รวมแหลทักษิณ

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby jaw » Tue May 31, 2011 3:41 pm

amplepoor wrote:ทั้งนี้ ระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณโฟนอิน น.ส.ยิ่งลักษณ์นั่งร้องไห้ตลอดเวลา

โห น้องแจ๋ว ยัยนี่มันเจ้าน้ำตามาแต่สมัยนู้นเลยหรือ


แต่หนูงงมากกว่า ทำไมต้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร หรือป้ากลวงเธอเข้าใจว่าตำแหน่งนายก และประเทศนี้เป็นของพวกเธอ ชินวัตร เท่านั้น :lol: :lol: :lol:
User avatar
jaw
 
Posts: 2796
Joined: Sun Dec 19, 2010 1:09 pm

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby amplepoor » Tue May 31, 2011 4:11 pm

เอาละ เมนคอร์สมาแล้ว ผมสรุปให้เข้าใจง่ายๆ รายละเอียด เชิญหนูแจ๋วเลาะกระดูกตามสบาย

สรุปคำวินิจฉัยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คดี พท.ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 26 ก.พ.2553

1 ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้หรือไม่
วินิจฉัยว่า การตรวจสอบของ คตส.เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ตามมาตรา 9 (1) และ (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มติเอกฉันท์

2 คตส.มีอำนาจถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่
วินิจฉัยว่า เป็นการดำเนินการภายใต้ขอบอำนาจตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 การแต่งตั้งอนุคตส. ใช้อำนาจตามประกาศคปค. ไม่ล่วงเลยระยะเวลาตามที่คัดค้าน เพราะมีกรอบเวลาชัดเจน หากไม่เสร็จสิ้นต้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ

ประเด็นที่คตส.บางคน เช่นนายกล้านรงค์ จันทิก นายบรรเจิด สิงคะเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นปฏิปักษ์ของผู้ถูกร้อง แต่งตั้งเป็นประธานอนุฯ คตส.นั้น ชอบแล้วด้วยกฎหมาย และ ป.ป.ช.จึงมีอำนาจดำเนินการแทน คตส.ได้ ก็ชอบด้วยเช่นกัน

คดีนี้เป็นคดีแพ่ง ผู้ถูกกล่าวหาไม่จำเป็นต้องมาศาล
มติเอกฉันท์ ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้

3 คำร้องของอัยการไม่เคลือบคลุม
คำร้องให้ยึดทรัพย์ จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้อง แจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม
มติเอกฉันท์

*********************************************************************
ึสรุปคำพิพากษา
1 ปกปิดอำพรางหุ้นผ่านนอมินี
วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ ยังถือหุ้นไว้ แม้มีการโอนหุ้นให้กับผู้คัดค้านหลายคนจริง แต่ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจดำเนินนโยบายและแต่งตั้งกรรมการในบริษัทชินคอร์ปจริง มีการควบคุมนโยบายของผู้ถูกกล่าวหาผ่านทางคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ปจริง
มติเป็นเอกฉันท์ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 มีหุ้นในเทมาเส็กจริง

การขายหุ้นให้พี่น้องมีพิรุธ ไม่มี่การจ่ายเป็นเงินจริง กลับจ่ายเป็นตั๋วสัญญา และรับเงินปันผลเข้าบัญชีระหว่างปี 2546-2548 จำนวน 1,000 ล้านบาท
มติเอกฉันท์ ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถือหุ้นใหญ่ของบ.ชินคอร์ป ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทั้งสองสมัย จริง

2 แปลงสัญญาสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป

เป็นเหตุให้ชาติเสียหาย 6 หมื่นล้านเศษ
มติเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหาใช้ตำแหน่งหน้าที่ ตราพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ทำให้ชาติเสียหาย

3 แก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงิน และ โรมมิ่ง
เดิมต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบก้าวหน้าอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543-30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2548
แต่แก้ไขเป็นแบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544

การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING)
เดิม เอไอเอส ต้องจ่ายค่า ROAMING ให้กับ บริษัท ทศท. และบริษัท กสท.ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็นไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ทำให้ขายหุ้นชินแก่เทมาเสกในราคาสูงเพราะภาระการจ่ายเงินค่าสัมปทานต่ำลงจากการแก้สัญญา
มติเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขสัญญาดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหามีหุ้นในชินคอร์ป ผลประโยชน์จึงตกแก่ผู้ถูกกล่าวหา เงินที่ขายหุ้นให้เทมาเส็ก จึงได้มาโดยไม่สมควร

4 การใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง)
วินิจฉัยว่า มีส่วนในการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ อนุญาตให้ใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) และปรับลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมระหว่างกสท.กับ DPC เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับชินคอร์ปฯ และเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นให้เทมาเส็กไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเทมาเส็ก

5 แก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ
สนับสนุนสัญญาดำเนินกิจการกิจการด่วเทียม โดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่อสัญญาณต่างประเทศ ล้วนเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และชินแซท

มติเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป และไทยคม
มีการกระทำที่ลัดขั้นตอน รีบเร่ง ผิดปกติวิสัย ทั้งนี้ ดาวเทียม IP STAR ไม่ได้เป็นดาวเทียมหลัก แทนไทยคม 3 เป็นดาวเทียมใช้สื่อสารต่างประเทศ ผิดสัญญาตามที่ระบุว่า ใช้สื่อสารในประเทศ จึงอยู่นอกกรอบสัญญา เป็นการอนุมัติให้บริษัทผู้ถูกกล่าวหา ได้รับสัมปทานไปโดยไม่มีคู่แข่ง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท

6 อนุมัติเงินกู้เอ็กซิมแบงค์ให้พม่า
การขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้กับประเทศพม่า มีเจ้าหน้าที่ของไทยคมและไอเอเอส ไปสาธิตระบบในที่ประชุมด้วย แสดงว่าการขอวงเงินเพิ่มเติม มีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อสินค้าและบริการจากไทยคม การอ้างว่าอนุมัติเงินไปซื้อสินค้าอื่นนั้น ไม่อาจหักล้างข้อที่ว่าไทยคมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินการในเรื่องนี้ได้

การอ้างว่าวงเงินสินเชื่อ ว่าขึ้นอยู่กับดุลพินิจของธนาคาร เห็นว่าธนาคารเอ็กซิมแบงค์ ตั้งขึ้นตามพรบ.เอ็กซิมแบงค์ ปี2536 อยู่ในการกำกับของรมว.คลัง ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล
อดีตกก.เอ็กซิมแบงค์ ก็ให้การว่าเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล การอนุมัติวงเงินให้รัฐบาลพม่าในครั้งนี้ ได้ผลตอบแทนเป็นดบ.ในอัตราต่ำ จึงต้องขอให้ก.คลัง จัดสรรเงินของคลังมาชดเชย กรณีนี้จึงส่งผลเสียต่องบประมาณของประเทศโดยไม่จำเป็น และเอ็กซิมแบงก์ก็ไม่ได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนี้อีกด้วย

การอ้างว่า การดำเนินนการนี้พิจารณาผลประโยชน์ของประเทศ ทำให้ปตท.สผ.ได้รับสัมปทานบ่อแก๊สที่พม่า นั้น เห็นว่าบ.ชินคอร์ปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยคม จึงได้ประโยชน์จากการถือหุ้น ย่อมเป็นการไม่สมควรที่จะอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้กับพม่า

มติเสียงข้างมาก เห็นว่าการดำเนินการนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่ไทยคมและชินคอร์ป



โอย เหนื่อย จบภาคแรกแค่นี้ก่อน
Last edited by amplepoor on Tue May 31, 2011 4:26 pm, edited 1 time in total.
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby jaw » Tue May 31, 2011 4:13 pm

กรณีการให้เงินกู้ EXIM Bank แก่รัฐบาลพม่า

เมื่อปี 2547 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (EXIM Bank) ของประเทศไทย ได้อนุมัติเงินกู้ประมาณ 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษร้อยละ 3 ต่อปี ให้แก่รัฐบาลพม่า ตาม “โครงการเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรและพัฒนาประเทศพม่า” โดยกำหนดให้มีระยะเวลาในการชำระคืน 12 ปี การให้เงินกู้ดังกล่าวเกิดขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าต้องดำเนินการตาม

จากข้อมูลของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าที่เปิดเผยตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ประมาณ 600 ล้านบาทของเงินกู้เป็นการปล่อยกู้เพื่อให้กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมของพม่าจัดซื้อจัดจ้างระบบอุปกรณ์ดาวเทียมความเร็วสูง เพื่อใช้กับบริการไอพีสตาร์ ของบริษัทชินแซทเทลไลท์ ในบริการโทรศัพท์ และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (broadband internet)

ภูมิหลังในการอนุมัติเงินกู้แก่รัฐบาลพม่าในโครงการดังกล่าวน่าจะเนื่องมาจากความอ่อนแอของระบบการเงินภายในของประเทศพม่าเอง เนื่องจากธนาคารและสถาบันการเงินในประเทศพม่ามีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอ และพม่าไม่มีตลาดหลักทรัพย์ในการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ กฎหมายการลงทุนของพม่ายังห้ามชาวต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดิน ตลอดจนโครงข่ายโทรคมนาคมในพม่า ซึ่งทำให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมพม่าไม่สามารถกู้เงินจากต่างประเทศได้ เพราะหากพม่าไม่ชำระหนี้ จะทำให้ผู้ให้กู้จากต่างประเทศต้องยึดโครงข่ายโทรคมนาคมหรือที่ดิน ซึ่งใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นของตนซึ่งเป็นการขัดกับกฎหมาย

แนวทางเดียวที่พม่าจะสามารถลงทุนในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมจึงต้องมาจากการขอสินเชื่อจากซัพพลายเออร์ (supplier credit) ซึ่งรวมถึงบริษัทชินแซทเทลไลท์ ที่ขายอุปกรณ์หรือโครงข่ายการสื่อสารต่างๆ ในพม่าอยู่ก่อนแล้ว ในกรณีที่ไม่มีสินเชื่อจาก EXIM Bank ซัพพลายเออร์เหล่านี้ต้องแบกรับความเสี่ยงเองจากการที่จะไม่ได้รับชำระหนี้จากรัฐบาลพม่า

การที่ EXIM Bank ได้ให้สินเชื่อแก่รัฐบาลพม่าในการจัดหาระบบอุปกรณ์ดาวเทียมความเร็วสูง จึงเป็นการโอนถ่ายความเสี่ยงจากบริษัทชินแซทเทลไลท์มายังกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันความเสี่ยงของ EXIM Bank ตามมาตรา 23 ของพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 ซึ่งกำหนดไว้ว่าในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายเนื่องจากการดำเนินธุรกิจตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดสรรเงินจากงบประมาณประจำปีเพื่อชดเชยแก่ธนาคารตามจำนวนที่เสียหายนั้น” มติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้จึงทำให้บริษัทชินแซทเทลไลท์และบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง

ปัญหาด้านธรรมาภิบาลที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ก็คือ รัฐบาลไทยไม่ได้กำหนดให้รัฐบาลพม่าต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างบริการโทรศัพท์และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยให้ผู้ประกอบการไทยทุกรายสามารถเข้าแข่งขันอย่างเป็นธรรม ภายใต้มาตรฐานด้านเทคนิค (technical specification) ที่เป็นกลางไม่ผูกติดกับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง ทั้งที่สามารถทำได้ในฐานะเจ้าของเงิน ดังตัวอย่างที่ธนาคารโลกและหน่วยงานให้เงินกู้พหุภาคี (multilateral lending agency) ต่างๆ ล้วนกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างที่ได้รับเงินกู้จากตน ต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสโดยวิธีการแข่งขัน แต่กลับปล่อยให้รัฐบาลพม่ากำหนดว่าต้องใช้เทคโนโลยีดาวเทียมความเร็วสูงอย่างเดียว ซึ่งน่าจะเป็นการ “ล็อกสเป็ค” ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อบริษัทชินแซทเทลไลท์


คำถามที่ติดตามมาก็คือ เหตุใดพม่าซึ่งเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่ำมาก และมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตในระดับที่ต่ำที่สุดประเทศหนึ่งของโลก จึงต้องการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แทนที่จะใช้อินเทอร์เน็ตในระดับความเร็วทั่วไป ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่ามาก ต่อประเด็นคำถามเหล่านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า “ที่ทางการพม่ามาใช้บรอดแบนด์ เพราะเขาต้องการทำโทรศัพท์ให้คนของเขาใช้ ซึ่งเขาก็เจรจากันเอง ผมไม่รู้เรื่องด้วย” และ “การคัดเลือกบริษัทที่เข้ามาดำเนินการประมูลเป็นกรรมวิธีของแต่ละประเทศ แต่บางอย่างมีผู้ให้บริการเพียงรายเดียวนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ หากการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการนี้เกิดขึ้นเพราะการสมคบกันของซัพพลายเออร์และผู้ซื้อ ราคาของสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องก็น่าจะสูงกว่าระดับที่ควรจะเป็นมาก ดังที่มักเกิดขึ้นกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในประเทศไทย


โดยสรุป การให้เงินกู้ EXIM Bank แก่รัฐบาลพม่าตาม “โครงการเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรและพัฒนาประเทศพม่า” น่าจะเอื้อประโยชน์เป็นอย่างมากให้แก่บริษัทชินแซทเทลไลท์ พร้อมกับสร้างความเสียหายให้แก่กระทรวงการคลัง และประชาชนไทยในฐานะผู้เสียภาษี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเสียโอกาสทางการเงินและระดับความเสี่ยงของประเทศพม่ามาก ความเสียหายดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้น หากพม่าไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ดังกล่าวให้แก่ประเทศไทยได้ตามกำหนด และอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในอนาคตมีปัญหาตามไปด้วย นอกจากนี้ การให้เงินกู้ดังกล่าวยังน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนพม่า หากทำให้รัฐบาลพม่าตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ เลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับประเทศของตน หรือมีการสร้าง “ต้นทุนแอบแฝง” อื่นๆ ที่ไม่ปรากฏในสัญญาเงินกู้ด้วย
User avatar
jaw
 
Posts: 2796
Joined: Sun Dec 19, 2010 1:09 pm

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby Elessar01 » Tue May 31, 2011 4:31 pm

ลงชื่ออ่านไว้ก่อน...

ครับ ยาวเหลือเกิน :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:
User avatar
Elessar01
 
Posts: 163
Joined: Wed May 04, 2011 8:13 am

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby amplepoor » Tue May 31, 2011 4:42 pm

ตามคำพิพากษานั้น คดีเอ็กซิมแบงค์มีข้อผิดอยู่ดังต่อไปนี้

1 การประชุมขอวงเงินเพิ่ม มีการสาธิตระบบของชินให้ที่ประชุมดู ฟังได้ว่าเป็นการซื้อสินค้าและบริการกัน

2 แม้วจะอ้างว่า อาจจะซื้อจากผู้ขายคนอื่น ก็ไม่ลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้น คือชิน ได้เปรียบจากการกระทำนี้แล้ว

3 การดำเนินงานของเอ็กซิมแบ้งต์ อยู่ในกำกับของรัฐบาล ข้ออ้างว่าอนุมัติตามดุลยพินิจของธนาคารจึงฟังไม่ขึ้น

4 มีอดีตกรรมการ ให้การว่าเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล

5 กระทรวงการคลัง ต้องจัดสรรเงินมาชดเชยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำครั้งนี้ ทำให้ประเทศเสียหาย

6 เอ็กซิมแบงก์ ไม่ได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนี้อีกด้วย

7 ข้ออ้างว่า รัฐบาลได้ประโยชน์เพราะพม่าให้สัมปทานแก็สกับปตท สผ. นั้น ไม่ได้ทำให้ความผิดเรื่องเอื้อประโยชน์ให้ชิน ตกไป

ทุกข้อที่ศาลชี้ออกมา ล้วนแต่เป็นแผลฉกรรจ์ในเรื่องเอื้อประโยชน์ให้ชิน ซึ่งศาลมีมติแล้วว่า ชินยังเป็นของทักษิณ เพียงแต่ใช้ตัวแทนถือหุ้นตบตาให้

ดังนั้น แม้ว่าแม้วไม่ใช่เจ้าของชินก็ตาม ความผิดของทางฝ่ายผู้บริหารประเทศและผู้รับผิดชอบโครงการ ตลอกจนเจ้าหน้าที่ ก็ยังมีอยู่ ซึ่งก็คือแม้วอีกนั่นแหละ
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby ริวมะคุง » Tue May 31, 2011 5:16 pm

ปี 2547 ได้ทำการปล่อยกู้ 4000ล้านบาทให้ทางพม่าไปแล้วไช่ป่าวคับ แล้วหลังจากนั้นเงินก้อนนี้เป็นยังงัยบ้าง

1.ทางพม่าทำยังงัยกับเงินก้อนนี้

2.มีการชำระคืนบ้างหรือยัง

ผมอยากรู้หนะครับสองข้อ....
ประเทศไทยต้องก้าวต่อไป
User avatar
ริวมะคุง
 
Posts: 1906
Joined: Thu Nov 26, 2009 8:28 am

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby jaw » Tue May 31, 2011 5:44 pm

ทักษิณสั่งให้ เอ็กซิมแบงค์ (ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยผู้ส่งออก ไม่ใช่ให้เพื่อนบ้านกู้ อันนี้ก็ผิดเจตนารมณ์แล้วนะ ) เพิ่มวงเงินกู้ให้พม่า จาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท สำหรับ พัฒนาระบบ โทรคมนาคม ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน ทั้งยังขยายเวลา ปลอดการชำระหนี้ จาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อผลประโยชน์ของ บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน)

พม่าเอาเงินกู้ไปซื้อโครงข่ายโทรศัพท์จากบริษัทของทักษิณ

ทำให้ กระทรวงการคลัง เสียหาย 300 ล้านบาท

ทักษิณ มีความผิดตามกฎหมายอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสีย เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 ,157 และ พรบ. แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และ 13

****คดีนี้เสื้อแดงจะชอบประโคมว่า เอ๊กซิมแบงค์บอกว่าไม่มีความเสียหาย ถูก เอ๊กซิมแบงค์ไม่เสียหาย แต่คนที่เสียหายคือกระทรวงการคลังเพราะต้องแบกรับดอกเบี้ยส่วนหนึ่งของพม่าไว้เอง (ทักษิณปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน โดยให้กระทรวงการคลังอุ้มดอกเบี้ยส่วนนึงเอาไว้ )
User avatar
jaw
 
Posts: 2796
Joined: Sun Dec 19, 2010 1:09 pm

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby overtherainbow » Tue May 31, 2011 6:52 pm

jaw wrote:ทักษิณสั่งให้ เอ็กซิมแบงค์ (ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยผู้ส่งออก ไม่ใช่ให้เพื่อนบ้านกู้ อันนี้ก็ผิดเจตนารมณ์แล้วนะ ) เพิ่มวงเงินกู้ให้พม่า จาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท สำหรับ พัฒนาระบบ โทรคมนาคม ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน ทั้งยังขยายเวลา ปลอดการชำระหนี้ จาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อผลประโยชน์ของ บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน)

พม่าเอาเงินกู้ไปซื้อโครงข่ายโทรศัพท์จากบริษัทของทักษิณ

ทำให้ กระทรวงการคลัง เสียหาย 300 ล้านบาท

ทักษิณ มีความผิดตามกฎหมายอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสีย เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 ,157 และ พรบ. แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และ 13

****คดีนี้เสื้อแดงจะชอบประโคมว่า เอ๊กซิมแบงค์บอกว่าไม่มีความเสียหาย ถูก เอ๊กซิมแบงค์ไม่เสียหาย แต่คนที่เสียหายคือกระทรวงการคลังเพราะต้องแบกรับดอกเบี้ยส่วนหนึ่งของพม่าไว้เอง (ทักษิณปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน โดยให้กระทรวงการคลังอุ้มดอกเบี้ยส่วนนึงเอาไว้ )

คิดดูก็แล้วกัน
สมัยนั้นแค่เก็บเกี่ยว
แต่ถ้าได้กลับมา
จะไม่เเค่เก็บ เกี่ยว
แต่จะมา
เอา คืน
User avatar
overtherainbow
 
Posts: 3123
Joined: Sat Dec 27, 2008 12:36 pm

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby amplepoor » Tue May 31, 2011 7:30 pm

ขอแทรกความริยัมใหม่ล่าสุดของแม้วครับ
-------
ขออำไพ แปะซ้ำครับ เชิญอ่านข้างล่าง
Last edited by amplepoor on Tue May 31, 2011 7:36 pm, edited 1 time in total.
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby amplepoor » Tue May 31, 2011 7:35 pm

amplepoor wrote:ป้ารุ้ง ค้นมาแปลหน่อยดิ ประชาทัศน์เป็นสื่อของเนวิน อาจจะเบี่ยงเบนได้ อยากจะสับให้ตรงประเด็นอะครับ
-------
สุด จัญ ไร!!!
'แม้ว'ขายชาติ พล่ามสื่อนอก ไทยรุกรานเขมร
หากเพื่อไทยชนะ จะยกแผ่นดินให้'ฮุนเซน'

http://www.prachatouch.co.th/web/news_d ... p?id=32226
อ้างอิงการสัมภาษณ์สเตรทไทม์....

นอกจากนี้ ยังยอมรับว่า ดำเนินนโยบายภาคใต้ผิดพลาด ใช้ความรุนแรงมากเกินไป

พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า การกระทำที่รุนแรงต่อชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ สมัยที่ตนเป็นนายกฯ ถือเป็นความผิดพลาด และกล่าวว่า การเป็นตำรวจทำให้ถูกสอนมาว่าต้องใช้ทั้งกำปั้นเหล็กและถุงมือกำมะหยี่ ที่ผ่านมาได้ใช้กำปั้นเหล็กมากไป และเสียใจในสิ่งที่เคยทำ ดังนั้น ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนแปลง
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby amplepoor » Tue May 31, 2011 7:49 pm

การเป็นตำรวจทำให้ถูกสอนมาว่าต้องใช้ทั้งกำปั้นเหล็กและถุงมือกำมะหยี่

ท่านที่คุ้นเคยภาษาอังกฤษ อ่านประโยคของแม้วข้างบนแล้วคงจะขำกลิ้ง ผมว่าหมอนี่เป็นพวกรู้น้อยว่ามากรู้เริงใจ ของแท้เลย....ไม่เข้าใจว่ามันรวยมาได้อย่างไร

คำว่ากำปั้นเหล็กและถุงมือกำมะหยี่ นี่ แม้วจะหมายถึงอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าคุยกับฝรั่ง เขาจะร้องโอ้ววว แล้วบออกว่า ม่ายช่าย ม่ายช่าย

ไม่มีกำปั้นเหล็ก and ถุงมือกำมะหยี่....มีแต่ กำปั้นเหล็ก in ถุงมือกำมะหยี่
an iron fist in a velvet glove
something that you say when you are describing someone who seems to be gentle but is in fact severe and firm.
To enforce each new law the president uses persuasion first, and then force - the iron hand in the velvet glove.
http://idioms.thefreedictionary.com/an+ ... lvet+glove

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงโจ๊กอีกเรื่องของแม้ว ตอนที่บอกฝรั่งว่า ยู แคน นอท คัฟเวอร์ เดอะ เดธ อีเลเฟ้นท์ วิท โลตัส ลีฟ....เหอๆๆๆๆ ฝาหรั่งคงเคยอ่านเจอสุภาษิตไทยว่าช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิด.....เนอะ แม้วเนอะ


พูดมาด้าย
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: รวมแหลทักษิณ

Postby overtherainbow » Thu Jun 02, 2011 10:37 pm

กระทู้ตกหน้าแรกไปหลายวัน

เอามาให้อั้พเดท ข้อมูลต่อค่ะ :mrgreen:
User avatar
overtherainbow
 
Posts: 3123
Joined: Sat Dec 27, 2008 12:36 pm



Re: รวมแหลทักษิณ

Postby thepporn_return » Tue Jun 14, 2011 10:19 am

เรื่องคดีเช็คเด้งของ แม้วครับ เอามาให้อ่านกัน

คำพิพากษา

ในพระประมาภิไธยพระมหากษัตริย์

ที่ 149/2532 ศาลฎีกา

วันที่ 20 มกราคม 2532

ความ แพ่ง

ระหว่าง นางชม้อย เชื้อประเสริฐ โจทก์

นายสันต์ สมิตเวช จำเลยที่ 1
พันตำรวจตรีทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 2

เรื่อง ตั๋วเงิน

จำเลยที่ 2 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2529

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ เลขที่ 1076909 ลงวันที่ 29 กันยายน 2525
จำนวน เงิน 1,300,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วน) เป็นเช็คออกให้แก่ผู้ถือ จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้
จำเลย ที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเพื่อรับรองเป็นประกัน สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดวันที่ลงเช็ค โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชี
ของโจทก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ปรากฏว่า ธนาคารตามเช็ค
ปฏิเสธ การจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โดยให้เหตุผลในใบคืนเช็คว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน
ตามเช็ค หลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเสีย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525
จนถึงวันฟ้อง เป็นเวลา 1 ปี รวมเป็นดอกเบี้ย 97,500 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีก
97,500 บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

จำเลย ที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนเงินตามเช็คตามฟ้อง โดยเป็นหนี้เพียง 750,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไปแล้ว
บางส่วน โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละห้าถึงเจ็ดต่อเดือน และนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาทบรวมเป็นเงินต้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้อง
รับผิดใช้เงินตามฟ้องทั้งหมด ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายและได้เช็คมาโดยไม่สุจริต ลายมือชื่อด้านหลังเช็คที่โจทก์อ้างว่า
เป็นลายมือชื่อผู้ค้ำประกันการจ่ายเงินตามเช็ค มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้ชัดเจนว่า
โจทก์ได้เช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้ชนิดใด ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจะให้การต่อสู้อย่างไรและเกี่ยวข้องกับเช็คตามฟ้อง
ในทางใด ขอให้ยกฟ้อง

ศาล ชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อ
เป็น ผู้สลักหลัง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525
จนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท แทนโจทก์

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนโจทก์

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบว่า เมื่อเดือนกันยายน 2523 จำเลยที่ 2 ได้ซื้อโรงภาพยนตร์พร้อมที่ดิน
จากนายธรรมนนท์ สมิตเวช บิดาจำเลยที่ 1 ในราคา 8,500,000 บาท แต่ระบุในสัญญาไม่ถึง 8,500,000 บาท โดยจำเลยที่ 2
ให้นางพจมาน ชินวัตร ภริยาลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ให้ความยินยอม ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญา
ขายที่ดิน ลงวันที่ 28 กันยายน 2523 เอกสารหมาย จ.3 ได้ชำระราคาเป็นเงินสดบางส่วน ที่เหลือชำระเป็นเช็คหลายฉบับ โดยจำเลยที่ 2
เป็น ผู้สั่งจ่าย ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเช็คที่จำเลยที่ 2 ออกให้เพื่อชำระค่าโรงภาพยนตร์และที่ดินมาชำระหนี้โจทก์ 3 ฉบับคือ เช็คธนาคารกสิกรไทย
สาขาสะพานกรุงธน ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2524 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท และเช็คธนาคารเดียวกัน ลงวันออกเช็ควันที่
29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ส่วนเช็คอีกฉบับหนึ่ง
ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ไม่ได้ถ่ายสำเนาไว้ เมื่อเช็คตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมายเลข จ.4
ถึงวันออกเช็ค โจทก์ได้เรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว ปรากฏตามสำเนาภาพถ่าย
ใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.4

โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยที่ 2 มาชำระเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปพบที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจในวันที่
16 เมษายน 2525 ครั้นถึงวันนัดโจทก์ นายนภศูล สวัสติเวทิน ทนายโจทก์ และจำเลยที่ 1 ไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2
ได้มีการเจรจากัน ในที่สุดจำเลยที่ 2 บอกว่า จะออกเช็คให้ใหม่และขอเช็คเก่าคืน แต่ในขณะนั้นจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้เปิดบัญชีใหม่ ขอให้
จำเลยที่ 1 ออกเช็คไปก่อน โดยจำเลยที่ 2 สลักหลังเป็นประกันให้ โจทก์ยอมตกลงในวันนั้น จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คให้โจทก์ 3 ฉบับ
โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังต่อหน้าโจทก์และนายนภศูลคือ เช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่
29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้
เช็คธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 1 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท และเช็คธนาคาร
เอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 1 ตุลาคม 2527 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสาร
หมาย จ.7 และ จ.8 ตามลำดับ (โจทก์ขออนุญาตส่งสำเนาภาพถ่ายแทน เพราะต้นฉบับจะนำไปดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่)
ครั้นเช็คตามฟ้องถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์เรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โจทก์ทวงถาม
ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คตามฟ้องแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเสีย

จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา

จำเลย ที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 2 รู้จักโจทก์ แต่ไม่เคยมีหนี้สินผูกพันกับโจทก์ และไม่เคยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์ เมื่อพุทธศักราช 2523
จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินจากบิดาจำเลยที่ 1 ในราคา 8,500,000 บาท ได้ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน
รวม 5 ฉบับ จำนวนเงิน 1,300,000 บาท 1 ฉบับ, จำนวนเงิน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ ลงวันออกเช็คห่างกันฉบับละ 1 ปี จำเลยที่ 2 ตกลง
กับ จำเลยที่ 1 ว่าไม่ให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ได้มีการนำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลยที่ 2 แล้วทุกฉบับ วันที่ 26 เมษายน 2525
จำเลยที่ 2 ลาป่วยไม่ไปทำงาน

พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คตามฟ้องแล้วมอบให้โจทก์ เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้อง
ไป เรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้
บรรยายถึง มูลหนี้ตามเช็คจึงขาดสาระสำคัญไปนั้น เห็นว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คออกให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ และตามกฎหมายถือว่าผู้ถือเป็นผู้ทรง
และบุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คย่อม ต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2
ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้องเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลย
ทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ แม้มิได้บรรยายถึงมูลหนี้ก็ถือได้ว่า คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้สั่งลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง และโจทก์เบิกความเท็จไม่น่าเชื่อถือ จะเห็นได้จากการที่โจทก์
เบิกความใน คดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คและจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้องและเช็คอื่นอีก 2 ฉบับ ที่ที่ทำงานของ
จำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 แต่ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยที่ 1 เป็นจำเลย ในข้อหากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โจทก์ฟ้องและเบิกความว่า จำเลย
(จำเลย ที่ 1 ในคดีนี้) สั่งจ่ายเช็คตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.7 ในคดีนี้ (ซึ่งโจทก์นำสืบในคดีนี้ว่า ออกพร้อมกับเช็คตามฟ้องคดีนี้)
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาที่จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหา
เบิกความเท็จ นายนภศูล ทนายโจทก์ก็ได้เบิกความว่า โจทก์กับนายนภศูลไปพบจำเลยที่ 2 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่
26 เมษายน 2525 จำเลยที่ 2 มิได้ไปทำงานเพราะลาป่วย มีใบลาเป็นหลักฐาน คดีจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง
เช็ค ตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ไม่เคยสั่งจ่ายเช็คให้จำเลยที่ 1 เพราะผู้ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินคือ นางพจมาน ภริยาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2
ไม่ ได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น โจทก์มีตัวโจทก์และนายนภศูลทนายโจทก์คนเดิมมาเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และจำเลยที่ 2
ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลัก หลังเช็คตามฟ้อง และเช็คตามสำเนาภาพถ่ายหมาย จ.7 และ จ.8 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525
ปรากฏรายละเอียดตามที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวในข้อนำสืบของโจทก์

ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 อ้างใบลาหยุดราชการในวันที่ 26 เมษายน 2525 เป็นพยาน เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่า โจทก์เบิกความเท็จ
พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและเชื่อไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อ้างอิง
ข้อเท็จจริงในฎีกาว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์บรรยายฟ้อง
และเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำฟ้องและคำให้การพยานโจทก์ท้ายฎีกา
เอกสารหมายเลข 1 และหมายเลข 2 และนายนภศูล ทนายโจทก์คนเดิมเบิกความเป็นพยานโจทก์ (จำเลยที่ 2 ในคดีนี้) ในคดีอาญา
หมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาว่า โจทก์และนายนภศูลไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจ
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 มิใช่วันที่ 16 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำให้การพยานเอกสารท้ายฎีกาหมายเลข 3

พิจารณาแล้วเห็นว่า เดิมนายนภศูลเป็นทนายโจทก์ในคดีนี้ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นโจทก์และเรียงฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่
52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่า ในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาแล้ว นายนภศูลในฐานะทนายโจทก์ยื่นคำร้อง ลงวันที่
6 สิงหาคม 2530 ขอถอนฟ้องโดยอ้างว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงกันแล้ว จำเลยที่ 2 รับสำนำคำร้องแล้วไม่คัดค้าน
ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถามเรื่องโจทก์ขอถอนฟ้อง ถึงวันนัด โจทก์และทนายคนใหม่มาศาลแถลงว่า โจทก์ไม่เคยตกลง
หรือยินยอมให้นายนภศูลถอนฟ้องดังที่นายนภศูล ยื่นคำร้องไว้และยืนยันขอดำเนินคดีในขั้นฎีกาต่อไป

ศาลฎีกาพิเคราะห์พฤติการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เห็นว่า คำฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่
และคำเบิกความของนายนภศูลในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญา หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์
ไม่น่าเชื่อถือและฟังไม่ได้ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาหรือไม่ ที่โจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่
26 เมษายน 2525 อาจเกิดจากความหลงถือหรือต้องเบิกความไปตามคำฟ้องก็ได้ อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 1 จะลงลายมือชื่อ
เป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 จะลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องในวันที่ 16 หรือวันที่ 26 เมษายน 2525 ก็หาใช่
สาระสำคัญไม่

ในปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังหรือไม่นั้น จำเลยที่ 2 ก็มิได้นำสืบปฏิเสธว่า ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้อง
มิใช่ลายมือชื่อของตน ในเรื่องของมูลหนี้นั้น จำเลยที่ 2 ก็ได้นำสืบว่า เมื่อพุทธศักราช 2523 จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดิน
จากบิดาจำเลยที่ 1 ในราคา 8,500,000 บาท ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน 5 ฉบับ จำนวนเงิน
1,300,000 บาท 1 ฉบับ จำนวน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ เป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ข้อนำสืบดังกล่าว....กับพยานหลักฐาน
ของโจทก์ แต่ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คดังกล่าวมาแลกเงินสดไปจากจำเลยที่ 2 ทุกฉบับแล้วนั้น ข้อนำสืบข้อนี้
มีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ลอยๆ เท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ด้วยเหตุผลดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า
จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คตามฟ้อง และเหตุที่จำเลยที่ 1 จะออกเช็คตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง
ก็ เกิดจากมูลหนี้ดังที่โจทก์นำสืบ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คตามฟ้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้งผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็ค ตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ไว้แล้ว
จึงไม่สั่งซ้ำอีก

พิพากษายืนให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาทแทนโจทก์

องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา
นายบุญส่ง คล้ายแก้ว
นายประมาณ ชันซื่อ
นายนิเวศน์ คำผอง

แมนมาก ๆ นายแม้ว ชินวัตร โกงเป็นสันดานเลยนะนาย
Best Regards
Thepporn_return

To Thailand forever
thepporn_return
 
Posts: 1009
Joined: Wed Apr 20, 2011 12:42 pm

Previous

Return to สภากาแฟ