้ผู้เขียนจัดการ
แต่ก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังรับสั่งว่า.....
"ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด"

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ


พับเพียบ
รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์
ผู้สนองพระราชดำริในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศและอิเส็กทรอนิกส์
ในครั้งแรก
ผมทำงานตามพระราชดำริโดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์
จนกระทั่งวันหนึ่ง
มีคนบอกว่าให้เข้าไปในวังด้วยกันและให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง
ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มา
แต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดี ๆ เจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อยู่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมา ทั้ง ๆ ที่งานยังไม่เสร็จ
แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯมายืนอยู่ข้างหลัง
ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ
เป็นอาการวูบขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่า ใช่แล้ว ใช่แน่ ๆ
เพราะคิดว่าเหมือนในรูป ผมก็รีบทำความเคารพ
แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่า
จึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมาเป็นเหมือนชันเข่า
เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่
ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไป เพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย
รากฎว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย
ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก
พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกัน
เลยกลายเป็นว่าวันนั้น นั่งพับเพียบสนทนากัน ๒-๓ ชั่วโมง
บนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วง บ่ายที่ร้อนเปรี้ยงงง.....

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ไม่ต้องกั้น
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก
วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนนฝนตกผมก็มีวิทยุเลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย
"วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ" ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฎรอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาลถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีกสร้างความทุกข์ ให้กับประชาชนทรงวิทยุบอกตำรวจว่า
"ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชนไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน"

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

กส.๙
พลตำรวจตรีสุชาติ เผือนสกนธ์
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่
เฝ้าฟังและติดต่อกับ "ปทุมวัน" และ "ผ่านฟ้า" เป็นครั้งคราว เมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น
การติดต่อทางวิทยุได้ทรง มีพระบรมราชานุญาต ให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่านไม่ต้องใช้ราชาศัพท์
พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ด "ว") ได้อย่างแม่นยำ
และใช้ได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังปฏิบัติไม่ได้
โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของตำรวจนี้เอง
จึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ
เช่น ข่าวโจรกรรม ,อัคคภัย ,การจราจรได้ทุกระยะในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่าน เพื่อปฏิบัติพระราชภารกิจ
...
จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับกรมตำรวจ
ให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุกับแผนกรักษาความปลอดภัย บุคคลสำคัญกรมราชองครักษ์
เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียง
และปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ
ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุ กับพนักงานวิทยุสถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี
เพื่อจะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติการสื่อสารบางประการ
โดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า"กส. ๙" ติดต่อเข้าไปพนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียง
ไม่ได้จึงได้สอบถามว่า "เป็น กส.๙" จริงหรือปลอม
ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูดไม่สู้จะเรียบร้อย
เรื่องนี้จึงเดือดร้อน มาถึงผู้เขียนเนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบ เพื่อให้ช่วยยืนยันว่าเป็น "กส.๙จริง"
...ด้วยพระมหากรุณาธคุณ พระองค์ท่าน ยังทรงห่วงใยว่าพนักงานวิทยุผู้นั้นจะถูกลงโทษทางวินัย
จึงได้รับสั่งทางวิทยุ
ให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของพนักงานวิทยุขออย่าให้มีการ ลงโทษเลย

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ตัวยึกยือ
รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
...... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จะพระราชดำเนินด้วยพระบาท เข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนัก
โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่าง เป็นระยะทางถึง ๒ กม.เศษ
.....นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึกของผู้คน
และความไม่สามัญธรรมดานี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น เป็นทวีคูณ
เนื่องเพราะบริเวณนี้คือ "ดงทาก" หรือ "รังทาก"
อันมีทากชุกชุมที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้...
กว่าจะถึงจุดหมายคือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้าง อ่างเก็บน้ำเพื่อใหม่มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่ ๕,๐๐๐ ไร่ใน ๓ เขตตำบล คือ
เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะเกือบทุกคนก็โชกฝน และโชกเลือด
แม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ก็มิได้รับยกเว้น
ค่ำวันนั้น
ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์
อากาศปลายฤดูฝนกำลังสบาย
ดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มจะปรายแสง
ขบวนรถยนต์พระที่นั่ง ได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
บนทางหลวงที่มืดสงัด เป็นเวลาหลายนาที ถามไถ่ได้ความภายหลังว่า
ยังมีทากหลงเหลือกัดติดพระวรกายอยู่อีก
เมื่อรู้สึกพระองค์จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่ง
และรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย
ทรงเรียกการทรงงานวิบาก ที่เชิงคีรี ครั้งนี้ในภายหลังว่า"สงครามกับตัวยืกยือ ที่เชิงคีรี

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

Image
คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
กฎแห่งกรรมไม่ต้องวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
ว.วชิรเมธี

เศรษฐกิจพอเพียง
http://www.sufficiencyeconomy.org/
User avatar
อานุง อัน รามา
 
Posts: 546
Joined: Thu May 13, 2010 1:10 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby อานุง อัน รามา » Wed Nov 03, 2010 12:02 am

Image
คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
กฎแห่งกรรมไม่ต้องวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
ว.วชิรเมธี

เศรษฐกิจพอเพียง
http://www.sufficiencyeconomy.org/
User avatar
อานุง อัน รามา
 
Posts: 546
Joined: Thu May 13, 2010 1:10 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby อานุง อัน รามา » Wed Nov 03, 2010 12:18 am

ในหลวง...ในรอยธรรม

ผู้เขียน ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

Image


'ในหลวง...ในรอยธรรม' ธ ทรงนำปวงไทยสุขสภาพร




พระราชปุจฉา
ทำไมจึงเรียกพระองค์ว่า "พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

พระพรหมุนีถวายวิสัชนา
ทางธรรมะเรียกว่า สมมติ ซ้อนสมมติ สัจจะซ้อนสัจจะ
ความเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เป็นสมมติอย่างหนึ่ง เรียกว่า สมมติเทพ
ความเป็นภิกษุก็เป็นสมมติอย่างหนึ่งซ้อนขึ้นในสมมติเทพ
ในการเช่นนี้ผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับสมมตินั้นๆ
เช่น เมื่อได้รับสมมติเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามสิกขาบทของพระภิกษุโดยเคร่งครัด
จักปฏิบัติแต่หน้าที่ของสมมติเทพอย่างเดียวไม่ได้
แต่ถ้าหน้าที่ของสมมติเทพไม่ขัดกับสิกขาบทวินัยก็อาศัยได้...
คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
กฎแห่งกรรมไม่ต้องวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
ว.วชิรเมธี

เศรษฐกิจพอเพียง
http://www.sufficiencyeconomy.org/
User avatar
อานุง อัน รามา
 
Posts: 546
Joined: Thu May 13, 2010 1:10 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby อานุง อัน รามา » Wed Nov 03, 2010 12:21 am

ในหลวงในรอยธรรม
by ว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi) on Tuesday, November 24, 2009 at 5:53am
http://www.facebook.com/note.php?note_id=184705296853

พระราชปุจฉากับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๒
(ผู้สร้าง page เห็นว่าเป็นบทความที่มีประโยชน์ เลยนำมาแบ่งปันกันครับ )

Image
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทั้งสองพระองค์มีพระราชปฏิสันถารถามถึงสุขภาพอนามัยและการอยู่สำราญ แห่งอิริยาบถของหลวงปู่ ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่แล้ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชปุจฉาว่า

พระราชปุจฉา : หลวงปู่ การละกิเลสนั้น ควรละกิเลสอะไรก่อน

หลวงปู่ดูลย์ : กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน

ทุกครั้งที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหลวงปู่ หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจ ในการทรงเยี่ยมแล้ว เมื่อจะเสด็จฯ กลับ มีพระราชดำรัสประโยคสุดท้ายว่า

"ขออาราธนาหลวงปู่ ให้ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้ไหม"

ทั้งๆ ที่พระราชดำรัสนี้ เป็นสัมมาวจีกรรม ทรงถวายพรแก่หลวงปู่โดยพระราชอัธยาศัย หลวงปู่ก็ไม่กล้ารับ และไม่อาจฝืนสังขาร จึงถวายพระพรว่า

หลวงปู่ดูลย์ : อาตมภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง


จากหนังสือ ในหลวงในรอยธรรม
เรียบเรียงโดย ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
กฎแห่งกรรมไม่ต้องวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
ว.วชิรเมธี

เศรษฐกิจพอเพียง
http://www.sufficiencyeconomy.org/
User avatar
อานุง อัน รามา
 
Posts: 546
Joined: Thu May 13, 2010 1:10 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby อานุง อัน รามา » Wed Nov 03, 2010 12:24 am

ในหลวง...ในรอยธรรม

ผู้เขียน ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

'ในหลวง...ในรอยธรรม' ธ ทรงนำปวงไทยสุขสภาพร

เป็น ที่ประจักษ์ชัดไปทั่วโลกว่าประชาชนคนไทยเรานั้นนับว่าโชคดีมหาศาล ที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นต่อปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่ามาโดยตลอด และที่ผ่านมาพระองค์ท่านได้พระราชทานกระแสพระราชดำรัส พระบรมราโชวาทในทางธรรมต่อเหล่าพสกนิกรไทยใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งเปรียบเสมือน “พรมหามงคล” และเนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2553 หากคนไทยจะได้ใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนให้เป็นไปในทางธรรม ตามที่ “องค์พ่อหลวง” ทรงชี้นำไว้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดียิ่ง จะนำมาซึ่งประโยชน์สุขทั้งต่อผู้ปฏิบัติเอง และต่อสังคมไทย-ประเทศไทยโดยรวม.....

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

...คือ พระปฐมบรมราชโองการ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานไว้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งนี้ นับแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 จวบจนถึงปัจจุบันนี้ “ธรรม” แห่งองค์ “ในหลวง” ได้แผ่ปกเกล้าปกกระหม่อมเหล่าปวงไทยให้อยู่เย็นเป็นสุขเรื่อยมา

“ทศพิธ ราชธรรม” แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นประดุจน้ำทิพย์อันล้นเปี่ยม ยังมาซึ่งประโยชน์สุขต่อเหล่าพสกนิกรไทยมากมายหลายด้าน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นอย่างหาที่เปรียบมิได้

ขณะ เดียวกัน ในด้านของธรรม หรือ “ธรรมะ” ตามหลักศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ “ทรงเป็นองค์ต้นแบบ” ของประชาชนคนไทยใต้เบื้องพระยุคลบาท ทั้งที่เป็นพุทธศาสนิกชน และที่นับถือศาสนาอื่น ๆ

“...พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ของเรา ทั้งตามความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้า ก็เห็นเป็นศาสนาดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจธรรมคำสั่งสอนอันชอบธรรม คำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล ซึ่งเคยคิดอยู่ว่า ถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่งตามราชประเพณี...”

...เป็น ความตอนหนึ่งจากกระแสพระราชดำรัสต่อพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2499 เรื่องการ “ทรงพระผนวช” เป็นความตอนหนึ่งจากกระแสพระราชดำรัส ซึ่ง ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต รวบรวมจัดพิมพ์ไว้ในหนังสือชื่อ “ในหลวง....ในรอยธรรม”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทรงพระผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีพระฉายาว่า “ภูมิพโลภิกขุ” และเสด็จฯมาประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร โดยที่ทรงครองสมณ เพศเช่นเดียวกับพระภิกษุรูปอื่น ๆ กล่าวคือ เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า และทรงทำวัตรเย็น ร่วมกับพระภิกษุรูปอื่น ๆ รวมถึงเสด็จฯ รับบิณฑบาตด้วย

ในหนังสือ “ในหลวง...ในรอยธรรม” ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า... เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 เป็นวันที่ชาวบ้านร้านตลาดแถวบางลำพูต่างพากันตื่นเต้นและปลื้มปีติอย่างล้น เหลือ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงพระผนวชได้เสด็จฯมาทรงรับบิณฑบาตจาก ประชาชนโดยไม่มีหมายกำหนดการเสด็จฯ

ภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว “ภูมิพโลภิกขุ” ทรงยืนรอรับบิณฑบาตด้วยสีพระพักตร์ที่อ่อนโยน ทรงสงบสำรวม เป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ที่ติดตาตรึงใจประชาชนคนไทยมาจนทุกวันนี้

ทั้ง นี้ ระหว่างทรงพระผนวช แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ทรงปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างถูกต้องครบถ้วนบริบูรณ์ ทรงสดับพระธรรมวินัย ทรงศึกษาพระธรรมวินัย ทรงตั้งมั่นอยู่ในไตรสิกขา ได้แก่ ศีลสิกขา สมาธิสิกขา และปัญญาสิกขา ทรงพระปัญญาคุณพิจารณาธรรมให้รู้แจ้งในสัจธรรม ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์ในเพศบรรพชิต ทรงสำรวมและมีพระราชจริยาวัตรอันงดงาม และในกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงเป็นพุทธมามกะที่เคร่งครัด

นับแต่อดีตจน ปัจจุบัน นอกเหนือจากพระจริยาวัตร พระราชกรณียกิจทางด้านการทำนุบำรุงพระศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นสิ่งที่พสกนิกรไทยต่างรับทราบ และเป็นภาพที่พสกนิกรไทยได้เห็นกันชินตามาโดยตลอดแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังได้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานกระแสพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท อันเกี่ยวเนื่องกับศาสนา เกี่ยวเนื่องกับ “ธรรม” แก่พสกนิกร ในโอกาสต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

เช่น พระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานในการเปิดประชุมใหญ่ของสมาคมพุทธศาสนาทั่วราช อาณาจักร ความสำคัญตอนหนึ่งว่า... “...การปฏิบัติธรรมนั้นต้องเริ่มต้นด้วยความอยากที่จะปฏิบัติธรรม เมื่ออยากที่จะปฏิบัติก็จะเริ่มสนใจ เมื่อเริ่มสนใจก็เริ่มทำได้แล้ว เมื่อเริ่มทำแล้วก็ต้องมีความพอใจ (ฉันทะ) ในการทำหรือในการปฏิบัติ เมื่อมีความพอใจแล้วก็จะต้องมีความเพียรพยายาม (วิริยะ) ความอดทน (ขันติ) ควบคู่กันไปด้วย

ในความเพียรพยายามและความอดทนนั้น ก็จะต้องมีการติดตามเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลาว่าการปฏิบัติของเราไปถึงไหนด้วย แล้วการปฏิบัติของเราก็จะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ จนบรรลุความสำเร็จได้ แนวการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เฉพาะในการปฏิบัติพระพุทธศาสนาเท่านั้น แม้ในงานอื่น ๆ ทุกอย่างก็ใช้ได้ เพราะว่าไม่มีอุปสรรคใด ๆ ที่จะข้ามไม่ได้ ถ้ามีความเพียรพยายาม ความ อดทน และความเอาใจใส่...”

เช่นพระ ราชดำรัสที่พระราชทานเพื่อการอัญเชิญไปอ่านในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิ กสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 20 ปี พ.ศ. 2513 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า... “...ในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ มีเสียงกล่าวกันว่า ความคิดจิตใจของคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อม ความประพฤติที่เป็นความทุจริตหลายอย่างมีท่าทีที่จะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไป พากันยอมรับ และสมยอมให้กระทำกันได้เป็นธรรมดา สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมัวลงไป เป็นปัญหาใหญ่ที่เหมือนกระแสคลื่นอันไหลบ่าเข้ามาท่วมทั่วไปหมด จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการช่วยกันฝ่าคลื่นที่กล่าวนั้น

ในการดำเนิน ชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่ให้กระทำสิ่งใด ๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่ว ว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริง ๆ ให้ผลของความดีบังเกิดขึ้นมาก ๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ...”

เช่นพระราชดำรัส เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า... “...นึกถึงคุณธรรมเป็นที่ตั้งของความรัก ความสามัคคี ที่ทำให้คนไทยเราสามารถร่วมมือร่วมใจกันรักษาและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญ รุ่งเรืองสืบต่อกันมาได้ตลอดรอดฝั่ง

คุณธรรมสี่ประการ ประการแรก คือ การที่ทุกคน คิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญ ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงานประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และแก่ประเทศชาติ ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตน อยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิดความเห็นของตนให้ถูกต้องเที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หาก ความคิดจิตใจและการประพฤติปฏิบัติลงรอยเดียวกันในทางที่ดีที่เจริญนี้ ยังมีพร้อมมูลอยู่ในกายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่า ประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้...”

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปี่ยมด้วยธรรม ทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพ และด้วยทรงห่วงใยพสกนิกรไทยและความเป็นไปของชาติไทย พระองค์ท่านได้พระราชทานพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท ที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมอันสามารถน้อมนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของ คนไทย ในการนำพาชาติไทยให้ก้าวหน้าสถาพรมาโดยตลอด ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นสุดประมาณ และนับเป็น “พรจากฟ้า” ที่คนไทยทุกหมู่เหล่าควรรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม น้อมนำไปปฏิบัติ ซึ่งจะบังเกิดผลดีทั้งต่อตนเอง และต่อประเทศชาติ

เหล่าพสกนิกรไทยต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น แห่งองค์ “ในหลวง... ในรอยธรรม”

ขอพระองค์ “ทรงพระเจริญ” ยิ่งยืนนาน.....



ทีมวิถีชีวิต หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ : รายงาน
คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
กฎแห่งกรรมไม่ต้องวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
ว.วชิรเมธี

เศรษฐกิจพอเพียง
http://www.sufficiencyeconomy.org/
User avatar
อานุง อัน รามา
 
Posts: 546
Joined: Thu May 13, 2010 1:10 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby noway2know » Fri Nov 12, 2010 4:51 pm

ศูนย์สาธิตสหกรณ์โครงการหุบกะพง

Image

หุบกะพงตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลเขาใหญ่ และตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อยู่ห่างจากจังหวัดเพชรบุรี 40 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเขตอำเขตอำเภอหัวหิน 34 กิโลเมตร
สภาพภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศ
หุบกะพงอยู่ห่างจากฝั่งทะเลประมาณ 6 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 12,500 ไร่
ความกว้างเฉลี่ย 2.8 กิโลเมตร ความยาวเฉลี่ย 7 กิโลเมตร ทิศเหนือจดเขาโป่ง ทิศใต้จดบ้านบ่อแขม
ทิศ ตะวันออกจดหมู่บ้านหนองยาว ทิศตะวันตกจดเขาหุบสบู่,เขาช่องม่วง และเขาหนอกวัว พื้นที่หุบกะพงอยู่สูงจากระดับ ทะเลโดยเฉลี่ย 40 เมตร ดินส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายและดินทราย ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน 5.4 – 6.5 หน้าดินตื้น จากการวิเคราะห์ดิน สามารถแบ่งดินได้เป็น 4 หมวด คือ ดินหมวดสัตหีบ ดินหมวดท่าตะโก ดินหมวดหนองแก และดินหมวดหุบกะพง ฝนตกเฉลี่ยประมาณ 700 มิลลิเมตรต่อปี การกระจายของฝนแปรปรวนมาก มักมีช่วงฝนแล้งเป็นเวลานาน ๆ อากาศแห้งแล้งลมพัด แรง ความชื้นเฉลี่ย 62-80% อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 35.1 องศาเซลเซียส และต่ำสุดเฉลี่ย 16.4 องศา-เซลเซียส และมีช่วงอากาศหนาวในรอบปีประมาณ 2 - 3 สัปดาห์

Image

ความเป็นมาของโครงการ

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จแปรพระราชฐานประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี พ.ศ. 2507 พระองค์ทรงเสด็จพระราช –ดำเนินเยี่ยมเยียน และดูแลทุกข์สุขของราษฎรตามท้องที่เขตจังหวัดใกล้เคียง ในวโรกาสนั้น พระองค์ได้ทราบถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรกลุ่มชาวสวนผักชะอำ จำนวน 83 ครอบครัว ว่าขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จะนำไปประกอบอาชีพ

พระองค์จึงทรงรับเกษตรกรเหล่านี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมทั้งพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ให้กู้ยืมไปลงทุน เป็นจำนวนเงิน 3 แสนบาท ภายหลังไม่ปรากฏผู้ใดนำเงินจำนวนที่กู้ยืมไปทูลเกล้าถวายคืนแก่พระองค์ท่านเลย และความได้ทราบฝ่าละอองพระบาทว่าเกษตรกรเหล่านี้ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ได้อาศัยเช่าของกรมประชาสงเคราะห์ โดยเฉลี่ยครอบครัวละไม่เกิน 2 ไร่ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ฯพณฯ องคมนตรี ม.ล.เดช สนิทวงศ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ไปจัดหาพื้นที่ในเขตจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำมาจัดสรรให้แก่เกษตรกรดังกล่าวต่อไป

ขณะเดียวกันนั้นรัฐบาลอิสราเอล โดย ฯพณฯ เอกอัครราชฑูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ขอทราบหลักการของโครงการและอาสาที่จะช่วยเหลือในการพัฒนาการเกษตรในรูปของ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ต่อมาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติได้เสนอหลักการของโครงการต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้มีมติเห็นชอบด้วยกับโครงการ
ได้ทำสัญญาร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล ไทยกับรัฐบาลอิสราเอล โครงการนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2509 กำหนดระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี สิ้นสุดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2514

ใช้ชื่อว่า“โครงการไทย-อิสราเอล เพื่อพัฒนาชนบท(หุบกะพง)”คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ(เดิม) และกระทรวงเกษตร(เดิม) ร่วมมือกันเป็นเจ้าของเรื่อง พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย ปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรเป็นรองประธาน และผู้แทนจากหน่วยราชการอื่นร่วมเป็นกรรมการ เช่น เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเป็นต้น

ImageImageImageImage

ด้วยความเห็นชอบจากคณะกรรมการทุกฝ่ายได้เลือกที่ดิน
บริเวณหุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
เป็นที่ตั้งของศูนย์สาธิตและทดลองการเกษตรของโครงการอิสราเอล โดยเหตุผลที่ว่าเดิม


ที่ดินบริเวณนี้เป็นป่าคุ้มครองของกรมป่าไม้ มีราษฎรเข้าไปจับจองอยู่บ้าง แต่การทำมาหากินไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เนื่องจากสภาพที่ดินส่วนใหญ่เป็นดินเลวขาดแคลนน้ำ การทำไร่จึงเป็นลักษณะไร่เลื่อนลอย ต้องย้ายที่อยู่เสมอทุกระยะ 3 – 4 ปี การจับจองไม่สัมฤทธิ์ผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงมีพระราชดำริให้กันพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ออกจากป่าคุ้มครองของกรมป่าไม้ ภายหลังพระองค์ทรง จับจองพื้นที่ดังกล่าวเยี่ยงสามัญชน โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายป่าไม้ และกฎหมายที่ดินทุกประการ เมื่อมีแนวพัฒนาที่ดินดีขึ้นแล้ว ก็จะจัดให้กับเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนในตอนต้น และเกษตรกรที่ขยันหมั่นเพียรแต่ขาดแคลนที่ดินทำกินเข้าอยู่อาศัย และทำประโยชน์ต่อไป

เมื่อได้มีการพัฒนาที่ดินและจัดระบบชลประทานในพื้นที่ 500 ไร่ แล้วตั้งเป็นศูนย์สาธิต
ทดลองการเกษตร พร้อมทั้งอพยพเกษตรกร 2 ครอบครัว ครอบครัวแรกจากกลุ่มเกษตรกรสวนผักชะอำ
ซึ่งได้รับความเดือดร้อนในตอนต้น และอีกครอบครัวหนึ่งเป็นเกษตรกรเดิมที่อาศัยที่ทำกินในเขตโครงการ โดยจัดที่ดินให้ครอบครัวละ 25 ไร่ จัดให้ปลูกพืชอาศัยน้ำชลประทาน 25 ไร่ มีเจ้าหน้าที่เป็นผู้วางแผนการปลูก และกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ให้เกษตรกรทั้ง 2 ครอบครัว กู้ยืมเงินเป็นทุนสำหรับการประกอบอาชีพครอบครัวละ 10,000 บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย ทั้งนี้เพื่อหาข้อมูลทางด้านต่าง ๆ เช่น ในด้านรายได้ รายจ่าย ความเหมาะสมของการใช้แรงงานในครัวเรือนกับขนาดของพื้นที่ที่จัดให้การปลูก พืช ใช้น้ำชลประทาน การปลูกพืชอาศัยน้ำฝน ตลอดจนการจัดบริการในด้านสินเชื่อ และการตลาด รวมทั้ง ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์การเกษตร ปัญหาด้านสังคมของเกษตรกร ประกอบการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงเพื่ออพยพครอบครัวของเกษตรกรที่เหลือเข้ามา อยู่ในหมู่บ้านบ้านเกษตรกรต่อไป ภายหลังเมื่อครบปีการผลิต เกษตรกรทั้ง 2 ครอบครัว สามารถใช้หนี้คืนแก่กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ และยังมีเหลือเป็นทุนสำรองสำหรับการประกอบอาชีพในปีต่อไป

Image

เมื่อได้รับข้อมูลจากครอบครัวเกษตรกรตัวอย่างทั้ง 2 ครอบครัวแล้ว ในปี พ.ศ. 2511 จึงอพยพครอบครัวเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนในตอนต้นทีเหลืออีก 82 ครอบครัว และเกษตรกรที่เข้ามาทำประโยชน์อยู่เดิมอีก 46 ครอบครัว เข้าอาศัยและทำประโยชน์ในพื้นที่ที่จัดสรรให้ครอบครัวละ 25 ไร่ จัดให้ปลูกพืชอาศัยน้ำชลประทาน 7 ไร่ และอีก 18 ไร่ ให้ปลูกพืชไร่อาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ และโครงการได้ให้กู้ยืมเงินครอบครัวละ 6,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกบ้านเรือน 1,500 บาท ส่วนที่เหลืออีก 4,500 บาท เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับวัสดุการเกษตร และค่าใช้จ่ายในครอบครัว

การอพยพครอบครัวเกษตรกรเหล่านี้ ได้จัดให้สร้างที่อยู่อาศัยรวมเป็นหมู่บ้านเกษตรกร
ขึ้นโดยมีทางราชการคอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำการบริหารงานของหมู่บ้านตัวอย่างให้บรรลุเป้าหมาย
และวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ขณะเดียวกันได้มีการให้การศึกษาอบรมเกี่ยวกับหลักและวิธีการของสหกรณ์
จนเห็นว่า สมาชิกของหมู่บ้านเกษตรกรมีความเข้าใจได้ดีพอแล้ว จึงเข้าชื่อกันเพื่อขอจดทะเบียนเป็น
สหกรณ์การเกษตร โดยชื่อว่า “สหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จำกัด” เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2514
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าพระราชทานทะเบียนให้ผู้แทนสหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จำกัด กับได้พระราชทานโฉนดที่ดินบริเวณหุบกะพง จำนวน 3 ฉบับ รวมพื้นที่ 12,079 – 1 – 82 ไร่ ให้กับกรมส่งเสริมสหกรณ์ และสหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จำกัด เป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงส่งเสริมงานหัตถกรรมจักสานป่านศรนารายณ์ในพื้นที่หุบกระพง

Image

ปี 2524 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับงานจักสานป่านศรนารายณ์ของแม่บ้านสหกรณ์หุบกะพง เข้าไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และได้เพิ่มจำนวนพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ป่านศรนารายณ์ จนทำให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
Image
Image
Image

หุบกระพงในปัจจุบัน
Image
Image
Image

ป่านศรนารายณ์ก่อนจะมาเป็นผลิตภัณฑ์สวยๆฝีมือชาวบ้าน
Image
Image

Image

Image
Image
Image

การปรับพื้นที่จากดินเลว ดินทรายให้ปลูกพืชได้โดยใช้หญ้าแฝกช่วยอุ้มน้ำ
Image

รักในหลวง หวงแผ่นดิน
เกลียดเสื้อแดง จะรัฐบาล ม.แม้ว หรือ ม.มาร์ค ก็น่าผิดหวัง เลวพอๆกัน
ไปม๊อบมา ไปก็บอกว่าไป..ไม่ใช่ประเภท....ตุลาคมก็อยู่นะ(โกหก)
http://www.baanpud.net/forum/index.php....http://www.prachathon.org/forum/
User avatar
noway2know
 
Posts: 7750
Joined: Thu May 20, 2010 12:19 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby noway2know » Fri Dec 10, 2010 11:08 pm

ในหลวงเสด็จฯ ทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์และสะพานภูมิพล



เวลา ๑๗.๓๐ น.(๒๔ พ.ย.๕๓) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจะเสด็จพระราชดำเนินจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ประทับเรือพระที่นั่งอังสนา ที่กองทัพเรือจัดถวาย เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปยังคลองลัดโพธิ์ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อทรงเปิดสะพานภูมิพล ๑ และสะพานภูมิพล ๒ หรือสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม และทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ รวมทั้งทอดพระเนตรภาพยนตร์เกี่ยวกับการก่อสร้างสะพานฯ และประตูระบายน้ำ

Image
Image

สะพานภูมิพล ๑ ,สะพานภูมิพล ๒
Image

Image
Image
Image
Image

รักในหลวง หวงแผ่นดิน
เกลียดเสื้อแดง จะรัฐบาล ม.แม้ว หรือ ม.มาร์ค ก็น่าผิดหวัง เลวพอๆกัน
ไปม๊อบมา ไปก็บอกว่าไป..ไม่ใช่ประเภท....ตุลาคมก็อยู่นะ(โกหก)
http://www.baanpud.net/forum/index.php....http://www.prachathon.org/forum/
User avatar
noway2know
 
Posts: 7750
Joined: Thu May 20, 2010 12:19 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby noway2know » Fri Dec 10, 2010 11:22 pm

Image

โครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์
เกิดขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2538 แก่นายรุ่งเรือง จุลชาต อธิบดีกรมชลประทาน พลตำรวจเอก จำลอง เอี่ยมแจ้งพันธุ์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ และนายจริย์ ตุลยานนท์ อดีตอธิบดีกรมชลประทานและกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งศึกษาพิจารณาวางโครงการและดำเนินการ ปรับปรุงขุดลอก พร้อมก่อสร้างอาคารประกอบในคลองลัดโพธิ์ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยให้แม่น้ำเจ้าพระยาไหลลัดลงทะเลได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งกับรองราชเลขาธิการ(นายวุฒิ สุมิตร) และ ฯพณฯ องคมนตรี นายสวัสดิ์ วัฒนายากร ณ สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ว่าโครงการคลองลัดโพธิ์จะทำประโยชน์ได้อย่างมหัศจรรย์มีพลังงานมหาศาล จะใช้พลังงานน้ำที่ระบายผ่านคลอง ทำประโยชน์อย่างอื่นด้วยได้หรือไม่

นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน ได้กล่าวถึงโครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ว่าเป็นโครงการที่กรมชลฯ สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีพระราชประสงค์ให้ปรับปรุง คลองลัดโพธิ์บริเวณคุ้งน้ำช่วงที่ไหลผ่านเขตพื้นที่ ต.บางกระเจ้า จากเดิมที่มีสภาพตื้นเขินมีความกว้างเพียง 10-15 เมตรให้สามารถรับปริมาณน้ำได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นทางลัดของน้ำไหลลงสู่ทะเลได้สะดวก รวดเร็วขึ้น

โดยช่วยลดระยะทางการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยาจาก 18 กิโลเมตรให้เหลือเพียง 600 เมตร รวมทั้งลดเวลาการเดินทางของน้ำจาก 5 ชั่วโมงให้เหลือเพียง 10 นาที เท่านั้น ทำให้ช่วยลดผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่งในกรุงเทพฯและปริมณฑล จากสภาวะน้ำเหนือไหลหลากในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการนี้สามารถระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยได้เฉลี่ยวันละประมาณ 40 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งผลการดำเนินการระบายน้ำตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม-15 พฤศจิกายน 2553 สามารถระบายน้ำได้โดยรวมประมาณ 2,470 ล้าน ลบ.ม. ถือว่าเป็นปริมาณน้ำที่มากในระดับหนึ่งที่ระบายลงสู่อ่าวไทยได้

"โครงการนี้ยังมีศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ โดยกรมชลฯได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำการศึกษา วิจัย และนำไปขยายผล เพื่อพัฒนาผลิตกังหันพลังน้ำ ติดตั้งในประตูระบายน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นการเพิ่มทางเลือกในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ทั้งยังช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนประหยัดพลังงานอื่นให้แก่ประเทศได้ อย่างมหาศาลด้วย ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อยู่ระหว่างขอจดสิทธิบัตรเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานจลน์ และชุดสำเร็จเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานจลน์ ในพระปรมาภิไธย คาดว่าจะประกาศได้ในเร็ววันนี้ และจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป" อธิบดีกรมชลประทาน กล่าว

รักในหลวง หวงแผ่นดิน
เกลียดเสื้อแดง จะรัฐบาล ม.แม้ว หรือ ม.มาร์ค ก็น่าผิดหวัง เลวพอๆกัน
ไปม๊อบมา ไปก็บอกว่าไป..ไม่ใช่ประเภท....ตุลาคมก็อยู่นะ(โกหก)
http://www.baanpud.net/forum/index.php....http://www.prachathon.org/forum/
User avatar
noway2know
 
Posts: 7750
Joined: Thu May 20, 2010 12:19 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby noway2know » Fri Dec 10, 2010 11:33 pm

สะพานภูมิพล ๑ ,สะพานภูมิพล ๒
Image

สะพานภูมิพล ๑
เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านเหนือ เชื่อมระหว่างแขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร กับ ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เป็นสะพานขึงเคเบิลคู่ขนาดกว้าง ๗ ช่องจราจร ที่ประกอบด้วยเสาสูง จำนวน ๒ ต้น ความยาวสะพานช่วงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ๓๒๖ เมตร เป็นโครงสร้างประกอบระหว่างคอนกรีต และเหล็ก และความยาวตัวสะพานในช่วงด้านหลัง ๑๒๘ เมตร เป็นโครงสร้างแบบคอนกรีตอัดแรง ความสูงจากระดับน้ำสูงสุดที่กึ่งกลางสะพานประมาณ ๕๐ เมตร เพื่อให้เรือบรรทุกหรือขนส่งสินค้าสามารถแล่นลอดได้

Image

ส่วนสะพานภูมิพล ๒
เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทาง ทางด้านใต้ เชื่อมระหว่าง ต.ทรงคนอง กับ ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เป็นสะพานขึงเคเบิลคู่ขนาดกว้าง ๗ ช่องจราจร ที่ประกอบด้วยเสาสูง จำนวน ๒ ต้น ความยาวสะพาน ช่วงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ๓๙๘ เมตร เป็นโครงสร้างประกอบระหว่างคอนกรีตและเหล็ก และความยาวตัวสะพานในช่วงด้านหลัง ๑๕๒ เมตร เป็นโครงสร้างแบบคอนกรีตอัดแรง ความสูงจากระดับน้ำสูงสุดที่กึ่งกลางสะพานประมาณ ๕๐ เมตร เพื่อให้เรือบรรทุกหรือขนส่งสินค้าจากปากแม่น้ำเจ้าพระยาสามารถลอดได้เพื่อ เข้าสู่ท่าเรือคลองเตย ช่วงตะวันตก เป็นทางยกระดับข้ามถนนพระราชวิริยาภรณ์ และเป็นทางระดับพื้นราบ ก่อนจะเป็นทางยกระดับอีกครั้งเมื่อบรรจบกับถนนสุขสวัสดิ์ โดยแยกเส้นทางออกไปจากช่วงที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

Image

Image

รักในหลวง หวงแผ่นดิน
เกลียดเสื้อแดง จะรัฐบาล ม.แม้ว หรือ ม.มาร์ค ก็น่าผิดหวัง เลวพอๆกัน
ไปม๊อบมา ไปก็บอกว่าไป..ไม่ใช่ประเภท....ตุลาคมก็อยู่นะ(โกหก)
http://www.baanpud.net/forum/index.php....http://www.prachathon.org/forum/
User avatar
noway2know
 
Posts: 7750
Joined: Thu May 20, 2010 12:19 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby วีรดา » Sun Apr 24, 2011 9:45 pm

ทรงพระเจริญ
User avatar
วีรดา
 
Posts: 347
Joined: Fri Nov 05, 2010 10:57 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby Watto » Tue May 24, 2011 1:35 pm

ชอบมากเหมือนกันครับ
Pattaya is renowned for nightlife.
User avatar
Watto
 
Posts: 2
Joined: Tue May 24, 2011 1:17 pm

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby kinjung » Sat Jun 04, 2011 4:12 pm

== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล ==

User avatar
kinjung
 
Posts: 55
Joined: Sat May 21, 2011 7:15 pm

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby 18Bottle » Tue Jul 05, 2011 8:38 pm

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน
เกลียด "อีตอแหล"
18Bottle
 
Posts: 217
Joined: Sun Jul 03, 2011 2:39 am

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby Jack_SAA » Wed Jul 13, 2011 2:50 pm

kinjung wrote:

== ข้อความถูกระงับโดยผู้ดูแล ==



แล้วพวกโง่ที่ยังกราบตีนนักการเมือง โจรในสภา อย่างพวกคุณล่ะครับ บรมโง่เลยมิใช่หรือ

ปล.ไอ้นี่ สงสัยอยากนอนคุกแบบอีดา
รกแผ่นดิน รกแผ่นดิน กำจัดมันไปอย่าให้รกแผ่นดิน
รกแผ่นดิน รกแผ่นดิน กำจัดมันไปอย่าให้รกแผ่นดิน


www.youtube.com/watch?v=6VtPPnctUMM
User avatar
Jack_SAA
 
Posts: 546
Joined: Mon Dec 13, 2010 11:24 pm

Re: อ่านแล้วน้ำตาไหลครับ ในหลวงในดวงใจชาวไทยทุกคน

Postby pawana » Wed Oct 05, 2011 5:10 pm

แต่คนไทยกลุ่มนั้น ก็มีเพียงน้อยนิด เทียบไม่ได้กับคนไทยส่วนใหญ่ที่รักพระองค์
เป็นคนไทยคนหนึ่งที่รักพระองค์สุดหัวใจ
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
User avatar
pawana
 
Posts: 6
Joined: Mon Apr 18, 2011 4:21 pm

Previous

Return to ห้องสมุด



cron