Tam-mic-ra wrote:อันนี้ถามหนูแจ๋ว
เพราะมันสะท้อนว่าคุณโง่เขลา และงมงายได้ชัด กว่าเราหรือเปล่าหนอ
ถ้าใช่ แสดงว่าอ่อนต่อโลกกว่าเราด้วย
จากลิ้งค์นี้
http://wow-fact.blogspot.com/2009/03/11-100.htmlวันที่ 29 ตุลาคม 2550 นายสุเทพลดสัดส่วนเหลือ 50,000 หุ้น อีก 151,000 หุ้น โอนให้ลูก 3 คน คนละ 50,000 หุ้น ที่เหลือ 1,000 หุ้น โอนให้นายชีวิต พรพานิช ทนายความ กระทั่งวันที่ 25 กรกฎาคม 2551 นายสุเทพโอนหุ้นให้ นายแทน 16,668 หุ้น นางสาวน้ำตาลและนางสาวน้ำทิพย์คนละ 16,666 หุ้น
เราถามว่า
แบบนี้นายสุเทพ ที่เป็นรัฐบาลที่ผ่านมา
จะเกิดการทำอะไรทุจริต เพื่อเอื้อประโยชน์ ให้กับธุรกิจของลูกๆหรือครอบครัว ได้เหมือนที่แจ๋วโจมตีแม้วได้หรือไม่? หรือไม่ผิด? เพราะไม่มีข่าวออก? ไม่มีใครออกมาแฉ? (ใครจะกล้าหว่ะ ล๊อปบี้สานให้ยุบพรรคคนอื่นเขา มันยังทำเลย)
มีอีกนะ
"ถาวร เสนเนียม โอนหุ้นปั๊มน้ำมัน-อสังหาฯ ให้ "ลูกสาว-ทนายความ"
http://wow-fact.blogspot.com/2009/03/blog-post.htmlถามแจ๋วข้อ 2
ดีลต่างๆด้านบน เขาได้เสียภาษีแบบลูกแม้วไหม (ถามแจ๋วเพราะคงคอติดตามนักการเมืองกว่าเรามาก อย่าว่าเรา***เลย

)
ยังไงก็ตอบเจ๋งๆนะ เราเริ่มศรัทธาแจ๋วละ
จากตอนแรก เรื่องเลี่ยงภาษี เราไม่ปลื้มแจ๋วเท่าไร

คุณจะถามอะไรเรา หรือจะบอกว่ากำนันเทือกก็เป็นคนดีเนอะ นักการเมืองเห็นมีแต่รวยขึ้น แต่นายสุเทพทรัพย์สินลดลงไปตั้ง 100 ล้านแน่ะ
นายสุเทพ และนายถาวรทำไมไม่ผิด เพราะมีหุ้นแล้วโอนให้ลูกๆเหมือนกัน เราจะตอบแบบนี้ก็แล้วกันนะ
1. นายสุเทพ และนายถาวร แจ้งรายการทรัพย์สิน และการถือหุ้นกับปปชตามจริง ไม่ได้มีลักษณะของการซุกหุ้น จากนั้นก็โอนให้ลูกๆถูกต้องตามระเบียบที่กฎหมายบังคับ ลักษณะการโอนเข้ากรอบกฏหมายมรดก นายสุเทพยอมเสียภาษีมรดก ซึ่งเป็นเงินมากโขอยู่ จึงไม่เข้าข่ายหาช่องทางหลีกเลี่ยงภาษี ทักษิณก็ทำแบบนี้ได้ทำไมไม่ทำล่ะ
2.นายสุเทพ และนายถาวรได้ดำเนินการกับหุ้นอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดดังนี้
พระราชบัญญัติ การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 มาตราที่ 1-20 มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้น ของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป
[รก.2543/66ก/1/12 กรกฎาคม 2543]
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
"รัฐมนตรี" หมายความว่า นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีแต่ละคนในคณะรัฐมนตรี
"นิติบุคคล" หมายความว่า นิติบุคคลที่รัฐมนตรีมอบหมายให้จัดการหุ้นส่วนหรือ หุ้นของรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัตินี้
"คณะกรรมการ ป.ป.ช." หมายความว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ
มาตรา 4 รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้(1) ในห้างหุ้นส่วนจำกัด รัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้ไม่เกิน ร้อยละห้าของทุนทั้งหมดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น(2) ในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด รัฐมนตรีเป็นผู้ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ ห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทนั้น
มาตรา 5 ในกรณีที่รัฐมนตรีประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนหรือ ผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทในส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ใน มาตรา 4 ให้รัฐมนตรี ดำเนินการดังต่อไปนี้(1) แจ้งเป็นหนังสือให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี และ
(2) โอนหุ้นส่วนหรือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นให้นิติบุคคลภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ได้แจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ และเมื่อ ได้ดำเนินการโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นให้กับนิติบุคคลใดแล้ว ให้รัฐมนตรีแจ้งเป็นหนังสือให้ประธาน กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้โอนหุ้นส่วน หรือหุ้นนั้น มาตรา 6 นิติบุคคลที่รัฐมนตรีจะโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นให้จัดการตามพระราชบัญญัติ นี้ได้ ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีอำนาจจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ หรือนิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามกฎหมายโดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
มาตรา 7 นิติบุคคลที่รัฐมนตรีจะโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นให้จัดการได้ ต้องเป็น นิติบุคคลที่ไม่มีกรรมการหรือพนักงานซึ่งนิติบุคคลนั้นมอบหมายให้เป็นผู้จัดการในการบริหารและ จัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรีที่มีผลประโยชน์หรือมีส่วนได้เสียกับรัฐมนตรี คู่สมรสของ รัฐมนตรี เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ของรัฐมนตรี
มาตรา 8 ในการโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรีให้กับนิติบุคคลตามพระราช บัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นส่วนหรือหุ้นให้กับนิติบุคคลโดยเด็ดขาดแต่การจัดการ หรือการจัดหาผลประโยชน์เกี่ยวกับหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา จัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี
การโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นที่มีภาระผูกพันใด ๆ อยู่ก่อนวันที่มีการโอน การโอนดังกล่าว ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าหนี้ตามภาระผูกพันนั้น และเจ้าหนี้ตามภาระผูกพันจะโต้แย้งการโอน ดังกล่าวมิได้
มาตรา 9 สัญญาจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรีต้องจัดทำตามแบบที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศกำหนดซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้
(1) รายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรีที่จะโอนให้กับนิติบุคคล
(2) รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นส่วนหรือหุ้น วิธีการจัดการ หุ้นส่วนหรือหุ้นและการจัดหาผลประโยชน์ในหุ้นส่วนหรือหุ้นที่รับโอน ซึ่งจะต้องไม่มีลักษณะเป็นการ กำหนดกรอบการจัดการหรือการจัดหาผลประโยชน์ที่รัฐมนตรีอาจครอบงำจัดการหรือการจัดหา ผลประโยชน์
(3) ค่าตอบแทนและวิธีการจ่ายค่าตอบแทนในการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้น ถ้าหากมี
(4) ความรับผิดและข้อจำกัดความรับผิดในการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้น
(5) การจ่ายผลประโยชน์ที่เกิดจากการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้น
(6) วิธีการคืนหุ้นส่วนหรือหุ้นที่รับโอนและผลประโยชน์ที่เกิดจากการจัดการหุ้นส่วน หรือหุ้น
ในการกำหนดแบบสัญญาจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจกำหนดเงื่อนไขหรือขอบเขตของความตกลงที่รัฐมนตรีและนิติบุคคลจะมีสิทธิกระทำได้ไว้ด้วยก็ได้
การทำความตกลงเป็นประการอื่นนอกเหนือจากข้อกำหนดในสัญญาจัดการหุ้นส่วน หรือหุ้นของรัฐมนตรีตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดจะกระทำมิได้
มาตรา 10 เมื่อรัฐมนตรีได้ดำเนินการโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นให้กับนิติบุคคลแล้ว ให้นิติบุคคลนั้นรายงานการรับโอนหุ้นส่วนหรือหุ้น พร้อมทั้งส่งสำเนาของสัญญาจัดการหุ้นส่วน หรือหุ้นของรัฐมนตรีให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้ลงนามในสัญญา ในการนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จัดให้มีการเปิดเผยสำเนาของสัญญานั้นให้ประชาชนทราบ ตามวิธีการที่เห็นสมควรโดยไม่ชักช้า
มาตรา 11 ห้ามมิให้รัฐมนตรีกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหาร ครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นหรือการจัดหาผลประโยชน์ในหุ้นส่วน หรือหุ้น
มาตรา 12 ห้ามมิให้นิติบุคคลยินยอมหรือดำเนินการด้วยวิธีการใด ๆ เพื่อให้ รัฐมนตรีมีโอกาสเข้าไปบริหาร ครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นหรือการ จัดหาผลประโยชน์ในหุ้นส่วนหรือหุ้น หรือเปิดเผยต่อบุคคลใด ๆ ในลักษณะที่จะมีผลทำให้รัฐมนตรี ทราบถึงการบริหารหรือจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นที่รับโอนมาจากรัฐมนตรีผู้นั้น เว้นแต่เป็นการเปิดเผย ตามที่กฎหมายกำหนด หรือเป็นการรายงานการประกอบกิจการตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด
มาตรา 13 ให้นิติบุคคลจัดทำบัญชีแสดงการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นที่รับโอนจาก รัฐมนตรีและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นดังกล่าวแยกไว้ต่างหากจากบัญชี แสดงการประกอบกิจการของนิติบุคคล
หุ้นส่วนหรือหุ้นที่นิติบุคคลรับโอนมาจากรัฐมนตรีและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการ จัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินของนิติบุคคลที่เจ้าหนี้ของนิติบุคคลนั้นจะยึดหรืออายัด เพื่อบังคับชำระหนี้ทั้งในคดีแพ่งและคดีล้มละลายได้ เว้นแต่เจ้าหนี้ของนิติบุคคลนั้นมีสิทธิบังคับตาม ภาระผูกพันที่ติดกับหุ้นส่วนหรือหุ้นหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นส่วนหรือหุ้นดังกล่าวโดยตรง
ให้นำความในวรรคสองมาใช้บังคับกับกรณีที่นิติบุคคลเลิกกิจการด้วยโดยอนุโลม
มาตรา 14 ในการรับโอนและจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรีตามพระราช บัญญัตินี้ ให้นิติบุคคลที่รับโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นนั้นได้รับยกเว้นจากบทบัญญัติของกฎหมายใด ๆ ที่ห้ามมิให้นิติบุคคลนั้นเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทอื่นหรือที่มีการจำกัด จำนวนเงินในการรับจัดการทรัพย์สินของบุคคลอื่น
ในกรณีที่มีกฎหมายจำกัดจำนวนหุ้นส่วนหรือหุ้นของนิติบุคคลในห้างหุ้นส่วนหรือ บริษัทอื่น มิให้นับจำนวนหุ้นส่วนหรือหุ้นที่ได้รับโอนมาจากรัฐมนตรี รวมทั้งผลประโยชน์ที่เกิดจาก หุ้นส่วนหรือหุ้นนั้นรวมเข้ากับจำนวนหุ้นส่วนหรือหุ้นที่นิติบุคคลนั้นจะพึงมีได้ในห้างหุ้นส่วนหรือ บริษัทอื่น
มาตรา 15 ในกรณีที่นิติบุคคลที่รับโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรีเลิกกิจการ หรือล้มละลาย เมื่อรัฐมนตรีได้รับหุ้นส่วนหรือหุ้นและผลประโยชน์ที่เกิดจากการจัดการหุ้นส่วนหรือ หุ้นกลับคืนมาแล้ว ถ้ารัฐมนตรียังคงประสงค์จะได้รับประโยชน์จากหุ้นส่วนหรือหุ้นดังกล่าวต่อไป ให้รัฐมนตรีแจ้งความประสงค์ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคืนหุ้นส่วนหรือหุ้นนั้น และดำเนินการโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นนั้น ให้กับนิติบุคคลอื่นตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีที่รัฐมนตรีได้รับโอนหุ้นส่วนหรือหุ้นเพิ่มขึ้นในระหว่างการดำรงตำแหน่ง เป็นรัฐมนตรี และมีส่วนเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ใน มาตรา 4 ถ้ารัฐมนตรียังคงประสงค์จะได้รับ ประโยชน์จากหุ้นส่วนหรือหุ้นดังกล่าวต่อไป ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 16 นิติบุคคลใดไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 10 หรือ มาตรา 13 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท
มาตรา 17 รัฐมนตรีผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 11 หรือนิติบุคคลใดฝ่าฝืน มาตรา 12 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 18 ในกรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่า กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ร่วมกระทำ ความผิดกับนิติบุคคล เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการกระทำของนิติบุคคลนั้นได้กระทำโดยตนมิได้ รู้เห็นหรือยินยอมด้วย
มาตรา 19 ให้รัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ
มาตรา 20 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี *หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ มาตรา 209 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ ตามจำนวน ที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีที่รัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวต่อไปรัฐมนตรี ผู้นั้นแจ้งให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายในสามสิบวันนับแต่ ่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้รัฐมนตรีผู้นั้นโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่ง จัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในการนี้ ห้ามมิให้รัฐมนตรีผู้นั้นกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารหรือ จัดการใด ๆ เกี่ยวกับหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราช บัญญัตินี้
http://www.kodmhai.com/m4/m4-1/h26/m1-20.htmlสรุปคือ มันมีช่องทางที่ทำให้ถูกกฎหมายได้ ทักษิณทำไมไม่ทำเหมือนคนอื่นเขา เพราะใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง และใช้อำนาจออกกฎหมายเพื่อรองรับผลประโยชน์ที่แอบซุกไว้ของตัวเองใช่มั้ย