รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby baezae » Wed Jun 08, 2011 8:51 pm

คนบาป wrote:
Jeh_Pen wrote:จากตารางนี้

Image

ผมเอาไปให้เสื้อแดงบางคนดู เค้าเถียงกลับมาว่า ตั้งแต่ 43 ถึง 51 หนี้สาธารณะลดลงมาเรื่อยๆ หมายความยังไง

แต่พอหลังปี 51 กลับเพิ่มขึ้น หมายความว่าไง


วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เกิดขึ้นทั่วโลก สมัยรัฐบาลสมัคร-สมชาย นั่นแหละครับ เลยต้องกู้มาแก้วิกฤติ

ผมไม่มีตัวเลขกู้ แต่เข้าใจว่ากู้ในเมืองไทยมากกว่ากู้เมืองนอก

และเมื่อเทียบกับทักษิณ กลับกู้น้อยกว่าเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนต่อ GDP

เวลาเปรียบเทียบ 2 รัฐบาลต้องเทียบลักษณะวงจรเศรษฐกิจด้วยนะครับ ปลายรัฐบาลชวนปี 2543 เศรษฐกิจเริ่มฟื้น กร๊าฟมีแนวโน้มเชิดหัวขึ้นแล้ว

แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เข้ามาในภาวะวิกฤติ เศรษฐกิจมีท่าทีดิ่งเหว ซึ่งทุกคนมองว่า เด็กน้อยสองคนจะเอาไม่อยู่ บางคนบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือนด้วยซ้ำ

แต่ไม่รู้เป็นยังไง ตลาดหุ้นพุ่งกว่า 150 %


อย่างที่ลุงแคนว่าไว้แหละครับ วิกฤติมาปลายช่วงนั้น

วิธีการแก้ปัญหาของสมัคร สมชาย คือ กู้ แล้วก็เอาเงินคงคลังมาใช้ หายไปกว่า ๑ แสน ๗ หมื่นล้าน ทำเอาประเทศร่อแร่

รัฐบาลปชป มากู้เยอะกว่าสี่แสนล้าน แต่มีศักยภาพในการจัดหารายได้เข้ามาใช้หนี้ได้มากกว่าด้วย

เอาดัชนีแต่ละตัวต้องดูเชื่อมกันครับ GDP โตเยอะ แต่หนี้เกินกว่า จีดีพี อันนี้ก็อ้างไม่ได้ หนี้ต่ำ แต่จีดีพีต่ำด้วยยิ่งไปกันใหญ่
ถ้าคุณเป็นเสื้อเหลือง ผมคุยกับคุณได้ และหัวเราะให้กันได้
ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ผมก็คุยกับคุณได้ และหัวเราะใ้ห้กันได้
แต่ถ้าคุณเป็นควายล้มเจ้าไม่ว่าจะสีไหน ผมจะด่าอย่างเดียว
User avatar
baezae
 
Posts: 1144
Joined: Thu Feb 18, 2010 10:43 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby Jeh_Pen » Wed Jun 08, 2011 9:05 pm

ขอบคุณครับ ผมเอาไปอธิบายให้เสื้อแดงคนนั้นฟังแร๊ะ

เขา ออฟไลน์ ไปเลย :o
User avatar
Jeh_Pen
 
Posts: 725
Joined: Sat Apr 02, 2011 1:29 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby finder » Wed Jun 08, 2011 11:46 pm

เห็นบอกว่าจะปักหมุด เลยขอเข้ามาร่วมด้วย

แบบว่าจะได้อมตะกับเขาบ้าง เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไร :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

เออะ,บอกก่อนนะ ผมไม่เก่งเรื่องเศรษฐกิจมหภาค เก่งแต่เรื่องจุลภาค

ประมาณว่าหมูจะ130ต่อโลแล้ว ผักชีโลละ120แล้วนะในยุคไ้อ้หล่อตอแหล

อย่างนี้เป็นต้น แต่ผมจะพยายามทำความเข้าใจครับ

เพราะผมฉลาดมาก อันนี้ไม่ต้องสงสัย :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:


PinkDevil wrote:
เข้ามาอ่านข้อมูลตัวเลขที่คุณ baezae ได้ช่วยรวบรวมให้ ขอตั้งขอสังเกตเรื่องหนึ้สาธารณะ

สาวกทักษิณชอบอ้างว่าเป็นเพราะหนี้ IMF ของรัฐบาลชวนทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วกู้มาตั้งแต่สมัยชวลิตที่มีทักษิณเป็นรองนายก ไม่ว่ากัน เอาเป็นว่ามีหนี้ IMF ก็มีหนี้ IMF แต่ถ้าไปพิจารณาตัวเลขแล้วจะเห็นว่าหหลังจากการใช้หนี้ IMF ที่เหลือทั้งหมดตามมติ ครม มกราคม 2546 ยอดหนี้โดยรวมหลังจากการใช้หนี้ไปแล้วไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเลยเลย เพราะในเดือน ตุลาคม 2545 ยอดหนี้อยู่ที่ 2.94 ล้านล้านบาทหลังจากใช้หนี้ไปแล้วในเดือนมกราคม 2546 ยอดหนี้ในเดือนตุลาคม 2546 2547 อยู่ที่ 2.93 3.13 ล้านล้านบาท คือลดลงมาแค่ประมาณ 10,000 ล้านบาทในปลายปี แล้วตีกลับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.13 ล้านล้านบาทในปีถัดมา
ผมทราบครับ :mrgreen: :mrgreen:

มองง่ายๆตรงไปตรงมาเลย คือ ทักษิณก็แค่กู้หนี้ใหม่ไปใช้หนี้ IMF แล้วแหกตาคนไทยเท่านั้นเอง แล้วการกู้ของทักษิณไม่ได้น้อยไปกว่าอภิสิทธิ์เลยเพราะดูจากตัวเลขสัดส่วนต่อ GDP ดังนั้น วาทกรรมดีแต่กู้ กู้มากที่สุดนั้น เป็นเพียงวาทกรรมที่มุ่งทำลายคู่แข่งทางการเมือง โดยปราศจากข้อมูลข้อเท็จจริงสนับสนุนอย่างที่สุด
ที่คุณว่าทักษิณมานั้น คนที่สู้กับทักษิณมาตั้งแต่ต้น เขาทราบครับ

และถ้าจำไม่ผิด ผมเคยบอกพวกเสื้อแดงว่า มันให้กระทรวงการคลังไปกู้มาบ้าง ออกพันธบัตรบ้าง

อย่างกรณ์ก็ทำเช่นกัน 8แสนล้านไงครับ เรื่องนี้บอกตามตรงไม่เข้าข้างใคร

ลอกแบบกันมาเลยละครับ ยังมีเรื่องที่ลอกแบบแม้วอีกหลายอย่าง แล้วผมจะตั้งกระทู้ให้เห็น ถ้าว่าง :mrgreen: :mrgreen:


Image

กราฟ จัดทำโดย คุณ Mahasura

ที่จริงการการก่อหนี้สาธารณะไม่ใช่เรื่องที่ผิด ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะทำก็ทำไปเถอะ ตราบใดที่สัดส่วนหนี้ต่อ GDP อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆทั่วโลกตอนนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยที่อยู่ระดับ 45% ถือว่า อยู่ในระดับที่ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในอนาคต และเมื่องลองเปรียบเทียบกับหลายๆประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ (68%) ฝรั่งเศส (78%) เยอรมัน (73%) หรือประเทศในทวีปอเมริกาอย่างอเมริกา (84%) แคนาดา (81%) ส่วนมาเลเซียทีมีระดับเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทย(55%) –ข้อมูลสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ปี 2010 จาก IMF- สัดส่วหนี้สาธารณะของไทยก็ไม่ได้สูงไปกว่าประเทศเหล่านั้นเลย[/color]
ครับไม่ได้สูงกว่า แต่อเมริกาถ้าไม่ใช่พี่เบิ้มของโลก ตอนนี้น่าจะพังแล้วนะครับ

และที่น่าเป็นห่วงคือสัดส่วนหนี้ต่อ GDPของไทยในอนาคต ที่ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอนจากโครงการประชานิยมของรัฐบาล

ไม่ว่าฝ่ายไหนมาเป็นรัฐบาลก็เหมือนกัน เพราะใช้ประชานิยมทั้งคู่ จะเจ๊งเหมือนอาร์เจนติน่า ต้นตำรับประชานิยม


สิ่งที่คนไทยควรจะมองน่าจะเป็นว่าเมื่อกู้มาแล้ว เงินกู้นั้นนำไปใช้ในโครงการอะไร เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยส่วนรวมหรือไม่ เป็นโครงการที่มุ่งสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศหรือไม่ ประเด็นนี้น่าจะเป็นประเด็นที่คนที่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ควรยกขึ้นมาถกเถียงมากกว่าจะมานั่งพูดๆๆ ว่าดีแต่กู้ แล้วไม่มีอะไรต่อ สังคมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการวิพากษ์วิจารณ์เลยด้วยซ้ำ
ทำประชานิยมแข่งกับเพื่อแม้วไงครับ และพยายามให้หนักกว่าเพื่อเอาใจประชาชนให้ได้มากกว่า

เชื่อว่าคงไม่มีใครเถียงว่าประชานิยมจะทำให้ชาติล่มจม ตามแบบอาร์เจนติน่า

นักวิชาการทั้งหลายก็แสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะโครงการที่สร้างขึ้น

ไม่ได้ไปเพิ่มผลผลิต เป็นการใช้เงินที่กู้มาอย่างสูญเปล่า

ทำให้ส่วนของหนี้เพิ่มขึ้น แต่ส่วนของGDPไม่เพิ่มหรือเพิ่มน้อย

สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้นี้


แต่สิ่งเดียวที่คนเหล่านั้นจะได้ก็คือความจริงที่ทิ่มแทงกลับไปว่า ทักษิณ ที่บูชาว่าเก่งนักเก่งหนานั้น เป็นเพียงคนไร้ฝีมือ ที่ไม่มีความสามารถอะไร นอกจากการโกหกแหกตาคนไทยด้วยความหน้าด้านปลิ้นปล้อนเท่านั้นเอง

ที่คุณด่ามันอย่างนั้นผมเห็นด้วยนะ และสนับสนุนให้ทำ

แต่อย่าลืมสิว่า รัฐบาลไอ้ตอแหลที่คุณเชียร์ มันลอกประชานิยมของแม้วมาทั้งนั้น

เพียงแค่เอาเงินไปจ้างนักวิชาการให้คิดให้ เสียไปหลายสิบล้าน แต่ผลก็คือ

ประชานิยมเหมือนแม้ว และบางโครงการก็เป็นของยุคสมัครที่ทำต่อมาด้วยซ้ำ

ตกลงคุณจะมองข้ามความเลวร้ายของโครงการประชานิยมที่รัฐบาลไ้อ้ตอแหลไปลอกมาหรือครับ

ผมจึงขอสรุปว่า เมื่อทำเรื่องเลวเหมือนกัน จะบอกว่าคนหนึ่งเลว แต่อีกคนเลวน้อยกว่า

ดังนั้นเราจึงควรเลือกคนที่เลวน้อยกว่าเช่นนั้นหรือ เป็นวิธีคิดที่อคติ ทำร้ายประเทศชาติ

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเสนอทางออก















ด้วยการ VOTE NO :mrgreen: :mrgreen:
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby zereza » Thu Jun 09, 2011 12:02 am

งั้นขอนิยามคนดีหน่อยสิครับ จะได้ไปเลือกคนดีได้ถูก :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:
"ถ้าคุณตั้งคำถามของปัญหาที่เกิดขึ้นผิด ก็อย่าหวังว่าจะได้ทางออกของปัญหาที่ถูกต้อง"
"อิทัปปัจจยตา และ ปฏิจจสมุปปบาท สองหลักใหญ่ที่เป็นหัวใจแห่งพุทธะ หากคนไทยเรียนรู้และปฏิบัติตามได้เกินครึ่ง ชาติไทยจะห่างไกลความวิบัติทั้งปวง"
User avatar
zereza
 
Posts: 1312
Joined: Mon Apr 26, 2010 6:03 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby someone » Thu Jun 09, 2011 12:04 am

อยากให้ปักหมุดจริงๆ เลยกระทู้นี้
User avatar
someone
 
Posts: 752
Joined: Thu Feb 19, 2009 6:27 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby คนบาป » Thu Jun 09, 2011 12:07 am

ทีมกรณ์รับไปแล้ว ไม่ทราบจะขยายผลได้มากน้อยแค่ไหน

จริงๆ เอาชาวบ้านแบบเราๆ นี่แหละ นั่งอธิบายกัน ชาวบ้านก็เข้าใจง่าย
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby คนบาป » Thu Jun 09, 2011 12:09 am

คุณ finder คิดยังไงกับข่าวนี้ของมติชน

Image
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby baezae » Thu Jun 09, 2011 12:22 am

คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง

ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ
ถ้าคุณเป็นเสื้อเหลือง ผมคุยกับคุณได้ และหัวเราะให้กันได้
ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ผมก็คุยกับคุณได้ และหัวเราะใ้ห้กันได้
แต่ถ้าคุณเป็นควายล้มเจ้าไม่ว่าจะสีไหน ผมจะด่าอย่างเดียว
User avatar
baezae
 
Posts: 1144
Joined: Thu Feb 18, 2010 10:43 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby Ricebeanoil » Thu Jun 09, 2011 12:35 am

baezae wrote:คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง

ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ


คงจะเอาไปโรยหน้ามั่งครับ
User avatar
Ricebeanoil
 
Posts: 65
Joined: Fri Feb 18, 2011 8:44 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby finder » Thu Jun 09, 2011 1:28 am

baezae wrote:คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง
ไม่แน่ใจว่าผมดูถูกที่หรือเปล่า แต่ผมเห็นมันเพิ่มขึ้นนะ เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณก็แล้วกัน

ผมเชื่อว่าคุณไม่โกหกหรอก ซื่อขนาดนี้ เชื่อถือได้ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:


ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ

บอกตามตรงนะครับ ผมเป็นคนออกเงินในการจ่ายตลาด คนที่ไปจ่ายตลาดจะรายงานผมถ้ามันแพงผิดปกติ

ราคาที่ผมบอกเป็นราคาในตลาดสดในกทม. ไม่ได้โกหก ของกรมการค้าภายใน มันจะสู้ข้อมูลจริงๆที่ซื้อได้อย่างไร

ผักชีราคาเป็นกิโล แต่ซื้อเป็นขีด แต่เนื้อหมูผมซื้อเป็นกิโลอยู่แล้ว ผมทานจุ เพราะต้องใช้สมองมาแย้งพวกปชป.ในนี้ไงละ

สั่งเกตุคำว่าใช้สมองนะครับ ไม่ได้แถ


:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby finder » Thu Jun 09, 2011 1:30 am

Ricebeanoil wrote:
baezae wrote:คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง

ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ


คงจะเอาไปโรยหน้ามั่งครับ

เก่งจริง รู้ได้ไงครับ :lol: :lol: :lol: :lol:
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby baezae » Thu Jun 09, 2011 1:34 am

finder wrote:
baezae wrote:คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง
ไม่แน่ใจว่าผมดูถูกที่หรือเปล่า แต่ผมเห็นมันเพิ่มขึ้นนะ เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณก็แล้วกัน

ผมเชื่อว่าคุณไม่โกหกหรอก ซื่อขนาดนี้ เชื่อถือได้ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:


ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ

บอกตามตรงนะครับ ผมเป็นคนออกเงินในการจ่ายตลาด คนที่ไปจ่ายตลาดจะรายงานผมถ้ามันแพงผิดปกติ

ราคาที่ผมบอกเป็นราคาในตลาดสดในกทม. ไม่ได้โกหก ของกรมการค้าภายใน มันจะสู้ข้อมูลจริงๆที่ซื้อได้อย่างไร

ผักชีราคาเป็นกิโล แต่ซื้อเป็นขีด แต่เนื้อหมูผมซื้อเป็นกิโลอยู่แล้ว ผมทานจุ เพราะต้องใช้สมองมาแย้งพวกปชป.ในนี้ไงละ

สั่งเกตุคำว่าใช้สมองนะครับ ไม่ได้แถ


:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:


ถ้าคุณฟายเด้อซื้อราคาแพงกว่าที่กรมการค้าภายในกำหนด แปลว่าคุณฟายเด้อโดนโกงแล้วครับ ต้องรีบไปแจ้งนะครับว่ามีคนขายเกินราคา ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเค้าก็จะเอาเปรียบคุณฟายเด้อได้เรื่อย ๆ

เพราะกรมการค้าภายในเค้ากำหนดราคามาแล้ว นโยบายรรัฐกำหนดมาแล้ว การขายแพงกว่านั้นผิดกฎหมายนะครับ

หรือไม่ก็เป็นคนจ่ายตลาดให้คุณฟายเด้อนั่นแหละครับอมเงินไป โดยโกหกว่าของแพง หากร้านที่ขายเค้าขายราคาปกติ

ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คุณฟายเด้อโดนหลอกแน่ ๆ ครับ
ถ้าคุณเป็นเสื้อเหลือง ผมคุยกับคุณได้ และหัวเราะให้กันได้
ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ผมก็คุยกับคุณได้ และหัวเราะใ้ห้กันได้
แต่ถ้าคุณเป็นควายล้มเจ้าไม่ว่าจะสีไหน ผมจะด่าอย่างเดียว
User avatar
baezae
 
Posts: 1144
Joined: Thu Feb 18, 2010 10:43 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby finder » Thu Jun 09, 2011 1:38 am

คนบาป wrote:คุณ finder คิดยังไงกับข่าวนี้ของมติชน

Image


บอกตามตรง ผมไม่สนใจ เพราะอย่างไรเสีย เดี๋ยวก็ขึ้น

แต่ถ้าบังคับให้ตอบก็จะบอกว่า ข่าวนี้น่าจะจริง

เพราะCP เป็นหลัก ไม่ใช่หล่อแหลเป็นหลัก

ไม่เชื่อลองบอกให้CPลดราคาสิ

นอกจากไม่ลดแล้ว ไอ้ตอแหลอาจกระเด็นทันที

ธนินทร์ตะโกนลั่น "มายุ่งอะไรกับไข่อั๊ววะ ไปยู่งแต่ไข่เอ็งสิ ชิหายนี่"

จบข่าว


:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby finder » Thu Jun 09, 2011 1:43 am

baezae wrote:
finder wrote:
baezae wrote:คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง
ไม่แน่ใจว่าผมดูถูกที่หรือเปล่า แต่ผมเห็นมันเพิ่มขึ้นนะ เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณก็แล้วกัน

ผมเชื่อว่าคุณไม่โกหกหรอก ซื่อขนาดนี้ เชื่อถือได้ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:


ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ

บอกตามตรงนะครับ ผมเป็นคนออกเงินในการจ่ายตลาด คนที่ไปจ่ายตลาดจะรายงานผมถ้ามันแพงผิดปกติ

ราคาที่ผมบอกเป็นราคาในตลาดสดในกทม. ไม่ได้โกหก ของกรมการค้าภายใน มันจะสู้ข้อมูลจริงๆที่ซื้อได้อย่างไร

ผักชีราคาเป็นกิโล แต่ซื้อเป็นขีด แต่เนื้อหมูผมซื้อเป็นกิโลอยู่แล้ว ผมทานจุ เพราะต้องใช้สมองมาแย้งพวกปชป.ในนี้ไงละ

สั่งเกตุคำว่าใช้สมองนะครับ ไม่ได้แถ


:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:


ถ้าคุณฟายเด้อซื้อราคาแพงกว่าที่กรมการค้าภายในกำหนด แปลว่าคุณฟายเด้อโดนโกงแล้วครับ ต้องรีบไปแจ้งนะครับว่ามีคนขายเกินราคา ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเค้าก็จะเอาเปรียบคุณฟายเด้อได้เรื่อย ๆ

เพราะกรมการค้าภายในเค้ากำหนดราคามาแล้ว นโยบายรรัฐกำหนดมาแล้ว การขายแพงกว่านั้นผิดกฎหมายนะครับ

หรือไม่ก็เป็นคนจ่ายตลาดให้คุณฟายเด้อนั่นแหละครับอมเงินไป โดยโกหกว่าของแพง หากร้านที่ขายเค้าขายราคาปกติ

ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คุณฟายเด้อโดนหลอกแน่ ๆ ครับ

ไม่มีใครหลอกผมได้หรอกครับ คุณก็รู้นี่ ผมฉลาดขนาดไหน :mrgreen: :mrgreen:

แต่ก็ขอบคุณครับที่แนะนำ แต่ทั้งตลาดก็ขายราคานี้ ผมไม่ทราบว่า กรมการค้าภายในมีมาตรฐานขนาดไหน

ถ้าจับแม่ค้าที่ตลาดนี้ ผมคงไม่มีอาหารทาน เพราะโดนจับกันหมด :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

เอาว่า ผมยอมจ่ายแพง ดีกว่าไม่มีข้าวกิน :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

นอนครับ สวัสดี คืนนี้ดึกไปหน่อย
User avatar
finder
 
Posts: 3547
Joined: Fri Jun 11, 2010 8:26 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby baezae » Thu Jun 09, 2011 1:49 am

finder wrote:
baezae wrote:
finder wrote:
baezae wrote:คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง
ไม่แน่ใจว่าผมดูถูกที่หรือเปล่า แต่ผมเห็นมันเพิ่มขึ้นนะ เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณก็แล้วกัน

ผมเชื่อว่าคุณไม่โกหกหรอก ซื่อขนาดนี้ เชื่อถือได้ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:


ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ

บอกตามตรงนะครับ ผมเป็นคนออกเงินในการจ่ายตลาด คนที่ไปจ่ายตลาดจะรายงานผมถ้ามันแพงผิดปกติ

ราคาที่ผมบอกเป็นราคาในตลาดสดในกทม. ไม่ได้โกหก ของกรมการค้าภายใน มันจะสู้ข้อมูลจริงๆที่ซื้อได้อย่างไร

ผักชีราคาเป็นกิโล แต่ซื้อเป็นขีด แต่เนื้อหมูผมซื้อเป็นกิโลอยู่แล้ว ผมทานจุ เพราะต้องใช้สมองมาแย้งพวกปชป.ในนี้ไงละ

สั่งเกตุคำว่าใช้สมองนะครับ ไม่ได้แถ


:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:


ถ้าคุณฟายเด้อซื้อราคาแพงกว่าที่กรมการค้าภายในกำหนด แปลว่าคุณฟายเด้อโดนโกงแล้วครับ ต้องรีบไปแจ้งนะครับว่ามีคนขายเกินราคา ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเค้าก็จะเอาเปรียบคุณฟายเด้อได้เรื่อย ๆ

เพราะกรมการค้าภายในเค้ากำหนดราคามาแล้ว นโยบายรรัฐกำหนดมาแล้ว การขายแพงกว่านั้นผิดกฎหมายนะครับ

หรือไม่ก็เป็นคนจ่ายตลาดให้คุณฟายเด้อนั่นแหละครับอมเงินไป โดยโกหกว่าของแพง หากร้านที่ขายเค้าขายราคาปกติ

ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คุณฟายเด้อโดนหลอกแน่ ๆ ครับ

ไม่มีใครหลอกผมได้หรอกครับ คุณก็รู้นี่ ผมฉลาดขนาดไหน :mrgreen: :mrgreen:

แต่ก็ขอบคุณครับที่แนะนำ แต่ทั้งตลาดก็ขายราคานี้ ผมไม่ทราบว่า กรมการค้าภายในมีมาตรฐานขนาดไหน

ถ้าจับแม่ค้าที่ตลาดนี้ ผมคงไม่มีอาหารทาน เพราะโดนจับกันหมด :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

เอาว่า ผมยอมจ่ายแพง ดีกว่าไม่มีข้าวกิน :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

นอนครับ สวัสดี คืนนี้ดึกไปหน่อย


กรมการค้าภายในเค้าเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบตรงนี้อยู่แล้ว จะไม่มีมาตราฐานคงเป็นไปไม่ได้ครับ แต่ทั่วถึงหรือเปล่านั่นอีกเรื่อง

เราประชาชนเห็นคนขายสินค้าเกินราคา โกงประชาชนอย่างเรา เราก็ต้องแจ้งให้หน่วยงานรัฐรับรู้และแก้ไขครับ ไม่ใช่ปล่อยไป ถ้ากลัวจะไม่มีของกินเลยต้องจำทนซื้อเกินราคา ทั้งที่ราคากำหนดไว้แล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับให้คนอื่นหลอกครับ เพราะอันนี้ทำตัวเอง ยอมให้ผู้อื่นเอาเปรียบเอง

ตลาดแถวบ้านนี่แย่น่าดูเลยนะครับ ขายเกินราคากันหมด อย่างนี้น่าจะฟ้องให้กรมการค้าภายในจับเสียให้เข็ด จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างต่อไปให้กับที่อื่น
ถ้าคุณเป็นเสื้อเหลือง ผมคุยกับคุณได้ และหัวเราะให้กันได้
ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ผมก็คุยกับคุณได้ และหัวเราะใ้ห้กันได้
แต่ถ้าคุณเป็นควายล้มเจ้าไม่ว่าจะสีไหน ผมจะด่าอย่างเดียว
User avatar
baezae
 
Posts: 1144
Joined: Thu Feb 18, 2010 10:43 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby คนบาป » Thu Jun 09, 2011 1:55 am

ขายเกินราคา เห็นบอกว่าโดนปรับ 5 หมื่นถึงแสน ติดคุกอีกต่างหาก
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby dutchout » Thu Jun 09, 2011 1:56 am

finder wrote:
baezae wrote:
finder wrote:
baezae wrote:คุณฟายเด้อครับ สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของเราอยู่ในสถานะทรงตัว และติดไปทางลดลงนะครับ ปี ๕๒ อยู่ที่ ๔๒ กว่า ๆ ปี ๕๓ อยู่ที่ ๔๑ กว่า ๆ

ในทางกลับกัน ตัวเลขรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นนะครับ ปลายปีที่แล้วส่งเงินเข้าคลังได้ ๓ แสนล้าน มีศักยภาพใช้หนี้ตกราวเดือนละ ๑ หมื่นล้าน กรณ์กู้มาต่างกับทักษิณครับ ทักษิณกู้มาแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มและเพิ่มเหยียบร้อยละ ๕๐ โน่น ส่วนตอนนี้เรากู้มาเพิ่มอยู่พักเดียว แล้วก็ลดลง
ไม่แน่ใจว่าผมดูถูกที่หรือเปล่า แต่ผมเห็นมันเพิ่มขึ้นนะ เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณก็แล้วกัน

ผมเชื่อว่าคุณไม่โกหกหรอก ซื่อขนาดนี้ เชื่อถือได้ :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:


ราคาสินค้าอย่างเนื้อหมู ถ้าคุณฟายเด้อเปิดดูเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน จะพบว่าราคาเนื้อหมูต่อกิโลจะเพิ่มราวร้อยละ ๕ ถึง ๑๐ ต่อปีอยู่แล้ว ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งสั่งเมื่อวานก่อนให้ลดราคาลงมากิโลละ ๕ บาทด้วยซ้ำไป

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P11003&catalog=1&product=P11000

เช่นกัน ผักชี(คัด)ก็ลดราคาลงมาหลักจากแพงขึ้นในปีที่แล้ว

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13034&catalog=1&product=P13000

ส่วนผักชี(คละ) ราคาก็ถูกกว่าเท่าตัว แถมราคาถูกลงแล้วด้วย

http://cbwm.dit.go.th/pricelist/showannual_data.asp?pid=P13033&catalog=1&product=P13000

ว่าแต่ที่บ้านคุณฟายเด้อซื้อผักชีทีเป็นกิโลเลยหรือครับ? บ้านผมอยู่กัน ๕ - ๖ คนยังซื้อเป็นขีดเอาเลยนะครับ

บอกตามตรงนะครับ ผมเป็นคนออกเงินในการจ่ายตลาด คนที่ไปจ่ายตลาดจะรายงานผมถ้ามันแพงผิดปกติ

ราคาที่ผมบอกเป็นราคาในตลาดสดในกทม. ไม่ได้โกหก ของกรมการค้าภายใน มันจะสู้ข้อมูลจริงๆที่ซื้อได้อย่างไร

ผักชีราคาเป็นกิโล แต่ซื้อเป็นขีด แต่เนื้อหมูผมซื้อเป็นกิโลอยู่แล้ว ผมทานจุ เพราะต้องใช้สมองมาแย้งพวกปชป.ในนี้ไงละ

สั่งเกตุคำว่าใช้สมองนะครับ ไม่ได้แถ


:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:


ถ้าคุณฟายเด้อซื้อราคาแพงกว่าที่กรมการค้าภายในกำหนด แปลว่าคุณฟายเด้อโดนโกงแล้วครับ ต้องรีบไปแจ้งนะครับว่ามีคนขายเกินราคา ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเค้าก็จะเอาเปรียบคุณฟายเด้อได้เรื่อย ๆ

เพราะกรมการค้าภายในเค้ากำหนดราคามาแล้ว นโยบายรรัฐกำหนดมาแล้ว การขายแพงกว่านั้นผิดกฎหมายนะครับ

หรือไม่ก็เป็นคนจ่ายตลาดให้คุณฟายเด้อนั่นแหละครับอมเงินไป โดยโกหกว่าของแพง หากร้านที่ขายเค้าขายราคาปกติ

ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คุณฟายเด้อโดนหลอกแน่ ๆ ครับ

ไม่มีใครหลอกผมได้หรอกครับ คุณก็รู้นี่ ผมฉลาดขนาดไหน :mrgreen: :mrgreen:

แต่ก็ขอบคุณครับที่แนะนำ แต่ทั้งตลาดก็ขายราคานี้ ผมไม่ทราบว่า กรมการค้าภายในมีมาตรฐานขนาดไหน

ถ้าจับแม่ค้าที่ตลาดนี้ ผมคงไม่มีอาหารทาน เพราะโดนจับกันหมด :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

เอาว่า ผมยอมจ่ายแพง ดีกว่าไม่มีข้าวกิน :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:

นอนครับ สวัสดี คืนนี้ดึกไปหน่อย



เห็นไม่ยอมให้คนชั่วคนโกงเข้าสภา แต่นี้แค่แม่ค้ายอมแล้วหรือ แถมปล่อยปะละเลย รู้แล้วไม่ยอมไปแจ้งกรมการค้าภายใน ไอ้ผมก็นึกว่าจะเป็นพวกที่รังเกียจคนโกงไปทุกคน พึ่งรู้ว่าแม่ค้าโกงๆ นี้รับได้ เพื่อปากท้องตัวเองก็เลยต้องยอมปล่อยเลยตามเลย 2 มาตราฐานนิครับแบบนี้ :lol: :lol:


มันไม่มีนะครับโกงมากโกงน้อย โกงก็คือโกงเหมือนกันหมด คุณ ฟาย อย่าไปยอมครับ :lol: :lol:
User avatar
dutchout
 
Posts: 2194
Joined: Tue Apr 14, 2009 10:53 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby baezae » Thu Jun 09, 2011 1:57 am

คนบาป wrote:ขายเกินราคา เห็นบอกว่าโดนปรับ 5 หมื่นถึงแสน ติดคุกอีกต่างหาก


นั่นสิครับ ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือ พ่อค้าแม่ค้าขายเกินราคาไม่ได้ ราคาของก็ต้องอยู่ในอัตราที่รัฐกำหนด

แต่ถ้าประชาชนนิ่งเฉย ก็ต้องซื้อของแพงต่อไป จะมาบ่นก็ไม่ใช่ที่กระมัง
ถ้าคุณเป็นเสื้อเหลือง ผมคุยกับคุณได้ และหัวเราะให้กันได้
ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ผมก็คุยกับคุณได้ และหัวเราะใ้ห้กันได้
แต่ถ้าคุณเป็นควายล้มเจ้าไม่ว่าจะสีไหน ผมจะด่าอย่างเดียว
User avatar
baezae
 
Posts: 1144
Joined: Thu Feb 18, 2010 10:43 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby ตามนั้น » Thu Jun 09, 2011 2:06 am

โกงได้แต่ขอให้มีผลงานกับโกงได้ขอให้มีของกิน นี่เหมือนกันหรือเปล่าครับ :roll:
User avatar
ตามนั้น
 
Posts: 598
Joined: Wed Nov 25, 2009 12:46 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby ppneer » Thu Jun 09, 2011 2:26 am

ข้าวของแพง มันไม่ไช่เรื่องผิดปกติ

แต่สิ่งที่ผิดปกติ ก็คือคนที่ไปซื้อของมันไม่มีเงินจะซื้อ

ที่มันไม่มีเงินจะซื้อเพราะมันขี้คร้านทำงาน

คนขายของก็อยากจะมีกำไร

ทำงานแล้วไม่มีกำไรทำไปทำไม

ก็เหมือนประมูลงาน ถ้าไม่มีกำไร 200%จะทำไปทำไม

ใครบอกกำไรนิดเดียวอย่าเชื่อ

แม้แต่พวกรับซื้อของเก่า ไปสอบถามได้ทุกร้าน กำไรไม่ต่ำกว่า 500%
ขวานทอง บรรพบุรุษ เป็นคนสร้างให้เราทุกวันนี้ ตัวกูจะปกปักรักษาเท่าชีวิตเพื่อ พ่อหลวง กูถวายชีวิต

ใอ้แม้ว ออกไปๆๆๆ กูเกลียดใอ้แม้ว
User avatar
ppneer
 
Posts: 3382
Joined: Mon Jan 19, 2009 2:59 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby Torres_No9 » Thu Jun 09, 2011 3:10 am

เห็นมีคนพูดเรื่องหมู ทำไมนะราคาหมูถึงแพง ทำไมรัฐบาลกดราคาหมูลงไปไม่ได้ และทำไมถึงไม่ทำราคาหมูมันเท่าเดิมไปตลอดหล่ะ ทำไมนะ
ใครจะรู้บ้างไม๊ ตอน ต.ค. ปีที่แล้ว ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มลดลงเรื่อยๆ จนปลายปีมาอยู่ 45 บาทต่อกิโลกรัม แล้วราคาก็ยืนระยะอยู่ราวๆนี้
จนเมื่อ มี.ค.ปีนี้ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มถึงเพิ่มขึ้นจนทำให้เรารู้สึกว่าราคาหมูมันขึ้นมาอย่างมากและรวดเร็ว

ช่วงระหว่างเดือน ต.ค.-มี.ค. หมูทุกๆหนึ่งตัวที่ขายออกจากหน้าฟาร์ม ฟาร์มต้องขาดทุนตัวละประมาณ 1,500-2,000 บาท ดังนั้นในช่วง
ระยะเวลา 6 เดือน ตอนที่ราคาหมูตกต่ำสำหรับฟาร์มมีหมูขายออกจากฟาร์มเดือนละ 1,000 ตัว จะต้องขาดทุนอย่างน้อยประมาณ 10 ล้านบาท
และขอให้ทราบด้วยว่าฟาร์มที่มีหมูขายออกจากฟาร์มเดือนละ 1,000 ตัวนั้น เป็นเพียงฟาร์มขนาดกลาง ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วๆไป
ไม่ใช่ฟาร์มขนาดใหญ่อะไรถ้าฟาร์มไหนสายป่านไม่ยาวทนการขาดทุนไม่ไหว ก็ต้องเลิกเลี้ยงกันไป หรือไม่ก็หยุดชั่งคราว หรือลดปริมาณหมู
ในฟาร์มลง จึงไม่แปลกอะไรที่ตอนนี้ราคาหมูจะแพงขึ้นเพราะปริมาณหมูเป็นที่ผลิตออกมามีจำนวนน้อยลง ตามหลักกลไกตลาดธรรมดา
ของมีน้อยลงก็ต้องแพงขึ้น

6 เดือนที่ผ่านมาไม่มีใครเคยเห็นข่าววาฟาร์มออกมาเรียกร้องอะไรจากรัฐบาล เพราะพวกเค้าเข้าใจเรื่องกลไกตลาด พวกเค้าเข้าใจว่า
ธุรกิจคือธุรกิจมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่หลายๆท่านต้องซื้อเนื้อหมูในราคาที่เป็นอยู่ ท่านคงต้องคิดถึงคนที่ทำมาหากินด้วยการเลี้ยงหมู
ที่เค้าต้องอดทนขาดทุนมาแล้ว 6 เดือนด้วย

นี่เป็นแค่ตัวอย่างนึงของสินค้าหลายๆประเภทที่มีราคาขึ้น - ลง ตามสภาวะเหตุการณ์ที่ต่างกันไป พวกเกษตรกรเหล่านี้เค้าไม่ได้มีเงินเดือน
เหมือนหลายๆคน อาชีพทุกอย่างต้องการมีกำไร เมื่อไหร่ที่เค้าขาดทุน เค้าก็ขาดทุนของเค้า และเมื่อไหร่ที่เค้ามีกำไรส่วนนึงคือการชดเชย
ส่วนที่เค้าต้องทนขาดทุนไปด้วย ถ้าจะมองในมุมของผู้บริโภคก็น่าจะมองมุมของผู้เลี้ยงด้วย เวลาที่ราคาสินค้าตกต่ำฟาร์มขาดทุนทำไมไม่เห็น
มีใครมาเรียกร้องให้ขึ้นราคามั่งนะ อย่ามองอะไรแบบเห็นแก่ตัวกันนักเลย

ทุกคนมีอาชีพทำมาหากิน อาชีพผลิตสินค้าทางการเกษตรก็เป็นธุรกิจหนึ่งของคนไทย และสินค้าเกษตรของไทยไม่ใช่สินค้าสวัสดิการของรัฐ ++
กลุ่มเพื่อนลูคัส ++
User avatar
Torres_No9
 
Posts: 1091
Joined: Thu May 20, 2010 2:47 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby PinkDevil » Thu Jun 09, 2011 5:27 am


ทำไมตั้งแต่ปี 2552 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยถึงเพิ่มสูงขึ้นจากระดับต่ำกว่าร้อยละ 40 ขึ้นมาสู่ร้อยละ 45.23 และ 45.52 ในปี 2552 และ 2553 คำตอบง่ายๆและตรงๆ คือ รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเศรษฐกิจโลกตกต่ำ

ช่วงปี 2551 ถ้ายังจำกันได้เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาและส่งผลกระทบต่อยุโรปและขยายตัวทั่วโลกในเวลาต่อมา เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะซบเซากำลังซื้อของประชาชนในโลกโดยเฉพาะอเมริกาซึ่งตลาดใหญ่ลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมผ่านการใช้รายจ่ายภาครัฐเพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงไปในระบบเพื่อพิ่มกำลังซื้อและให้เศรษฐกิจสามารถหมุนเวียนไปได้ในเวลาที่การลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคครัวเรือนลดต่ำลงเพราะภาวะเศรษฐกิจหดตัว

Image

เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศต่างๆดูจะเห็นว่าทุกประเทศ ตั้งแต่ปี 2000 (2543) เป็นต้นมา สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด แต่ในช่วงปี 2009 (2552) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากปี 2008 (2551) อย่างมีนัยยะสำคัญ อาทิเช่น บราซิล (จาก 64.06% เป็น 68.89% ในปี 2552) เกาหลีใต้ (จาก 29.02% เป็น 32.55% ในปี 2552) มาเลเซีย (จาก 42.84% เป็น 55.37% ในปี 2552 ) อังกฤษ (จาก 52.05% เป็น 68.46% ในปี 2552) สำหรับอเมริกา สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ปี 2551 คือ จาก 62.14% ในปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น 71.12% (2551), 84.25%(2552) เพราะเกิดวิกฤตการเงินในปี 2551

จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างที่เคยเป็นมา รัฐบาลจะต้องมีบทบทสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจหดตัวลงไปมากกว่าเดิม และ มาตรการที่ทุกประเทศไม่เพียงแต่รัฐบาลไทยเลือกมาใช้ คือ การเพิ่มรายจ่ายภาครัฐเพื่ออัดฉีดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ และก็เป็นเรื่องธรรมดา ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา แน่นอนรายรับภาครัฐ ย่อมจะลดต่ำลง ขณะที่รัฐต้องเพิ่มรายจ่าย รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินมาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ นี่คือสาเหตุหลักๆที่ทำไมตัวเลขสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อGDP เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปี 2009 (2552) เป็นต้นมา
Last edited by PinkDevil on Thu Jun 09, 2011 8:33 am, edited 2 times in total.
To dream the impossible dream
To fight the unbeatable foe
To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go
To right the unrightable wrong
To love pure and chaste from afar
To try when your arms are weary
To reach the unreachable star
User avatar
PinkDevil
 
Posts: 835
Joined: Sat Feb 07, 2009 1:12 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby คนบาป » Thu Jun 09, 2011 7:55 am

baezae wrote:
Image




ลองดูตัวเลขปี 43 กับ 44 โดยเปรียบเทียบสิ มีตัวไหนก้าวกระโดด

สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ก็ยังระดับเดิมๆ เช่นเดียวกับรัฐบาลชวน

แต่ดุลการค้ารัฐบาลชวน ดีกว่ารัฐบาลทักษิณเสียอีก

ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ รับช่วงภาวะวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ กลับได้รับคำชมเชยจากทั่วโลก
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby Nish » Thu Jun 09, 2011 11:04 am

คนบาป wrote:
baezae wrote:
Image




ลองดูตัวเลขปี 43 กับ 44 โดยเปรียบเทียบสิ มีตัวไหนก้าวกระโดด

สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ก็ยังระดับเดิมๆ เช่นเดียวกับรัฐบาลชวน

แต่ดุลการค้ารัฐบาลชวน ดีกว่ารัฐบาลทักษิณเสียอีก

ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ รับช่วงภาวะวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ กลับได้รับคำชมเชยจากทั่วโลก

หนูแดงรับไม่ได้
จำเอาไว้ วันไหนในอนาคต ตราบจนกระทั่งผมตาย ถ้าผมไปรับตำแหน่งอะไรทางการเมืองแล้ว เจอหน้าที่ไหนถุยน้ำลายใส่หน้าผม ถอดรองเท้าตบหน้าผมได้ทันที

ถ้าเมื่อไร เสียงปืนแตกและทหารยิงประชาชนผม จะนำขบวนพาพี่น้องเข้ากรุงเทพทันที
ดีแต่เห่า
User avatar
Nish
 
Posts: 164
Joined: Sat Feb 26, 2011 10:10 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby Katae'O » Thu Jun 09, 2011 6:58 pm

สวัสดีค่ะ

รบกวนสอบถามหน่อยนะคะ เราไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินเท่าไหร่
พอดีเราเอากราฟในนี้ไปให้คนอื่นดู เค้าตอบกลับมาว่างี้ค่ะ

"ดูท่าคุณคงถูกหลอกแฮะ เพราะว่า
เหตุและปัจจัยที่ทำให้ทุนสำรอง และดุลบัญชีเดินสะพัด
เพิ่มขึ้นสูงมาก เป็นเรื่องทางบัญชีเสียมากกว่า เพราะว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการอุ้มค่าเงินบาท
ไม่ให้แข็งเกินไปวิธีการคือ ขายเงิน US แล้วซื้อเงินบาทเข้าครับ

เนื่องจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ค่าเงิน US อ่อนค่าครับ"

อยากทราบว่าประเด็นที่ว่ามันส่งผลกับทุนสำรองอย่างมีนัยสำคัญยังไงมั่งคะ
อยากจะไปอธิบายตอบเค้า

ขอบคุณค่ะ
User avatar
Katae'O
 
Posts: 8
Joined: Thu Jun 09, 2011 6:44 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby 55555 » Thu Jun 09, 2011 7:12 pm

finder wrote:
เพราะผมฉลาดมาก อันนี้ไม่ต้องสงสัย :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

โคตรขี้คุย เลย...ฟายยยยยยย

finder wrote:
ที่คุณว่าทักษิณมานั้น คนที่สู้กับทักษิณมาตั้งแต่ต้น เขาทราบครับ

และถ้าจำไม่ผิด ผมเคยบอกพวกเสื้อแดงว่า มันให้กระทรวงการคลังไปกู้มาบ้าง ออกพันธบัตรบ้าง

อย่างกรณ์ก็ทำเช่นกัน 8แสนล้านไงครับ เรื่องนี้บอกตามตรงไม่เข้าข้างใคร

ลอกแบบกันมาเลยละครับ ยังมีเรื่องที่ลอกแบบแม้วอีกหลายอย่าง แล้วผมจะตั้งกระทู้ให้เห็น ถ้าว่าง :mrgreen: :mrgreen:




โชว์โง่เรื่องเขาพระวิหารอย่างเดียวก็พอมั้ง ขุนขี้คุย

:lol: :lol: :lol:
55555
 
Posts: 5131
Joined: Mon Oct 13, 2008 8:29 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby PinkDevil » Thu Jun 09, 2011 8:10 pm

Katae'O wrote:สวัสดีค่ะ

รบกวนสอบถามหน่อยนะคะ เราไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินเท่าไหร่
พอดีเราเอากราฟในนี้ไปให้คนอื่นดู เค้าตอบกลับมาว่างี้ค่ะ

"ดูท่าคุณคงถูกหลอกแฮะ เพราะว่า
เหตุและปัจจัยที่ทำให้ทุนสำรอง และดุลบัญชีเดินสะพัด
เพิ่มขึ้นสูงมาก เป็นเรื่องทางบัญชีเสียมากกว่า เพราะว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการอุ้มค่าเงินบาท
ไม่ให้แข็งเกินไปวิธีการคือ ขายเงิน US แล้วซื้อเงินบาทเข้าครับ

เนื่องจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ค่าเงิน US อ่อนค่าครับ"

อยากทราบว่าประเด็นที่ว่ามันส่งผลกับทุนสำรองอย่างมีนัยสำคัญยังไงมั่งคะ
อยากจะไปอธิบายตอบเค้า

ขอบคุณค่ะ


ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น เพราะว่าในแต่ละปีประเทศไทยมีปริมาณการไหลออกของเงินตราต่างประเทศน้อยกว่าปริมาณการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ ทำให้ดุลการชำระเงินเงิน (Balance of Payment) ของไทยเกินดุล เท่ากับว่าประเทศไทยมีรายได้สุทธิจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งยอดเกินดุลการชำระเงินในแตละปีจะถูกโอนเข้าไปสู่ทุนสำรองระหว่างประเทศสะสมเอาไว้ (รายละเอียดเรื่องการ ทุนสำรอง ดุลการชำระเงิน ว่ามีที่มาที่ไป เกิดจากยอดอะไร สามารถหาอ่านได้ในหน้า 2 ของกระทู้นี้ )

สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัด หลักๆจะเกิดจาก ดุลการค้า (มูลค่าส่งออก- มูลค่าการนำเข้า) + ดุลบริการ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันคือรายได้ที่เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เรื่องทางบัญชีอะไรทั้งนั้น

นอกจากนั้นแล้วในกรณีที่มีการอ้างว่าเพราะค่าเงินดอลล่าร์อ่อน ลองคิดดูสิค่ะว่าขนาดเงินดอลล่าร์อ่อนลงเมื่อเทียบกับบาท (หรือค่าเงินบาทแข็ง) ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศแพงขึ้น การเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแพงขึ้นในสายตาของคนต่างประเทศที่ถือเงินดอลล่าร์ ทำไมยอดส่งออกของไทยถึงยังสูง รายได้จากการท่องเที่ยวยังสูง นั่นคือการทำงานของภาคเอกชนและรัฐบาลในการหาตลาดสินค้าใหม่ๆ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ไม่พึ่งพิงการแข่งขันในด้านราคาเพียงอย่างเดียวแบบที่เป็นมาในอดีต ส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับที่สูง คือ อยู่ที่ 21.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2552 และ 14.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 เปรียบเทียบกับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ -ข้อมูลจากรายงานธนาคารแห่งประเทศไทย- นอกจากนั้นแล้วการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน สร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี ซึ่งทำให้เงินทุนไหลเข้าสุทธิเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองระหว่างประเทศในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย เก็บอยู่ในหลายสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ เงินตราต่างประเทศ บัญชีที่ IMF แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ ไม่ใช่เงินบาท

ดังนั้นการที่อ้างว่า ธปท อุ้มเงินบาทโดยขายดอลล่าร์ซื้อบาท ถ้าทำจริง ธปท ต้องเอาทุนสำรองในรูปดอลลาร์ที่มีอยู่ขายออกไปเพื่อซื้อเงินบาทเข้ามา ถ้าคิดตามตรรกะนั้นยิ่งทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่เพราะขนาดขายดอลล่าร์ออกไป ยังมีทุนสำรองเพิ่มขึ้นมา 78,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเวลา 2 ปีกว่าๆ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นจะต้องมีมากกว่านี้

โดยความเป็นจริงแล้วการขายดอลล่าร์เพื่อซื้อเงินบาทจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้น ไม่ใช่อ่อนตัวลง เพราะเมื่อ อุปสงค์ต่อเงินบาทเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ราคาเงินบาทเพิ่มขึ้น ซึ่งก็คือ ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ไม่ใช่ทำให้เงินบาทอ่อนตัวลง การจะทำให้เงินบาทอ่อนตัวลง ธปท ต้องทำการขายบาทซื้อดอลล่าร์

ถ้าด้วยเหตุผลที่ทางนั้นยกมาข้างต้น ตอบตรงๆว่าไม่มีผลค่ะ เป็นการพูดเรื่อยเปื่อยด้วยตรรกะที่วิบัติ สรุปคนที่มาเถียงคุณ Katae’O ด้วยถ้อยคำเหล่านั้น มั่วค่ะ ไม่มีแม้กระทั่งความรู้พื้นฐาน ใช้แต่จินตนาการและอคติ
Last edited by PinkDevil on Thu Jun 09, 2011 9:31 pm, edited 1 time in total.
To dream the impossible dream
To fight the unbeatable foe
To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go
To right the unrightable wrong
To love pure and chaste from afar
To try when your arms are weary
To reach the unreachable star
User avatar
PinkDevil
 
Posts: 835
Joined: Sat Feb 07, 2009 1:12 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby Torres_No9 » Thu Jun 09, 2011 8:26 pm

Katae'O wrote:สวัสดีค่ะ

รบกวนสอบถามหน่อยนะคะ เราไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินเท่าไหร่
พอดีเราเอากราฟในนี้ไปให้คนอื่นดู เค้าตอบกลับมาว่างี้ค่ะ

"ดูท่าคุณคงถูกหลอกแฮะ เพราะว่า
เหตุและปัจจัยที่ทำให้ทุนสำรอง และดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นสูงมาก เป็นเรื่องทางบัญชีเสียมากกว่า
เพราะว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการอุ้มค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไปวิธีการคือ ขายเงิน US แล้วซื้อเงินบาทเข้าครับ
"เนื่องจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ค่าเงิน US อ่อนค่าครับ"

อยากทราบว่าประเด็นที่ว่ามันส่งผลกับทุนสำรองอย่างมีนัยสำคัญยังไงมั่งคะ
อยากจะไปอธิบายตอบเค้า

ขอบคุณค่ะ


3.ประโยคนั่นมันค้านกันเองหมดเลย แค่อ่านก็งงแล้วว่าคนนั้นเค้าคิดได้ยังไงมันค้านกันเองหมดเลย
แล้วคุณ Katae'O ยังจะหาคำตอบเพื่อไปตอบเค้า ยอมรับและนับถือในความพยายามมากๆครับ
ความจริงผมว่าเค้ากะจะพูดมาไม่ให้คุณ Katae'O ไปตอบเค้าได้เลยด้วยซ้ำ(เพราะมันมั่ว)


ถ้าเป็นผมเจอ 3.ประโยคนั่นยอมรับตามตรงว่าเงิบจริงๆ เพราะว่าไม่รู้จะตอบยังไงเพราะมั่วเหลือเกิน
เขียนมาเหมือนคนเมายาบ้า คนที่อ่านถ้าพอเข้าใจพื้นฐานอยู่บ้างน่าจะปวดกะโหลกกับประโยคพวกนั้น ++
กลุ่มเพื่อนลูคัส ++
User avatar
Torres_No9
 
Posts: 1091
Joined: Thu May 20, 2010 2:47 am

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby MahaAsura » Thu Jun 09, 2011 8:30 pm

Katae'O wrote:สวัสดีค่ะ

รบกวนสอบถามหน่อยนะคะ เราไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินเท่าไหร่
พอดีเราเอากราฟในนี้ไปให้คนอื่นดู เค้าตอบกลับมาว่างี้ค่ะ

"ดูท่าคุณคงถูกหลอกแฮะ เพราะว่า
เหตุและปัจจัยที่ทำให้ทุนสำรอง และดุลบัญชีเดินสะพัด
เพิ่มขึ้นสูงมาก เป็นเรื่องทางบัญชีเสียมากกว่า เพราะว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการอุ้มค่าเงินบาท
ไม่ให้แข็งเกินไปวิธีการคือ ขายเงิน US แล้วซื้อเงินบาทเข้าครับ

เนื่องจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ค่าเงิน US อ่อนค่าครับ"

อยากทราบว่าประเด็นที่ว่ามันส่งผลกับทุนสำรองอย่างมีนัยสำคัญยังไงมั่งคะ
อยากจะไปอธิบายตอบเค้า

ขอบคุณค่ะ


ขอบคุณนะครับที่สนใจข้อมูล ทำให้คุณ Katae'O ต้องสมัครมาถามเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย
ว่าแต่ใครนะช่างสงสัย อยู่ที่ไหนเหรอครับ เผื่อผมจะไปช่วยอธิบายให้นะครับ

ส่วนข้อมูล นิยามต่างๆ คุณ Pinkdevil อธิบายไว้หมดแล้วนะครับ คุณ Katae'O หาในกระทู้นี้ได้เลยครับ แค่นิยามของดุลบัญชีเดินสะพัด กับเงินสำรองระหว่างประเทศก็ตอบคำถามคนที่ถามคุณ Katae'O ได้แล้วนะครับ

ดุลบัญชีเดินสะพัด

คือ ผลรวมสุทธิของดุลการค้า และดุลบริการ รายได้ และเงินโอน
- ดุลการค้า (Trade Balance) เป็นผลต่างสุทธิระหว่างมูลค่าสินค้าออก เอฟ.โอ.บี. (ราคาที่ไม่รวมค่าระวางและประกันภัยสินค้า) กับมูลค่าสินค้าเข้า ซี.ไอ.เอฟ. (ราคาที่รวมค่าระวางและประกันภัยสินค้า) ที่ได้ปรับตามคำนิยามของดุลการชำระเงินแล้ว
- ดุลบริการ (Net Services)เป็นผลต่างสุทธิที่แสดงถึงการค้าระหว่างประเทศในด้านบริการ ประกอบด้วย ค่าขนส่ง ค่าท่องเที่ยว ค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของภาคทางการ ค่าสื่อสารโทรคมนาคม ค่ารับเหมาก่อสร้าง ค่ารอยัลตี้ และค่าเครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตร ค่าประกันภัย เป็นต้น
- รายได้ (Income) ประกอบด้วย(1) ผลตอบแทนการจ้างงาน(Compensation of Employees) หมายถึง รายได้ในรูปของค่าจ้างเงินเดือนและสวัสดิการ ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน และ(2) รายได้จากการลงทุน (Investment Income) หมายถึง ผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองทรัพย์สินทางการเงินในต่างประเทศ ได้แก่ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนโดยตรง การลงทุนในหลักทรัพย์ และการลงทุนอื่นๆ
- เงินโอนและบริจาค (Current transfers) หมายถึง เงินบริจาค หรือเงินช่วยเหลือต่างๆ ที่ผู้มีถิ่นฐานในประเทศ (residents) ได้รับหรือโอนให้ผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศ (nonresidents) ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นเจ้าของในทรัพยากรที่แท้จริงหรือทางการเงิน

เงินสำรองระหว่างประเทศ (International Reserves/Reserves Assets)
คือ สินทรัพย์ต่างประเทศที่ถือครองหรือควบคุมโดยธนาคารกลางและสามารถนำ มาใช้ประโยชน์ทันทีที่จำเป็น เช่น การชดเชยการขาดดุลการชำระเงินหรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เงินสำรองระหว่างประเทศ ประกอบด้วย ทองคำ สิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights : SDR) สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสินทรัพย์ในรูปเงินตราต่างประเทศ


;)
User avatar
MahaAsura
 
Posts: 70
Joined: Sun Jan 23, 2011 8:58 pm

Re: รวบรวมข้อมูลชี้วัดทางเศรษฐกิจเปรียบเทียบ

Postby Katae'O » Thu Jun 09, 2011 8:56 pm

MahaAsura wrote:
Katae'O wrote:สวัสดีค่ะ

รบกวนสอบถามหน่อยนะคะ เราไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินเท่าไหร่
พอดีเราเอากราฟในนี้ไปให้คนอื่นดู เค้าตอบกลับมาว่างี้ค่ะ

"ดูท่าคุณคงถูกหลอกแฮะ เพราะว่า
เหตุและปัจจัยที่ทำให้ทุนสำรอง และดุลบัญชีเดินสะพัด
เพิ่มขึ้นสูงมาก เป็นเรื่องทางบัญชีเสียมากกว่า เพราะว่า
ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการอุ้มค่าเงินบาท
ไม่ให้แข็งเกินไปวิธีการคือ ขายเงิน US แล้วซื้อเงินบาทเข้าครับ

เนื่องจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ค่าเงิน US อ่อนค่าครับ"

อยากทราบว่าประเด็นที่ว่ามันส่งผลกับทุนสำรองอย่างมีนัยสำคัญยังไงมั่งคะ
อยากจะไปอธิบายตอบเค้า

ขอบคุณค่ะ


ขอบคุณนะครับที่สนใจข้อมูล ทำให้คุณ Katae'O ต้องสมัครมาถามเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย
ว่าแต่ใครนะช่างสงสัย อยู่ที่ไหนเหรอครับ เผื่อผมจะไปช่วยอธิบายให้นะครับ

ส่วนข้อมูล นิยามต่างๆ คุณ Pinkdevil อธิบายไว้หมดแล้วนะครับ คุณ Katae'O หาในกระทู้นี้ได้เลยครับ แค่นิยามของดุลบัญชีเดินสะพัด กับเงินสำรองระหว่างประเทศก็ตอบคำถามคนที่ถามคุณ Katae'O ได้แล้วนะครับ

ดุลบัญชีเดินสะพัด

คือ ผลรวมสุทธิของดุลการค้า และดุลบริการ รายได้ และเงินโอน
- ดุลการค้า (Trade Balance) เป็นผลต่างสุทธิระหว่างมูลค่าสินค้าออก เอฟ.โอ.บี. (ราคาที่ไม่รวมค่าระวางและประกันภัยสินค้า) กับมูลค่าสินค้าเข้า ซี.ไอ.เอฟ. (ราคาที่รวมค่าระวางและประกันภัยสินค้า) ที่ได้ปรับตามคำนิยามของดุลการชำระเงินแล้ว
- ดุลบริการ (Net Services)เป็นผลต่างสุทธิที่แสดงถึงการค้าระหว่างประเทศในด้านบริการ ประกอบด้วย ค่าขนส่ง ค่าท่องเที่ยว ค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของภาคทางการ ค่าสื่อสารโทรคมนาคม ค่ารับเหมาก่อสร้าง ค่ารอยัลตี้ และค่าเครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตร ค่าประกันภัย เป็นต้น
- รายได้ (Income) ประกอบด้วย(1) ผลตอบแทนการจ้างงาน(Compensation of Employees) หมายถึง รายได้ในรูปของค่าจ้างเงินเดือนและสวัสดิการ ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน และ(2) รายได้จากการลงทุน (Investment Income) หมายถึง ผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองทรัพย์สินทางการเงินในต่างประเทศ ได้แก่ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนโดยตรง การลงทุนในหลักทรัพย์ และการลงทุนอื่นๆ
- เงินโอนและบริจาค (Current transfers) หมายถึง เงินบริจาค หรือเงินช่วยเหลือต่างๆ ที่ผู้มีถิ่นฐานในประเทศ (residents) ได้รับหรือโอนให้ผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศ (nonresidents) ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นเจ้าของในทรัพยากรที่แท้จริงหรือทางการเงิน

เงินสำรองระหว่างประเทศ (International Reserves/Reserves Assets)
คือ สินทรัพย์ต่างประเทศที่ถือครองหรือควบคุมโดยธนาคารกลางและสามารถนำ มาใช้ประโยชน์ทันทีที่จำเป็น เช่น การชดเชยการขาดดุลการชำระเงินหรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เงินสำรองระหว่างประเทศ ประกอบด้วย ทองคำ สิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights : SDR) สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และสินทรัพย์ในรูปเงินตราต่างประเทศ


;)



ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
เราไปพันทิปห้องเฉลิมไทยมาอ่ะค่ะ
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/ ... 60816.html

จริงๆเคยสมัครบอร์ดนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่จำ user ไม่ได้ -*-
User avatar
Katae'O
 
Posts: 8
Joined: Thu Jun 09, 2011 6:44 pm

PreviousNext

Return to สภากาแฟ