เคยไม่แดง wrote:...
ยกตัวอย่าง ผมปลูกข้าว 10 ไร่ ได้ไร่ละ 1 ตัน (อันนี้แบบดูแลอย่างดีเลย) ผมได้ข้าว 10 ตัน เอาไปขายตอนนี้ ได้เงินมา 10 x 8500 บาท (ข้าวคุณภาพเยี่ยม) = 85,000 บาท ถ้ารัฐประกันให้อีก แต่คิดผลผลิตที่ ไร่ละ 800 กก. 10 ไร่ก็ 8 ตัน ให้ราคาตันละ 12000 บาท ก็ควรได้มา 96,000 บาท เพราะฉะนั้น รัฐจะจ่ายส่วนต่างให้ 11,000 บาท แต่ก็คือผมจะได้ 96000 บาท
เอาล่ะ มาดูเมียผมบ้าง ทำนาบ้างเล่นเฟสบ้าง ไม่ค่อยมาดูแลนาสักเท่าไร มี 10 ไร่เท่ากัน แต่ได้ผลผลิตแค่ ไร่ละ 600 กก. (ปุ๋ยก็ไม่ใส่ แมลงก็ไม่กำจัด ข้าวก็เม็ดขี้เหร่) ได้รวมแล้ว 6 ตันแค่นั้นเอง ไปขายนายทุน ได้มา 6x8000 บาท (ข้าวห่วย) 48,000 บาท โดยรัฐประกันให้ ตันละ 12000 บาท แต่รัฐคิดผลผลิตให้ไร่ละ 800 กก. 10 ไร่ก็ได้ 8 ตัน ดังนั้นก็ควรได้ 96,000 บาท ไม่รู้ล่ะจะปลูกขี้เหร่แค่ไหน แต่ฉัน(รัฐ)ประเมินขั้นต่ำให้แล้วว่า ไร่นึงมันน่าจะได้ 800 กก. (ไม่คิดว่าจะมีคนแบบเมียฉัน ที่ทำนาแบบนี้เลยใช่ไหม) สรุปรัฐจ่ายเพิ่มให้ 96000-48000 = 48000 บาท
เมียผมได้เงินมาเท่าผม 96000 บาท แต่... ลงทุนลงแรงน้อยกว่ามาก ค่าปุ๋ยก็น้อย ค่ายาก็น้อย กำไรเห็นๆ
แล้วอย่าง นี้... ทำไมผมต้องดูแลข้าวผมให้ดีๆไปเพื่ออะไร ในเมื่อรัฐประกันราคาข้าวให้ดีขนาดนี้ ปลูกพอเป็นพิธี ให้รู้ว่าปลูกจริง แล้วไปเอาราคาประกันชัวร์กันอยู่แล้วนี่หว่า
เอ๊า... นี่ล่ะ เขาถึงเรียกว่า กลไกตลาดมันบิดเบือน การแข่งขันมันจึงไม่เกิด ใครๆก็ไม่ต้องแข่งกันทำนาของตนให้ดี ข้าวจะออกมาเม็ดลีบเม็ดเล็กก็ช่าง ก็ในเมื่ออย่างไรเสียก็ได้ราคาที่แน่นอนอยู่แล้ว... ต่อไปก็คือ ในตลาดจะมีแต่ข้าวเม็ดลีบๆ ทีนี้จะเอาไปส่งออก...
เอาล่ะสิ ของเวียดนามเม็ดอย่างงาม แถมผลิตออกมามากกว่าไทย 3 เท่าตัว แล้วใครเล่าเขาจะมาเอาข้าวของประเทศไทย.... ใช่ไม๊พี่น้อง
เขา ก็ไปเอาข้าวคุณภาพดี มีให้เยอะๆ ไม่ต้องสั่งทีละหลายๆชาติ สั่งที่เดียวได้ทั้งของดี ของครบ จบในกระบวนเดียว ที่เวียดนาม ไม่ดีกว่าหรอ.. แล้วทีนี้มาร้องโอดโอย ว่าส่งออกได้น้อย รัญขาดทุน (ขาดทุนตั้งแต่ จ่ายเงินส่วนต่างให้ชาวนาแล้ว ปีละ หลายหมื่นล้าน)
การ ประกันราคาข้าวจึงมีข้อเสีย มากอยู่ สำคัญที่สุดคือ มันไม่ขับเคลื่อนกลไกตลาด รองลงมาคือรัฐเสียผลประโยชน์ทางเดียว คนได้ประโยชน์คือชาวนา และที่ไม่ใช่ชาวนาแต่เป็นพวกแอบอ้างสิทธิ์ในที่นา หรือพวกเจ้าของไร่นา ... รวยกันถ้วนหน้า
...
Limmy wrote:หลายรัฐบาลเคยมีความคิดเรื่องให้ชาวนาแต่ละท้องที่ มีโรงสีเป็นของตนเอง มีระบบขนส่งและขายส่ง-ขายปลีกเป็นของตนเองในแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นการตัดพ่อค้าคนกลางออกจากระบบการค้าข้าว
ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำได้ เพราะเจ้าของโรงสีไม่มีวันยอมให้ผลประโยชน์อันมหาศาลหลุดจากมือ
ยิ่งตอนนี้มีโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงขึ้นมาในหลายจังหวัด โรงสียิ่งกินหลายต่อ บางโรงสีก็ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลขายไฟให้ กฟภ. ควบคู่ไปด้วย ราคาแกลบก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก โรงสีก็ยิ่งรวยเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ
Limmy wrote:
หลายรัฐบาลเคยมีความคิดเรื่องให้ชาวนาแต่ละท้องที่ มีโรงสีเป็นของตนเอง มีระบบขนส่งและขายส่ง-ขายปลีกเป็นของตนเองในแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นการตัดพ่อค้าคนกลางออกจากระบบการค้าข้าว
ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำได้ เพราะเจ้าของโรงสีไม่มีวันยอมให้ผลประโยชน์อันมหาศาลหลุดจากมือ
ยิ่งตอนนี้มีโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงขึ้นมาในหลายจังหวัด โรงสียิ่งกินหลายต่อ บางโรงสีก็ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลขายไฟให้ กฟภ. ควบคู่ไปด้วย ราคาแกลบก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก โรงสีก็ยิ่งรวยเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ
jaojao48 wrote:ทุกวันนี้กินข้าวถุง มะลิพิเศษ 5 กก. 165 บ.
ก็เท่ากับ 1 กก. เท่ากับ 35 บาท 1 ตัน 35000 บาท
แต่ราคารับซื้อจากชาวนา ตัน ละ 12000
หักค่าความชื้น 1500 เหลือ ตันละ 10500 บาท
จาก 10500 มาเป็น 35000 นี่เป็นความแตกต่างจากอะไรครับ
![]()
![]()
เสี่ยงก็ไม่ต้องเสี่ยงภัยธรรมชาติ มีแต่ได้อย่างเดียวพวกโรงสี
เพื่อนร่วมชาติ wrote:ถามผู้รู้ด้านราคาข้าวหน่อยครับ
ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกเจ้าอยู่ที่ตันละไม่เกิน 9,000
ข้าวขาว 5 กก. ถุงละประมาณ 110
หอมมะลิประมาณ 200 บาท
ข้าวแกง 25-35 บาท
ข้าวเปล่า 5-10 บาท
ถ้าเผาไทยจำนำข้าวตันละ 15,000 ราคาข้าวที่เรากินจะไปในทิศทางไหน
Albert Einsteins wrote:เคยไม่แดง wrote:...
ยกตัวอย่าง ผมปลูกข้าว 10 ไร่ ได้ไร่ละ 1 ตัน (อันนี้แบบดูแลอย่างดีเลย) ผมได้ข้าว 10 ตัน เอาไปขายตอนนี้ ได้เงินมา 10 x 8500 บาท (ข้าวคุณภาพเยี่ยม) = 85,000 บาท ถ้ารัฐประกันให้อีก แต่คิดผลผลิตที่ ไร่ละ 800 กก. 10 ไร่ก็ 8 ตัน ให้ราคาตันละ 12000 บาท ก็ควรได้มา 96,000 บาท เพราะฉะนั้น รัฐจะจ่ายส่วนต่างให้ 11,000 บาท แต่ก็คือผมจะได้ 96000 บาท
เอาล่ะ มาดูเมียผมบ้าง ทำนาบ้างเล่นเฟสบ้าง ไม่ค่อยมาดูแลนาสักเท่าไร มี 10 ไร่เท่ากัน แต่ได้ผลผลิตแค่ ไร่ละ 600 กก. (ปุ๋ยก็ไม่ใส่ แมลงก็ไม่กำจัด ข้าวก็เม็ดขี้เหร่) ได้รวมแล้ว 6 ตันแค่นั้นเอง ไปขายนายทุน ได้มา 6x8000 บาท (ข้าวห่วย) 48,000 บาท โดยรัฐประกันให้ ตันละ 12000 บาท แต่รัฐคิดผลผลิตให้ไร่ละ 800 กก. 10 ไร่ก็ได้ 8 ตัน ดังนั้นก็ควรได้ 96,000 บาท ไม่รู้ล่ะจะปลูกขี้เหร่แค่ไหน แต่ฉัน(รัฐ)ประเมินขั้นต่ำให้แล้วว่า ไร่นึงมันน่าจะได้ 800 กก. (ไม่คิดว่าจะมีคนแบบเมียฉัน ที่ทำนาแบบนี้เลยใช่ไหม) สรุปรัฐจ่ายเพิ่มให้ 96000-48000 = 48000 บาท
เมียผมได้เงินมาเท่าผม 96000 บาท แต่... ลงทุนลงแรงน้อยกว่ามาก ค่าปุ๋ยก็น้อย ค่ายาก็น้อย กำไรเห็นๆ
แล้วอย่าง นี้... ทำไมผมต้องดูแลข้าวผมให้ดีๆไปเพื่ออะไร ในเมื่อรัฐประกันราคาข้าวให้ดีขนาดนี้ ปลูกพอเป็นพิธี ให้รู้ว่าปลูกจริง แล้วไปเอาราคาประกันชัวร์กันอยู่แล้วนี่หว่า
เอ๊า... นี่ล่ะ เขาถึงเรียกว่า กลไกตลาดมันบิดเบือน การแข่งขันมันจึงไม่เกิด ใครๆก็ไม่ต้องแข่งกันทำนาของตนให้ดี ข้าวจะออกมาเม็ดลีบเม็ดเล็กก็ช่าง ก็ในเมื่ออย่างไรเสียก็ได้ราคาที่แน่นอนอยู่แล้ว... ต่อไปก็คือ ในตลาดจะมีแต่ข้าวเม็ดลีบๆ ทีนี้จะเอาไปส่งออก...
เอาล่ะสิ ของเวียดนามเม็ดอย่างงาม แถมผลิตออกมามากกว่าไทย 3 เท่าตัว แล้วใครเล่าเขาจะมาเอาข้าวของประเทศไทย.... ใช่ไม๊พี่น้อง
เขา ก็ไปเอาข้าวคุณภาพดี มีให้เยอะๆ ไม่ต้องสั่งทีละหลายๆชาติ สั่งที่เดียวได้ทั้งของดี ของครบ จบในกระบวนเดียว ที่เวียดนาม ไม่ดีกว่าหรอ.. แล้วทีนี้มาร้องโอดโอย ว่าส่งออกได้น้อย รัญขาดทุน (ขาดทุนตั้งแต่ จ่ายเงินส่วนต่างให้ชาวนาแล้ว ปีละ หลายหมื่นล้าน)
การ ประกันราคาข้าวจึงมีข้อเสีย มากอยู่ สำคัญที่สุดคือ มันไม่ขับเคลื่อนกลไกตลาด รองลงมาคือรัฐเสียผลประโยชน์ทางเดียว คนได้ประโยชน์คือชาวนา และที่ไม่ใช่ชาวนาแต่เป็นพวกแอบอ้างสิทธิ์ในที่นา หรือพวกเจ้าของไร่นา ... รวยกันถ้วนหน้า
...
ผมว่าคุณเข้าใจผิดนะ หรือ ตั้งใจให้ข้อมูลผิด
เท่าที่ผมเข้าใจ หลักการประกัน คือ ผู้เอาประกันจะได้ส่วนต่างราคา จากจำนวนที่ตกลงกัน และมีขอบเขตสูงสุด
เช่น มีที่ดิน 10 ไร่ ประกันราคา ตันละ 12,000 บาท สูงสุดไร่ละไม่เกิน 800 กก. รวมเป็น 8 ตัน
แต่ถ้าคุณมีที่ดิน 100 ไร่ ประกันราคา ตันละ 12,000 บาท สูงสุดไร่ละไม่เกิน 800 กก. รวมเป็น 80 ตัน
แต่รัฐจะบังคับให้สูงสุดรวมไม่เกินคนละ 15 ตัน
จากตัวอย่างที่คุณให้มา ทั้งคุณและภรรยา
มีที่ดิน 10 ไร่ ประกันราคา ตันละ 12,000 บาท สูงสุดไร่ละไม่เกิน 800 กก. รวมเป็น 8 ตัน
หลังจากคุณลงทะเบียนแล้ว เมื่อเวลาคุณขายข้าว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
ตัวคุณ ที่ตั้งหน้าตั้งตารายได้ในการทำนาจากน้ำพักน้ำแรงโดยบริสุทธิใจ
ปลูกข้าว 10 ไร่ ได้ไร่ละ 1 ตัน (อันนี้แบบดูแลอย่างดีเลย) คุณได้ข้าว 10 ตัน
เงินที่ได้จากการขายข้าวให้พ่อค้า
ได้เงินมา 10 x 8,500 บาท (ข้าวคุณภาพเยี่ยม) = 85,000 บาท
เงินที่ได้จากการประกันราคาโดยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ
คิดผลผลิตที่รวม 8 ตัน ราคาส่วนต่าง 12,000 - 8,500 = 3,500 บาท ก็ควรได้มา 8x3,500 = 28,000 บาท
เพราะฉะนั้น คุณมีรายได้จากน้ำพักน้ำแรงโดยบริสุทธิใจ คือ 85,000 + 28,000 = 113,000 บาท
ภรรยาคุณ ที่เช้าชามเย็นชามการทำนา รอตกใจเป็นหลัก
ปลูกข้าว 10 ไร่ ได้ไร่ละ 600 กก. (ปุ๋ยก็ไม่ใส่ แมลงก็ไม่กำจัด ข้าวก็เม็ดขี้เหร่) ภรรยาคุณได้ข้าว 6 ตัน
เงินที่ได้จากการขายข้าวให้พ่อค้า
ได้เงินมา 6 x 8,000 บาท (ข้าวห่วย) = 48,000 บาท
เงินที่ได้จากการประกันราคาโดยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ
คิดผลผลิตที่รวม 6 ตัน ราคาส่วนต่าง 12,000 - 8,000 = 4,000 บาท ก็ควรได้มา 6 x 4,000 = 24,000 บาท
และผลผลิตเสียหายจากการตกใจ 2 ตัน ได้ชดเชยจากราคาประกันคือ 2 x 12,000 = 24,000 บาท
เพราะฉะนั้น คุณมีรายได้จากเช้าชามเย็นชามและค่าตกใจ คือ 48,000 + 24,000 + 24,000 = 96,000 บาท ซึ่งเป็นราคาประกันสูงสุด
(ส่วนภรรยาคุณ ถ้ารัฐแวะเวียนมาตรวจ ไม่รู้ติดคุกหรือป่าว อันนี้ไม่ชัวร์ แต่ที่แน่ๆ สังคมอาจประนามว่าขี้โกง)
สรุป คุณมีรายได้มากกว่าภรรยาที่รอตกใจ คือ 113,000 - 96,000 = 17,000 บาท ยิ่งผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นไปอีก คุณยิ่งได้มากขึ้นไปอีก
แต่ยังมีอีกด้าน ถ้าราคาตลาดเป็น 15,000 บาท ราคาประกัน 12,000 บาท ตัวอย่างเดียวกัน
เงินที่ได้จากการขายข้าวให้พ่อค้า
ได้เงินมา 10 x 15,000 บาท (ข้าวคุณภาพเยี่ยม) = 150,000 บาท
เงินที่ได้จากการประกันราคาโดยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ = 0 บาท
เพราะฉะนั้น คุณมีรายได้จากน้ำพักน้ำแรงโดยบริสุทธิใจ คือ = 150,000 บาท
ภรรยาคุณ ที่เช้าชามเย็นชามการทำนา รอตกใจเป็นหลัก
เงินที่ได้จากการขายข้าวให้พ่อค้า
ได้เงินมา 6 x 10,000 บาท (ข้าวห่วย) = 60,000 บาท
เงินที่ได้จากการประกันราคาโดยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ (อันนี้ไม่แน่ใจ แต่สมมุติว่าได้)
คิดผลผลิตที่รวม 6 ตัน ราคาส่วนต่าง 12,000 - 10,000 = 2,000 บาท ก็ควรได้มา 6 x 2,000 = 12,000 บาท
และผลผลิตเสียหายจากการตกใจ 2 ตัน ได้ชดเชยจากราคาประกันคือ 2 x 12,000 = 24,000 บาท
เพราะฉะนั้น คุณมีรายได้จากเช้าชามเย็นชามและค่าตกใจ คือ 60,000 + 12,000 + 24,000 = 96,000 บาท ซึ่งเป็นราคาประกันสูงสุด
(ส่วนภรรยาคุณ ถ้ารัฐแวะเวียนมาตรวจ ไม่รู้ติดคุกหรือป่าว อันนี้ไม่ชัวร์ แต่ที่แน่ๆ สังคมอาจประนามว่าขี้โกง)
สรุป คุณมีรายได้มากกว่าภรรยาที่รอตกใจ คือ 150,000 - 96,000 = 54,000 บาท ยิ่งผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นไปอีก คุณยิ่งได้มากขึ้นไปอีก
สรุปคือ
รัฐประกันขั้นต่ำให้คุณในกรณีที่ราคาซื้อขายจริงต่ำกว่าราคาประกัน หรือ คุณมีผลผลิตเสียหาย
เพื่อให้คุณไม่เจ๊ง แต่คุณทำได้มากกว่า ก็ได้มากกว่า
คนบาป wrote:พวกที่บอกว่า จำนำ 15,000 คือพวกนายทุนโรงสี พวกพ่อค้าส่งออกหนุนหลัง กินกันเป็นขบวนการเพราะทำตัวเป็นผู้รับจ้างรัฐบาล แบ่งสรรปันส่วนกันไป
พวกที่ใช้ราคาประกัน ผลพวงตกอยู่ที่ชาวนาโดยตรง ส่วนพวกโรงสีพ่อค้าส่งออกในระบบประกันราคาก็ต้องค้าขายไปตามปกติ เป็นไปตามกลไกตลาด ได้กำไรตามที่ควรจะเป็น
โอกาสโกง หรือร่วมมือกันทุจริตก็น้อยลง
ถ้ารัฐบาลตั้งราคาประกันสูง ชาวนาก็ยิ่งได้ผลประโยชน์สูง แล้วแต่ว่ารัฐบาลจะกำหนดราคากลางอย่างไร แต่แน่ๆ คือไม่ทำให้ชาวนาขาดทุน อย่างน้อยต้องได้กำไร 25 %
Apichai wrote:ทำเกษตรอินทรีย์ ได้ผลช้า
แต่ ได้ผลระยะยาว และยั่งยืน
เกษตรกร บ้านเรา ใจร้อน ไม่มีความรู้และไม่มีทุนพอ
ที่จะรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในระยะยาว
จีรนุช wrote:จานละเท่าไรก็ไม่สน เพราะป.ตรีจบไหม่ได้เงินเดือนเริ่มที 15000 เหลือกินเหลือใช้
weshare wrote:jaojao48 wrote:ทุกวันนี้กินข้าวถุง มะลิพิเศษ 5 กก. 165 บ.
ก็เท่ากับ 1 กก. เท่ากับ 35 บาท 1 ตัน 35000 บาท
แต่ราคารับซื้อจากชาวนา ตัน ละ 12000
หักค่าความชื้น 1500 เหลือ ตันละ 10500 บาท
จาก 10500 มาเป็น 35000 นี่เป็นความแตกต่างจากอะไรครับ
![]()
![]()
เสี่ยงก็ไม่ต้องเสี่ยงภัยธรรมชาติ มีแต่ได้อย่างเดียวพวกโรงสี
![]()
![]()
มิหน้า!! ชอบก่งก๊งอยู่เรื่อย กินข้าวเปลือกนี่เองสุดยอดดด
เฮ้อ....สาวก ..![]()
![]()
jaojao48 wrote:weshare wrote:jaojao48 wrote:ทุกวันนี้กินข้าวถุง มะลิพิเศษ 5 กก. 165 บ.
ก็เท่ากับ 1 กก. เท่ากับ 35 บาท 1 ตัน 35000 บาท
แต่ราคารับซื้อจากชาวนา ตัน ละ 12000
หักค่าความชื้น 1500 เหลือ ตันละ 10500 บาท
จาก 10500 มาเป็น 35000 นี่เป็นความแตกต่างจากอะไรครับ
![]()
![]()
เสี่ยงก็ไม่ต้องเสี่ยงภัยธรรมชาติ มีแต่ได้อย่างเดียวพวกโรงสี
![]()
![]()
มิหน้า!! ชอบก่งก๊งอยู่เรื่อย กินข้าวเปลือกนี่เองสุดยอดดด
เฮ้อ....สาวก ..![]()
![]()
เห็นแถวบ้านเอาข้าวเปลือกไปสี ข้าวเปลือก 50 กิโล เสีย 20 บาท
1000 กิโล ก็เสีย 400 บาทแค่นั้นเอง
ทำไม 1 ตันข้าวเปลือกชาวบ้าน 1 ตัน 10500 ถึงเป็น 35000
ถ้ารู้ก็บอกครับดีกว่าประชดไร้สาระ
![]()
halfmoon wrote:jaojao48 wrote:weshare wrote:jaojao48 wrote:ทุกวันนี้กินข้าวถุง มะลิพิเศษ 5 กก. 165 บ.
ก็เท่ากับ 1 กก. เท่ากับ 35 บาท 1 ตัน 35000 บาท
แต่ราคารับซื้อจากชาวนา ตัน ละ 12000
หักค่าความชื้น 1500 เหลือ ตันละ 10500 บาท
จาก 10500 มาเป็น 35000 นี่เป็นความแตกต่างจากอะไรครับ
![]()
![]()
เสี่ยงก็ไม่ต้องเสี่ยงภัยธรรมชาติ มีแต่ได้อย่างเดียวพวกโรงสี
![]()
![]()
มิหน้า!! ชอบก่งก๊งอยู่เรื่อย กินข้าวเปลือกนี่เองสุดยอดดด
เฮ้อ....สาวก ..![]()
![]()
เห็นแถวบ้านเอาข้าวเปลือกไปสี ข้าวเปลือก 50 กิโล เสีย 20 บาท
1000 กิโล ก็เสีย 400 บาทแค่นั้นเอง
ทำไม 1 ตันข้าวเปลือกชาวบ้าน 1 ตัน 10500 ถึงเป็น 35000
ถ้ารู้ก็บอกครับดีกว่าประชดไร้สาระ
![]()
วิธีคิดง่ายๆครับ วิธีนี้เป็นวิธีประมาณการคร่าวๆเหมือนผู้รับเหมามาตีราคาก่อสร้าง
เอาราคาซื้อข้าวเปลือกโดยที่ยังไม่หักค่าความชื้นมาคูณกับ factor การสีข้าว
คือ 15,000 / 0.4 (0.4 มาจากสีข้าวเปลือก 1,000 ได้ข้าวขาว 400 กิโลกรัม)
ได้เท่ากับ 37,500 บาท หักประโยชน์ที่แปรเป็นปลายข้าวเป็นรำออกประมาณ
0.15 X 15,000 เท่ากับ 2,250 ( 0.15 เป็น factor ที่หักค่าขนถ่ายและขนส่ง)
สุดท้ายก็จะได้ราคาข้าวขาวโดยประมาณ = 35,250 บาท ครับ
ลบค่าจิ้มเครื่องคิดเลขผู้รับซื้อเป็นส่วนลดหน้าโกดัง 250 เหลือ 35,000 บาท
แถมราคาด้วยก็ดี ใครอยากซื้อข้าวถูกก็ไปซื้อที่หน้าโรงสีเอาเองคนบาป wrote:1 ตันข้าวสาร มาจาก 2.5 ตันข้าวเปลือก ไปคิดต่อเอาเอง
คนบาป wrote:1 ตันข้าวสาร มาจาก 2.5 ตันข้าวเปลือก ไปคิดต่อเอาเอง
jaojao48 wrote:คนบาป wrote:1 ตันข้าวสาร มาจาก 2.5 ตันข้าวเปลือก ไปคิดต่อเอาเอง
ครับๆ เข้าใจแหละ
![]()
ปีกพิราบ wrote:ข้อเสียของการประกันราคา
1.รัฐต้องจ่ายเงินไปสู่เกษตรโดยตรงทำให้รัฐต้องจ่ายเงินเพื่อการนี้เป็นจำนวนมากโดยไม่ได้อะไรกลับมาเหมือนการแจกเงิน
2.มีการแจ้งการทำนาที่เป็นเท็จเช่นทำนา 10 ไร่บอกว่า 20 ไร่ แม้จะมีประชาคมแต่บ้างครั้งต่างก็เกรงใจกันไม่กล้าคัดค้าน หรืออาจเนื่องจากต่างคนต่างแจ้งเท็จด้วยกัน เรื่องนี้มีบ่นกันมาก
3.ทำให้ราคาข้าวไม่ขึ้นเกินหนึ่งหมื่นบาท เพราะพ่อค้ารับซื้อรู้ว่ารัฐจ่ายส่วนต่างให้เกษตรแล้ว เหมือนรัฐกดราคาข้าวไม่ให้เกินหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งตั้งแต่โครงการนี้ออกมาราคาข้าวไม่เคยเกินหนึ่งหมื่นบาทเลย
4.การจ่ายเงินส่วนต่างจะจ่ายให้แค่ 25 ตัน ถ้าใครได้เกินกว่า 25 ตันไม่ได้รับส่วนต่าง
5.คิดให้ผลผลิตข้าวที่ 500 กก. ต่อไร่ ถ้าใครทำได้มากกว่านั้นก็ไม่ได้
ผลดีการรับจำนำข้าว
1.จากการประกาศจำนำราคาข้าวที่ 15,000 บาท ชาวนาจะได้รับเงิน 15,000 เลย (กรณีข้าวมีความชื้นที่ 15 เปอร์เซนต์) ซึ่งเป็นเงินสด
2.ชาวนามีข้าวจำนวนเท่าไรก็ขายได้ตามจำนวนผลผลิตที่ได้ ถ้าทำได้ 100 ตันก็ได้ทั้ง 100 ตัน เป็นเงิน 1,500,000
3.ชาวนาจะได้รับเป็นเงินสดทันทีเมื่อขายข้าว
4.จะทำให้ราคาข้าวในท้องตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากถ้า่พ่อค้าไม่รับซื้อในราคาสูงก็ไม่มีข้าวขายเพราะรัฐจะซื้อเองหมด
5.รัฐบาลบอกว่าจะนำข้าวไปขายเองและทำให้ข้าวราคาสูงขึ้นโดยการเจรจากับประเทศที่ผลิตข้าวรายใหญ่ เช่นเวียตนาม อินเดีย ฯลฯ เพื่อกำหนดราคาข้าวในตลาดโลก (เหมือนกลุ่มโอเปคที่กำหนดราคาน้ำมัน) ถ้ารัฐทำได้จริงอาจมีกำไรจากการขายข้าวซึ่งได้กลับมาเป็นรายได้ของรัฐ
thepporn_return wrote:จะจำนำทำไมอะ
ในเมื่อรัฐบาลเค้าก็ประกันราคาให้ที่ 15000 บาทอยู่แล้วสำหรับข้าวหอมมะลิ
ข้าวอื่น ๆก็ลดลงมาตามเกณฑ์
ไม่เห็นต้องไปปั่นราคาให้พวกโรงสีข้าวมันได้เงินเลย ไม่เข้าใจพรรคเผาไทยของยิ่งเละ จริง ๆ