by คนบาป » Fri Jun 03, 2011 7:03 pm
พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มประกันรายได้เกษตรกร เฟส 2 อีก 3,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มค่าขนส่งเป็น 200–600 ต่อตัน ท้าพรรคเพื่อไทยให้คำตอบโครงการรับจำนำมีชาวนาได้รับ ประโยชน์น้อยกว่า แถมมีปัญหาต้องขายข้าวในสต๊อกต่ำกว่าราคารับซื้อ เปิดแผนการใช้งบประมาณลงทุน 300,000 ล้านบาท
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ใช้สโลแกน “เดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายเพื่อประชาชน” ภายใต้นโยบายถ้าได้รับการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งจะเพิ่มกำไรให้ชาวนาอีก 2 ส่วน ซึ่งในโครงการเฟสแรกที่เคยให้กำไร 40% ก็จะเพิ่มให้เป็น 50% ในเฟสที่สอง และมีแผนที่จะใช้เงินอีก 3,000 ล้านบาท เพิ่มค่าขนส่งให้ 3 ระดับตามระยะทาง ถ้าจาก พื้นที่เพาะปลูกถึงกรุงเทพฯไม่เกิน 300 กม. ให้ค่าขนส่ง 200 บาทต่อตัน ถ้าระยะทาง 301-600 กม.ให้ค่าขนส่ง 400 บาทต่อตัน และระยะทาง 601 กม.ขึ้นไป ให้ค่าขนส่ง 600 บาทต่อตัน ผู้ที่จะได้เงินมากขึ้นคือผู้ที่อยู่ห่างไกล อย่างเชียงใหม่ เชียงราย และภาคใต้
เปรียบเทียบประกันรายได้-รับจำนำ
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินโครงการประกันรายได้เฟสแรก รัฐบาลใช้งบประมาณดำเนินโครงการฯไปร่วม 58,000 ล้านบาท ถือว่ามีการทุจริตน้อยมาก และเกษตรกรได้รับความเป็นธรรมจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม 4 ล้านครัวเรือน ขณะที่พรรคเพื่อไทยชัดเจนว่าประกาศยกเลิกการประกันรายได้ เกษตรกร โดยจะหันกลับไปใช้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 20,000 บาทนั้น เรื่องนี้ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยจะรับจำนำข้าวทั้งหมดหรือไม่ เพราะผลผลิตข้าวในแต่ละปีที่ 20-30 ล้านตันนั้น จะรับ จำนำทำได้มากที่สุด เพียง 8 ล้านตัน เพราะมีโกดังเก็บได้เพียงพอเท่านั้นและใช้เงินสูงถึง 120,000 ล้านบาท ดูแลชาวนาได้ไม่น่าจะเกิน 1 ล้านครัวเรือน
“หากคนเข้าใจภาษาไทยจะรู้ว่าไม่ใช่โครงการรับจำนำ แต่เป็นการรับซื้อ เพราะไม่มีใครที่ไหนจะสามารถรับจำนำข้าวได้ในราคาเกินกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว เสร็จแล้วก็ไม่มีใครมาไถ่ถอน เท่ากับรัฐบาลเป็นพ่อค้าข้าวที่ใหญ่ที่สุดเสียเองและหมายความว่า บริษัทประเทศไทย โดยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอาเงินภาษี 120,000 ล้านบาท มาเก็บไว้ในโกดังที่ต้นทุนตันละ 15,000 บาท ขณะที่ราคาจริงอยู่ที่ตันละ 8,500 บาท จากนั้นก็ต้องไปขายให้เกินจากราคาต้นทุนตันละ 15,000 บาท แล้วจะไปขายใครและกลัวว่าจะขายออกแบบไม่โปร่งใส ขายต่ำกว่า ราคาตลาดอย่างเช่นเคยทำกันในอดีต โจทย์นี้ในทางการเมือง การหาเสียงกับประชาชนต้องตอบกลับมา”
ขณะที่โครงการรับประกันรายได้ จะมีส่วนของราคาประกันให้กับเกษตรกรทุกคน แม้จะไม่มีข้าวไปขาย เพียงปลูก เพื่อการบริโภคในครัวเรือน อย่างเช่น ภาคอีสานมีชาวนา 2 ล้านครัวเรือน มีที่นาเฉลี่ยประมาณ 5 ไร่/ครัวเรือน แสดงว่าปลูกไว้เพื่อกินแต่ในส่วนต่างของการรับประกันเกษตรกรก็จะได้ แม้จะไม่มีข้าวขายก็ตาม
ปล่อยกู้ต้นกล้าธุรกิจ 5,000 ล้าน
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาล จะเร่งดูแลเรื่องสินค้าราคาแพง ต้องดูกระบวนการที่มีอำนาจเหนือตลาด เพราะขณะนี้ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม เรื่องของราคาสินค้า จึงต้องเร่งให้กระบวนการหรือ กลไกตลาดถูกกำหนดด้วยกติกาที่ชัดเจน และยอมรับ ที่ผ่านมาแก้ปัญหานี้ไม่เบ็ดเสร็จ จากนั้นค่อยไปดูเรื่องของการปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 25% ตามพื้นที่และค่าครองชีพต่างๆ แต่ทั้งหมดต้องผลักดันมาตรการภาษีที่จะช่วยผู้ประกอบการออกมาก่อนเพื่อเป็นการลดต้นทุนให้ก่อน ที่จะขยับค่าแรงขั้นต่ำให้กับลูกจ้าง ส่วนที่พรรคเพื่อไทยจะให้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศนั้น เกรงว่าจะสูงไปจนโรงงานทำไม่ได้ พร้อมกันนั้นจะต่อยอดโครงการต้นกล้าอาชีพที่เคยฝึกอาชีพคนไป 500,000 ราย ให้เป็นต้นกล้าธุรกิจ โดยจะให้เงินธนาคารใหม่คือ ธนาคารไปรษณีย์ 5,000 ล้าน บาท นำไปปล่อยกู้ให้คนกลุ่มนี้ รายละ 100,000-300,000 บาท
“พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย มีนโยบายที่ต่างกันอีก คือ พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายเรียนรู้ที่อยู่กับธรรมชาติ จะพลิกโฉมเมืองท่องเที่ยวตลอดชายฝั่งทะเลภาคใต้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็น “มนตร์เสน่ห์แห่งเอเชียด้วยเงินลงทุน 10,000 ล้านบาทต่อปี และยกเลิกนโยบายแลนด์บริดจ์หรือเซาเทิร์น ซีบอร์ด ซึ่งเคยเป็นนโยบายเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะดูเทรนด์เศรษฐกิจโลกแล้วอยากให้คนไทยมีความสุข”
ส่วนนโยบายของคนดูไบ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) เน้นเส้นทางขนส่งคมนาคมน้ำมัน เพราะเขาอยู่ประเทศดูไบ มองอะไรแบบดูไบ จะพัฒนาภาคใต้ให้เป็นศูนย์การขนส่ง เอาเป็นว่าหากอยากได้แท็งก์น้ำมันมาภาคใต้ ให้เลือกพรรคเพื่อไทย ใครอยากได้เมืองท่องเที่ยวเลือกพรรคประชาธิปัตย์
เปิดแผนใช้เงินพรรคประชาธิปัตย์
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ในภาคตะวันออกมีแผนจะสร้างแหลมฉบังให้เป็นเมืองท่าสมบูรณ์แบบ (Harbor City) พร้อมรถไฟความเร็วสูงเชื่อมกรุงเทพฯ แหลมฉบังและระยอง และเครือข่ายโลจิสติกส์ด้วยเงินลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ขณะที่จะสานต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เชื่อมคุนหมิง ภาคอีสานสู่ภาคใต้เชื่อมต่อไปยังมาเลเซียเพื่อพัฒนาการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเงินลงทุนทั้งหมดนี้ไม่ได้ลงในปีเดียว แต่มีแผนใช้จ่ายแต่ละปี
“แผนการใช้เงินของพรรคประชาธิปัตย์จะแบ่งใช้ 3-4 ปี ลงทุนร่วม 300,000 ล้านบาท ในปีแรกใช้เงินไม่มาก ประมาณ 60,000 ล้านบาท จะไปใช้มากในปีที่ 2-3-4 ซึ่งในเวลานั้นจะปรับโครงสร้างภาษีแล้วมีรายได้มากขึ้น โดยปีแรกนั้นโครงการประกันรายได้เกษตรกร เฟส 2 ตั้งงบ ประมาณไว้แล้ว 50,000 ล้านบาท ต้องตั้งเพิ่มอีก 15,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการรถไฟไทย-จีน วงเงินลงทุน 20,000 ล้านบาท ในช่วง 4 ปี และเป็นการร่วมทุนกับจีน ฉะนั้นปีแรกใช้เงินประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนท่องเที่ยวปีละ 10,000 ล้านบาท ได้ตั้งในงบเดิมไว้แล้ว 6,000 กว่าล้านบาท ดังนั้น งบประมาณปี 2555 ที่ตั้งขาดดุลไว้ 350,000 ล้านบาทก็ยังขาดดุลเท่าเดิม”
ส่วนของพรรคเพื่อไทย ผมไม่ค่อยเคลียร์เรื่องวงเงินลงทุนต้องใช้เป็นล้านล้านบาท หรือรถไฟ 5 ระบบที่จะทำทั่วไปหมดนั้น อยากถามว่าจะเอาผู้โดยสารจากไหน แอร์พอร์ตลิงค์ตอนนี้ผู้โดยสาร ก็ยังขึ้นไม่เต็มที่ หรือถ้าจะบอกว่ารู้ว่าประเทศไม่มีเงินก็ต้องลงทุนในรูปแบบ PPP ที่ดึงเอกชนมาร่วมลงทุน ก็ถามว่าการไปกำหนดราคาค่าโดยสารตลอดเส้นทาง 20 บาท แล้วจะมีเอกชนรายไหนจะกล้ามา.