เคยไม่แดง wrote:กระแสนโยบายพรรคการเมือง ด้านประชานิยมนั้นมาแรงจริงๆ แต่ละพรรคล้วนงัดกลยุทธ์เด็ดๆออกมาแข่งขันกันสุดตัว
หนึ่งในนั้น ที่หลายคนอยากรู้ว่านโยบายไหนกันแน่ ที่พี่น้องชาวนาจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน
1. จำนำข้าว ...แบบใหม่ที่ใช้ร่วมกับบัตรเครดิตชาวนา!!!
หลัก การนั้นเปลี่ยนแปลงจากจำนำข้าวแบบเดิม ที่เปิดช่องว่างให้มีการทุจริตโดยพ่อค้า โรงสี โดยแบบใหม่พยายามคิดค้นระบบที่ชาวนากับรัฐสื่อสารกันได้โดยตรง และรับผลประโยชน์"ร่วมกัน"
จำนำนั้นต่างจากประกัน ตรงที่ ต้องมีข้าวมาให้ผู้รับประกันจริงๆ ถึงจะได้เงินกลับไป แต่ประกันราคานั้นปัจจุบันคิดเป็นไร่ของผู้ปลูก เพียงแค่แจ้งยอดว่าปลูกกี่ไร่ก็จะคำนวนราคาข้าวเปลือกให้ตามจำนวนที่ปลูก
ยก ตัวอย่างเช่น ถ้าวันนี้ ราคากลางข้าวเปลือกอยู่ที่ 8200 บาท รัฐรับจำนำข้าวเปลือก 15000 บาทต่อตัน นั่นหมายความว่า ถ้าชาวนาจะได้เงิน 15000 บาทนี้ ต้องเอาข้าวเปลือกหนึ่งตันที่เก็บเกี่ยวได้ มาแลกไป ดังนั้น ใครปลูกจริง ได้เงินจริง ยิ่งปลูกมากยิ่งได้มาก ที่นาของใครรกร้างว่างเปล่า นาร้างต่างๆ ถ้าอยากได้เงินก็ต้องกลับไปปลูกข้าว ใครทำประโยชน์แก่พื้นที่ตนเองได้ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งได้เงินมากเท่านั้น ดังนั้นชาวนาจริงๆได้ประโยชน์จริง ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เช่านาเขาทำนา เพราะคนให้เช่าจะไม่ได้เงิน
แต่ในทางกลับกัน ประกันราคาข้าวนั้น หากประกันที่ 12000 บาทต่อตัน ถ้าท่านมีนาเท่าไร มาลงทะเบียนกับรัฐ รัฐคำนวนให้เป็นผลผลิตต่อไร่ ไม่ว่าราคาข้าวจะตกต่ำยังไง รัฐจ่ายส่วนต่างจากการขายข้าวราคาตกให้ทันที ถ้าราคาขายอยู่ที่ 8200 บาท ก็ยอมจ่ายให้เลย 3800 บาทต่อตัน ทุกไร่ทุกคนที่มาลงทะเบียนไว้ ปัญหาจึงเกิดว่า บางคนไร่นาร้าง ไม่ต้องปลูกข้าว ก็ไปขอรับส่วนต่างนี้ได้ ฮั้วกันกับคณะกรรมการตรวจสอบที่นา ไม่ได้ปลูกจริงก็ได้เงินชดเชยส่วนต่างมาฟรีๆ หนักกว่านั้นคือ พวกที่เช่านาเขาทำนา มีปัญหาตามมา เพราะเจ้าของไร่นาเดิม ไม่ยอมให้ทำนา ยกเลิกสัญญา เพราะเอาไปขอค่าประกันรายได้นี้จากรัฐแทนได้ราคาดีกว่าให้เช่าทำนา หรือหนักกว่านั้นคือ เอาทั้งสองทาง ทั้งจากค่าเช่านาแถมยังไปลงทะเบียนเอาส่วนต่างอีก ทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้เกินจริง
นอกจากนี้ ยังทำให้ไม่เกิดการแข่งขันทางการตลาด จากการที่รัฐเข้าแทรกแซงราคาข้าว เพราะบางคนจะไม่กระตือรือร้นในการเร่งผลิตข้าว เพราะเห็นว่าเป็นเสือนอนกินคุ้มกว่า ได้เงินส่วนต่างมาฟรีๆไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรให้เสียเวลาเสียเงิน กลัวไม่คุ้ม ยอมเอาส่วนต่างด้น้อยๆแต่ไม่ลงทุนคุ้มกว่า ไม่ต้องซื้อปุ๋ยไม่ต้องจ้างรถเก็บเกี่ยว พวกนี้จะเป็นพวกมีที่นาเยอะ เป็นเจ้าของที่นา ผลผลิตข้าวในประเทศจึงน้อย น้อยไม่พอยังราคาตกต่ำ ตกต่ำไม่พอ ยังไม่มีคุณภาพอีก ที่ปลูกกันจริงๆ ก็ปลูกไปเหอะ จะงอกงาม จะเหี่ยวตาย จะเม็ดลีบ เขาก็คิดกันเป็นแปลงเป็นไร่ แค่ไปลงทะเบียนไว้ว่ากี่ไร่ก็ได้ส่วนต่างแล้ว คุณภาพข้าวจึงไม่ค่อยดี ผู้บริโภคก็ได้กินข้าวไม่ดี
ยกตัวอย่าง ผมปลูกข้าว 10 ไร่ ได้ไร่ละ 1 ตัน (อันนี้แบบดูแลอย่างดีเลย) ผมได้ข้าว 10 ตัน เอาไปขายตอนนี้ ได้เงินมา 10 x 8500 บาท (ข้าวคุณภาพเยี่ยม) = 85,000 บาท ถ้ารัฐประกันให้อีก แต่คิดผลผลิตที่ ไร่ละ 800 กก. 10 ไร่ก็ 8 ตัน ให้ราคาตันละ 12000 บาท ก็ควรได้มา 96,000 บาท เพราะฉะนั้น รัฐจะจ่ายส่วนต่างให้ 11,000 บาท แต่ก็คือผมจะได้ 96000 บาท
เอาล่ะ มาดูเมียผมบ้าง ทำนาบ้างเล่นเฟสบ้าง ไม่ค่อยมาดูแลนาสักเท่าไร มี 10 ไร่เท่ากัน แต่ได้ผลผลิตแค่ ไร่ละ 600 กก. (ปุ๋ยก็ไม่ใส่ แมลงก็ไม่กำจัด ข้าวก็เม็ดขี้เหร่) ได้รวมแล้ว 6 ตันแค่นั้นเอง ไปขายนายทุน ได้มา 6x8000 บาท (ข้าวห่วย) 48,000 บาท โดยรัฐประกันให้ ตันละ 12000 บาท แต่รัฐคิดผลผลิตให้ไร่ละ 800 กก. 10 ไร่ก็ได้ 8 ตัน ดังนั้นก็ควรได้ 96,000 บาท ไม่รู้ล่ะจะปลูกขี้เหร่แค่ไหน แต่ฉัน(รัฐ)ประเมินขั้นต่ำให้แล้วว่า ไร่นึงมันน่าจะได้ 800 กก. (ไม่คิดว่าจะมีคนแบบเมียฉัน ที่ทำนาแบบนี้เลยใช่ไหม) สรุปรัฐจ่ายเพิ่มให้ 96000-48000 = 48000 บาท
เมียผมได้เงินมาเท่าผม 96000 บาท แต่... ลงทุนลงแรงน้อยกว่ามาก ค่าปุ๋ยก็น้อย ค่ายาก็น้อย กำไรเห็นๆ
แล้วอย่าง นี้... ทำไมผมต้องดูแลข้าวผมให้ดีๆไปเพื่ออะไร ในเมื่อรัฐประกันราคาข้าวให้ดีขนาดนี้ ปลูกพอเป็นพิธี ให้รู้ว่าปลูกจริง แล้วไปเอาราคาประกันชัวร์กันอยู่แล้วนี่หว่า
เอ๊า... นี่ล่ะ เขาถึงเรียกว่า กลไกตลาดมันบิดเบือน การแข่งขันมันจึงไม่เกิด ใครๆก็ไม่ต้องแข่งกันทำนาของตนให้ดี ข้าวจะออกมาเม็ดลีบเม็ดเล็กก็ช่าง ก็ในเมื่ออย่างไรเสียก็ได้ราคาที่แน่นอนอยู่แล้ว... ต่อไปก็คือ ในตลาดจะมีแต่ข้าวเม็ดลีบๆ ทีนี้จะเอาไปส่งออก...
เอาล่ะสิ ของเวียดนามเม็ดอย่างงาม แถมผลิตออกมามากกว่าไทย 3 เท่าตัว แล้วใครเล่าเขาจะมาเอาข้าวของประเทศไทย.... ใช่ไม๊พี่น้อง
เขา ก็ไปเอาข้าวคุณภาพดี มีให้เยอะๆ ไม่ต้องสั่งทีละหลายๆชาติ สั่งที่เดียวได้ทั้งของดี ของครบ จบในกระบวนเดียว ที่เวียดนาม ไม่ดีกว่าหรอ.. แล้วทีนี้มาร้องโอดโอย ว่าส่งออกได้น้อย รัญขาดทุน (ขาดทุนตั้งแต่ จ่ายเงินส่วนต่างให้ชาวนาแล้ว ปีละ หลายหมื่นล้าน)
การ ประกันราคาข้าวจึงมีข้อเสีย มากอยู่ สำคัญที่สุดคือ มันไม่ขับเคลื่อนกลไกตลาด รองลงมาคือรัฐเสียผลประโยชน์ทางเดียว คนได้ประโยชน์คือชาวนา และที่ไม่ใช่ชาวนาแต่เป็นพวกแอบอ้างสิทธิ์ในที่นา หรือพวกเจ้าของไร่นา ... รวยกันถ้วนหน้า
ขอบคุณครับที่มั่วได้ใจแบบนี้ การประกันราคาข้าวนั้น ราคาประกันในแต่ละช่วงไม่เท่ากันนะครับ เพราะอิงราคาตลาด ก็เลยไม่ทราบว่าตรงไหน ที่การประกันจะไม่เป็นไปตามกลไกตลาด http://www.dit.go.th/contentmain.asp?ty ... &catid=101 ลองดูครับ และคิดง่ายๆ อะครับ ถ้าขาวนาหลายคนขี้เกียจ ปล่อยนารกร้าง หวังแต่เงินประกัน จนทำให้ราคาผลผลิตต่อไร่ตกลง ยิ่งตกลงเท่าไร ราคากลางที่ใช้อ้างอิงราคาประกันก็ลดลง การประกันต่างหากละครับ จะช่วยให้ชาวนา ช่วยกันผลิตข้าวให้มีผลผลิตต่อไร่มากขึ้น ยิ่งผลผลิตต่อไร่สูงเท่าไร แล้วดันให้ราคาตลาดสูล ราคากลางที่ใช้ในการอ้างอิงราคาประกันก็จะสูงตาม ก็ประกันที่แท้จริงคือการปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด ถ้าราคาสูงขึ้นมากกว่าราคาประกัน รัฐก็ไม่ต้องไปออกส่วนต่างให้ แต่ถ้าราคาตลาดตกลง ตรงนี้รัฐก็มาพยุงราคาคือออกค่าส่วนต่างให้ ถ้า หากว่าราคาข้าวมันดีขึ้นมาล่ะ เช่น เกิดวิกฤตโลกร้อน เกิดภัยธรรมชาติทั่วโลก ข้าวขาดแคลนมาก เป็นที่ต้องการทั่วโลก ราคาตามกลไกตลาดที่ Demand มากๆ ขึ้นไปถึง 17000 บาท ทำอย่างไร นั่นก็คือ รัฐประกันแค่เท่านั้นคือ 12000 ไม่จ่ายอะไรเพิ่ม แต่รัฐไม่ได้กำไรอะไร
หนัก กว่านั้น เนื่องจากรัฐไม่ได้เข้ามาจัดการข้าวที่มีอยู่ในสต๊อกเอง จึงเปิดโอกาสให้นายทุนต่างๆ กักตุนสินค้า แล้วผลก็คือ ผู้บริโภคจะได้ทานข้าวราคาแพงไปด้วย ซ้ำหนักนายทุนที่มีข้าวอยู่ในมือแห่ส่งออกเพราะราคาดีกว่าในประเทศมาก นั่นล่ะมันจะเกิดวิกฤตอยากกินข้าวไม่ได้กินข้าว เพราะมันจะขาดแคลน ขาดตลาดขึ้นมาทันที
ในทางกลับกัน การจำนำข้าวนั้น รัฐมีข้าวอยู่ในมือ จากการรับจำนำมาจากชาวนาโดยตรง ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตโลกอะไรก็แล้วแต่ ภายใต้การจัดการของรัฐ เราจะมีอำนาจต่อรองกับประเทศอื่นขึ้นมาทันที เพราะรัฐมีข้าวในมือมากจากการรับจำนำมาจากชาวนา ข้าวที่มีอยู่จะขายให้ประชาชนในประเทศในราคาถูกก็ได้ และยังสามารถต่อรองราคาที่พอใจกับต่างประเทศได้ ถ้ารัฐรับจำนำมาราคา 15000 บาทต่อตัน แต่ราคากลางข้าวที่ขาดแคลนขึ้นไปถึง 17000 บาท รัฐจะได้กำไรมากมายจากการส่งออกข้าวที่มีอยู่ โอว...
ตัวอย่างการจำนำข้าว
นา ผม 10 ไร่ เท่าเดิม ปลูกดูแลเต็มที่ ได้ผลผลิต 1 ตันต่อไร่เลยทีเดียว ข้าวเม็ดสวย อวบอิ่ม ไปจำนำข้าวกับรัฐ (ผ่านนายหน้า โรงสีที่รับจำนำต่างๆ) ได้มา ตันละ 15000 บาท (ถ้าไปขายเจ้าอื่น ให้ตันละ 10000 บาทก็ไม่เอา จะเอาของรัฐเพราะราคาดี) ผมได้เงินมา 10x15000 = 150,000 บาท แม้ราคากลางข้าว อาจจะอยู่ที่ 8500 บาท 10 ตันก็ 85000 บาท เท่ากับรัฐยอมอุ้มค่าข้าวส่วนต่างถึง 150000-85000 = 65,000 บาท แพงกว่าประกันรายได้อีก
เมียผม นิสัยเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ได้มาแค่ 600 กก.ต่อไร่ รวม 10 ไร่ ก็ได้แค่ 6 ตัน ไปจำนำรัฐ ก็ได้เงินมาแค่ 6x15000 = 90,000 บาท ถ้าราคากลางข้าวเกรดนี้อยู่ที่ 8200 บาท 6ตันก็จะได้ 49200 บาท ก็เท่ากับรัฐอุ้มส่วนต่างเมียผมถึง 90000-49200=40,800 บาท
จะ เห็นว่า... อันนี้ยุติธรรม เมียผมดูแลข้าวไม่ดี ก็ได้ค่าขายข้าวแค่ 90000 บาท ผมดูแลข้าวดี ทำให้ผลผลิตต่อไร่ผมสูงกว่า 10ไร่เท่ากันแต่ผมได้ 150000 บาท ดังนั้น เมียผมจึงเกิดความคิด ที่จะต้อง หาวิธีการดีๆมาพัฒนานาของตนเองให้มันดีๆ เหมือนของผม หรือดีกว่าของผม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากกว่า นี่ล่ะ กลไกการตลาดจึงเกิด การแข่งขันจึงเกิด ชาวนาทุกคนเร่งผลิตข้าว นาที่ว่างๆก็จะถูกนำมาใช้ประโยชน์ ยิ่งดูแลดี ผลผลิตต่อไร่ยิ่งมาก ยิ่งได้กำไรมาก ข้าวก็ได้แต่ข้าวดีๆออกมาสู่ตลาด ผู้บริโภคก็ได้ข้าวดีๆกิน
จากสถิติการจำนำที่ผ่านมา คงไม่ต้องบอกนะครับใครได้ประโยชนื
ทีนี้กลับมาที่รัฐ รัฐจะได้อะไร ซื้อข้าวมาแพง จะยอมหรอ ... แน่นอน ถ้านายทุนคนอื่น ขายราคาถูกกว่ารัฐขาย ใครจะยอมซื้อข้าว ของรัฐ ที่แพงกว่า? แต่อย่าลืม นายทุนที่หวังกักตุนข้าว ที่หวังจะมีข้าวขายราคาถูก มันจะมีข้าวในมือเยอะไหม? ชาวนาเขาจะเอาไปขายให้นายทุนพวกนี้หรือ? ในเมื่อรัฐรับซื้อแพงกว่ามากมาย ดังนั้น รัฐจะเป็นผู้ถือครองข้าวรายใหญ่ที่สุด ข้าวที่ได้มาก็เอาไปจัดการเสียใหม่ คัดสรร แยกเกรด ส่งออก ส่งเข้า ตามใจ เมื่อผลผลิตมีมากและมีคุณภาพ อำนาจต่อรองกับคนอื่นก็มากด้วย เวียดนามอาจจะไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป
รัฐอาจจะเร่งทำแผนงานต่างๆ ที่จะเร่งทำคุณภาพข้าวให้ดีขึ้นไปอีก อาจนำมาเป็นเมล็ดพันธุ์แจกจ่าย หมุนเวียนมาใช้กรณีเกิดอุทกภัย สามารถแจกจ่ายข้าวในคลังสู่ผู้ประสบภัยได้ง่ายและเร็ว
การจำนำข้าวของ รัฐ จึงเหมือนรัฐทำตัวเป็นนายทุนเสียเอง แต่เป็นนายทุนที่เงินถึงและไม่กลัวขาดทุน มีอำนาจซื้อขายสูงกว่า นายทุนรายไหนไม่ดีพอย่อมอยู่ไม่ได้ คดโกงเอาเปรียบชาวนาก็จะอยู่ไม่ได้ กดราคาข้าวก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะคู่แข่งคือรัฐลงมาทำงานนี้เอง จึงต้องคอยปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ ให้สามารถแข่งกับรัฐได้
ช่วง แรกรัฐอาจต้องยอมขาดทุน จากการขายข้าวค้างสต็อกของนายทุนต่างๆที่ถูกกว่า แต่เชื่อได้เลยว่า แค่รัฐบอกว่าจะถือครองข้าว แค่นี้ราคาข้าวก็พุ่งแล้ว เพราะนายทุนต่างๆ จะต้องแย่งแข่งขันกับรัฐ รับซื้อข้าวในราคาที่สูงขึ้น เช่น ราคารับซื้อของนายทุน อาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 14000 บาทต่อตัน แข่งกับรัฐที่ให้ไว้ 15000 บาทต่อตัน แต่นายทุนอาจเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ชาวนามากกว่า เช่น รับซื้อถึงที่ สีข้าวฟรี ใกล้บ้านกว่า ไม่ต้องถ่อไปถึงโรงสีที่รับจำนำ ... เป็นต้น
แค่นั้นล่ะ ก็จะเข้าทางรัฐเลย เพราะรัฐตั้งใจจะดึงราคาข้าวให้สูงขึ้นอยู่แล้ว ...
ทีนี้ทำไงต่อ รัฐก็จะปล่อยข่าวว่าจะขายข้าวออกสู่ตลาดในประเทศให้มันถูกไปเลย ให้คนอยากกินข้าวได้กินข้าวดีๆสมใจ เท่านั้นนายทุนก็จะอยู่ไม่ได้ รัฐจะได้กำไรจากปริมาณที่ขายได้มากเพราะผูกขาดคนเดียว หากนายทุนไม่ยอมขายข้าวที่รับซื้อมาเพราะกลัวขาดทุนเพราะรับซื้อมาแพง, แต่ครั้นจะไม่ขายก็อยู่ไม่ได้ จะขายแพงกว่ารัฐก็ไม่มีคนซื้อ สุดท้ายก็ต้องลดราคาลงมา ให้เท่ารัฐ หรือถูกกว่ารัฐ ทีนี้กำไรของรัฐก็ยิ่งเพิ่ม เพราะรัฐรับซื้อมาเยอะ(รับมาแพง) แต่ขายไปน้อย(ขายถูก) (ปล่อยให้ข้าวที่กักตุนของนายทุนทยอยออกมาก่อนเรื่อยๆจนหมดสต๊อก) ส่วนนายทุนรับมาน้อย แถมรับซื้อราคาก็แพงเกือบเท่ารัฐ แถมตอนขายยังจะต้องขายถูกกว่าเขาอีก
นี่ล่ะ... เป็นข้อดี ของการที่รัฐเข้าจัดการข้าวเอง จะสามารถดัดหลังพวกนายทุนได้ ทำให้พวกนายทุนไม่กล้ากักตุนข้าวในปริมาณมาก ทีนี้ผู้บริโภคก็ได้ทานข้าวดี ราคาถูก ชาวนาก็ได้ข้าวราคาดี ผลผลิตงาม...
สุดท้ายเมื่อนายทุนไม่มีข้าวค้างสต๊อค หรือไม่สามารถกักตุนสินค้าได้ ก็เป็นทีของรัฐที่จะสามารถเข้าควบคุมราคาตลาดได้ง่ายขึ้น
ราคาข้าวที่ตันละ 14000 แบบไม่ต้องประกันหรือจำนำเลย อาจจะเกิดขึ้นได้
รัฐ จะกลับกลายเป็นผู้วางหมากให้นายทุนเดินตามเกม โดยนายทุนจะไม่สามารถเอากำไรเกินควรได้อีกต่อไป แถมยังต้องคอยปรับปรุงคุณภาพตนเองให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก เพื่อให้ทัดเทียมภาครัฐหรือดีกว่ารัฐ การกดราคาข้าวจะหมดไป ชาวนาและรัฐสื่อสารกันโดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง รัฐง่ายต่อการสำรวจและวางระบบจัดการการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว อาจถึงขั้นจัดหารถเก็บเกี่ยวของภาครัฐไปเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ถึงที่ พร้อมขนส่งได้ทันที นายทุนต่างๆยิ่งต้องแข่งขันให้ดีกว่ารัฐยิ่งขึ้นไปอีก ใครที่ไม่ดีจริง ก็จะต้องเจ๊งไป เหลือแต่ที่ดีๆมีคุณภาพ
มองเห็นอนาคตข้าวไทยเลยว่า จะเป็นอย่างไร ... รุ่งกับรุ่ง
2. ประกันราคาข้าว ... ดีที่มีประกัน
ก็เหมือนประกันชีวิต บางครั้งใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา สะดุดล้มขาหัก ไม่ได้ไปทำงานก็มีคนจ่ายให้ชดเชย
ชาวนา ก็เช่นกัน ใครจะรู้ว่า วันหนึ่งเกิดน้ำท่วมนา นาล่ม อากาศร้อนนาแล้ง ก็ยังได้ราคาที่ประกันไว้ ไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า อย่างน้อยก็ได้ส่วนต่างมาพอใช้หนี้ปุ๋ยหนี้ยาเขาที่ยืมมา ดีกว่านั้นหากรัฐช่วยจุนเจือความเสียหายจากภัยธรรมชาติอีก เช่นให้อีกไร่ละ 5000 ยิ่งดีเลย เหมือนปลูกข้าวได้ในน้ำเลย มีนาไม่มีข้าวในนา แต่กลับได้ราคาเท่ากับเก็บเกี่ยวข้าวไปขาย
แต่ถ้าจำนำล่ะ ... นาล่ม นาแล้ง ไม่มีผลผลิตไปจำนำ ก็ต้องกินแกลบกินเกลือ
ดัง นั้น ถ้าคิดจะใช้ระบบจำนำ รัฐต้องไปพัฒนาไร่นา พัฒนาที่ดิน พัฒนาระบบชลประทานให้ดี อย่าให้ชาวนาออกมาโวยวายได้ ว่าไม่มีข้าวไปจำนำ จะกินอะไร
การชดเชยความเสียหายต่อไร่นา ก็ต้องเพิ่มขึ้นกว่าเดิม จากที่เคยชดใช้ให้ไร่ละ 5000 ก็อาจต้องเพิ่มเป็น 7000 เป็นต้น