เราอาจจะเข้าใจอะไรไปอีกอย่าง เช่นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีหน้าที่ควบคุมดูแลการเงินและการคลัง เลยเข้าใจไปซะหมดว่ารัฐมนตรีฯคลังจะไปกำหนดธนาคารได้โดยตรง จริงแล้วไม่ใช่ซะทั้งหมดครับ แบงค์ชาติยังเป็นตัวหลักในการดำเนินการของธนาคารพานิชย์อยู่ แต่ด้วยว่าเงินก็เปรียบเสมือนสินค้าตัวหนึ่ง แต่ก่อนเราคิดเพียงว่าเงินคือตัวกลางในการแลกเปลี่ยน นั่นมันสมัยพระนารายณ์ครับ แต่เงินทุกวันนี้มันมีมูลค่าเพิ่ม มีอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่าง มีผลกำไรจากดอกเบี้ย มีผลกำไรจากกองทุนของธนาคาร มีกำไรจากบริการต่างๆอีกมากมาย ดังนั้นเงินจึงเป็นทั้งสินค้าและบริการ(แลกเปลี่ยน) เมื่อเป็นสินค้าแล้ว และเป็นสินค้าที่จำเป็นในยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ จึงเข้าข่ายสินค้าและบริการควบคุม ใครหละจะควบคุม แบงค์ชาติก็คงควบคุมไม่ได้เพราะเราเป็นประเทศประชาธิปไตย ตัวแทนทางการเมืองของคนไทยต้องเข้าไปควบคุม หากไม่แล้วถ้าวิกฤตรัฐบาลที่มาจากการเลือกของประชาชนจะเข้าไปดูแลแก้ไขไม่ได้ ดังนั้นมันจึงมีช่องเปิดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถออกนโยบายควบคุมธนาคารได้แม้แบงค์ชาติไม่เห็นด้วยก็ตามในเรื่องมูลค่าเงินและส่วนต่างกำไรจากการค้าบริการเงิน เพราะมันคือเสถียรภาพและความมั่นคงแห่งรัฐ หากรัฐล่มประชาชนการเดือดร้อน ธนาคารแห่งประเทศไทยมีคนถึงสามพันรึเปล่าจะตายก็ช่างมันสิ แต่คนไทยทั้งประเทศมอบหมายให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อความอยู่รอดของประชาชน ดังนั้นเงิน จึงเป็นสินค้าควบคุมชนิดหนึ่งที่ควบคุมโดยรัฐบาล เหมือนกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำคัญก็เป็นสินค้าควบคุม เอาตัวอย่างง่ายๆคือ ไข่ ไข่ที่ปานายหกฯนั่นแหละ รัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ต้องเข้าไปควบคุม เงินก็เช่นกัน โชคดีที่เราไม่ได้เอาเงินไปชั่งกิโลฯขาย
ฟังให้เข้าใจนะครับ รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่มีสิทธิที่จะไปกำหนดบีบบ้งคับธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพานิชย์ได้โดยตรง แต่สามารถกำหนดมูลค่าของเงินและกำไรจากตัวเงิน(สินค้า)และบริการอันสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือเป็นกำไรส่วนต่างของเงินได้
สรุปแบบชาวบ้าน รัฐไม่สามารถบีบคอนายธนาคารได้ แต่กำหนดให้เงินมีค่าเท่าใดได้ดอกผลกำไรจากบริการให้เป็นเท่าไหร่ได้
เอ้าคิดง่ายๆอีก รัฐไม่สามารถบีบพ่อค้าหรือผู้เลี้ยงไก่ได้ แต่สามารถกำหนดราคาไข่ได้โดยการบริหารจัดการกลไกตลาดไข่ให้ได้ หากไม่ได้ก็ถูกด่า
อ้าวชักจะงง ไม่บีบแล้วรัฐจัดการได้อย่างไร รัฐก็ไปสนับสนุนอุตสาหกรรมการแปรรูปไข่สิ เพื่อรักษาสมดุล หากไข่ถูกรัฐก้กระตุ้นให้อุตสาหกรรมนั้นๆตุนไข่หรือซื้อไข่ไปตุน หรือหาช่องทางตลาดส่งออกระบายไข่ หากไข่แพงก็ระงับการซื้อไข่เพิ่มหรือส่งออกโดยเอากลไกภาาษีไปกำหนดอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าไข่ถูกรัฐเอาเงินไปซื้อไข่ไปทิ้งทะเล แล้วหากไข่แพงหละ รัฐจะเอาไข่จิ้งจกมาให้เรากินแทนรึ สรุปก็คือรัฐอาศัยกลไกภาษีกำหนดสินค้าและบริการทุกอย่างได้ แม้แต่เงินด้วยครับ