ว่าด้วยเรื่อง กองทุนน้ำมัน“ อันดับแรก เราจะกระชากค่าครองชีพของพี่น้องลงมา ด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมัน
เอามั้ยค่าพี่น้อง “
หนึ่งในวาทกรรมหาเสียงของพรรคการเมือง ภายใต้การนำของหนึ่งนารี ที่ประกาศไว้
ต่อสาธารณชนเมื่อครั้งชุมนุมใหญ่ ณ สนามกีฬา ท่ามกลางสายฝน นับเป็นหนึ่งใน
นโยบายมหาประชานิยมที่ส่งผลให้ได้รับชัยชนะสมความปรารถนา
(ฝีปากล้วน ๆ หาใช่ฝีมือแต่ประการใด)
“
กองทุนน้ำมัน “ คืออะไร
“
กองทุนน้ำมัน “ หรือ “
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง “ เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล
ของ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน กองทุนน้ำมันจัดตั้งขึ้น
ด้วยวัตถุประสงค์ ใช้เป็นเครื่องมือของรัฐในการปัองกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมัน และ
ใช้รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ ในกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาด
โลกสูงขึ้น เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชนให้
น้อยที่สุด
ในช่วงปี 2516 ทุกประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์น้ำมัน อันเนื่องมาจาก ราคาน้ำมัน
ในตลาดปรับตัวสูงขึ้นและหาซื้อได้ยาก ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมัน รวมทั้งใน
ประเทศไทย รัฐบาลในขณะนั้น (รัฐบาลนายก สัญญา ธรรมศักดิ์) คิดหาวิธีที่จะใช้เป็น
เครื่องมือง เพื่อแทรกแซงและควบคุมกลไกตลาดน้ำมัน เพื่อรักษาความมั่นคงภายใน
ประเทศ อีกทั้งเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รัฐบาลจึงได้ออก
"
พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 "
วัตถุประสงค์ในพระราชกำหนดฯ ประกาศไว้ว่า
“ โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ และน้ำมันดินที่จะซื้อได้มี
ปริมาณลดน้อยลง ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย
ฉะนัน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน จำเป็น
ต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์
ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่างๆ ได้โดยฉับพลัน
ไม่จำเป็นต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่ “
พระราชกำหนดฯ กำหนดอำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในการออกมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกัน
และแก้ไขภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พระราชกำหนดนี้มีอายุเพียง 1 ปี แต่ได้มี
การออกพระราชกำหนดต่ออายุ จนกระทั่งปี 2520 จึงได้ตราพระราชกำหนดให้มีผลบังคับ
ใช้ต่อไปอย่างไม่มีกำหนดเวลา
ปี 2520 กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน โอเปค ปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบ รัฐบาลนายกธานนิทร์ กรัยวิเชียร
ปรับราคาขายปลีกในสัดส่วนที่น้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยใช้มาตรการลดอัตราภาษีผลิต
ภัณฑ์น้ำมันลงตามส่วนของต้นทุนน้ำมันดิบ ในส่วนของ น้ำมันเตา การลดอัตราภาษีไม่
พอเพียงกับต้นทุนราคาน้ำมันดิบ รัฐบาลจึงได้ใช้วิธีลดภาษีที่เก็บจากน้ำมันเบนซินมาก
กว่าต้นทุนที่เพิ่มและกันเงินส่วนนี้ไว้ใน กองทุน
โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดฯ ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 178/2520 ลงวันที่ 19
กันยายน 2520 เรื่อง การกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันส่งเงินเข้ากองทุนรักษาระดับราคาน้ำมัน
เชื้อเพลิง และการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมัน เพื่อจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาน้ำ
มันเชื้อเพลิง โดยให้โรงกลั่นน้ำมันและผู้นำเข้าส่งเงินเข้ากองทุน เพื่อนำไปชดเชยให้ผู้
ค้าน้ำมันเตา
ในปี 2521 รัฐบาลนายกรัฐมนตรีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้ประกาศเพิ่มค่าเงินบาท
ร้อยละ 1 ทำให้ผู้นำเข้าได้กำไรเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว รัฐบาลเห็นว่ากำไร
ส่วนนี้มิได้เกิดจากการดำเนินการ จึงได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 206/2521 ลงวันที่ 29
ธันวาคม 2521 จัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เงินตราต่างประเทศ) และ
กำหนดให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงส่งกำไรที่เกิดจากการเพิ่มค่าเงินบาทเข้ากองทุนดัง
กล่าว เพื่อเก็บไว้ใช้ทดแทนเมื่อราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น
ต่อมาในปี 2522 ประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียมได้ประกาศขึ้นราคาน้ำมันดิบถึง 4 ครั้ง
รัฐบาลนายกรัฐมนตรีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จึงเห็นควรให้หาวิธีการที่จะตรึงราคา
ขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ โดยไม่ต้องปรับตามราคาน้ำมันดิบที่เปลี่ยน
ไปทุกครั้ง และอีกประการหนึ่งต้องการจะรวมกองทุนต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นเข้าเป็นกองทุน
เดียวกัน
จึงได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาด
แคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ สร. 0201/9 ลงวันที่ 27
มีนาคม 2522 จัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งได้รวมกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมัน
เชื้อเพลิง ซึ่งตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 178/2520 ลงวันที่ 19 กันยายน 2520 กับ
กองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เงินตราต่างประเทศ) ซึ่งจัดตั้งตามคำสั่ง
นายกรัฐมนตรีที่ 206/2521 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2521 เข้าด้วยกัน กำหนดกฎเกณฑ์
การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ และชดเชยจากกองทุนฯ รวมทั้งการปฏิบัติใน
การส่งเงินเข้ากองทุนฯ และขอรับเงินชดเชยจากกองทุนฯ และกำหนดหน่วยงานที่
รับผิดชอบในส่วนต่างๆ
ต่อมาในปี 2534 รัฐบาลได้ยกเลิกการควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน
น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และ น้ำมันเตา โดยเหลือเพียงก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ
ก๊าซหุงต้ม หรือที่เรียกกันว่า LPG ที่ยังคงมีการควบคุมราคาอยู่ จนกระทั่งในปี 2544
ได้เปลี่ยนการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มาเป็นแบบกึ่งลอยตัว โดย
กำหนดให้รัฐบาลควบคุมเพียงราคาขายส่ง ส่วนราคาขายปลีก และ ค่าการตลาด
ให้ผู้ค้าก๊าซเป็นผู้กําหนด แต่ยังให้หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ สํานักงานนโยบายและ
แผนพลังงาน (สนพ.) และกรมการค้าภายใน มีหน้าที่กํากับดูแลมิให้มีการกําหนด
ราคาเพื่อเอาเปรียบผูบริโภค
คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ทำหน้าที่ในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีหน้าที่ ดังนี้
1) กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา และกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่
ทำในราชอาณาจักร ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
2) กำหนดค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง
3) กำหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ
ตลอดจนกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
4) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มา
จากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซ
ธรรมชาติในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำ
เข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้
แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และก๊าซหุงต้มที่จำหน่ายให้แก่ประชาชน
5) กำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
6) กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีก
7) พิจารณากำหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าอัตรา
ภาษีสูงสุด
8) กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการ
9) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคำสั่งนี้
10) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้จัดการกองทุนโดยตำแหน่ง มีอำนาจหน้าที่จ่ายเงินกองทุน
ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 โดยมีการออก
ระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการ
ฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 รายรับของกองทุนน้ำมัน ประกอบด้วย อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิง
ชนิดต่าง ๆ ตามประกาศของคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ซึ่งปรับเปลี่ยน
ตามดุลยพินิจในแต่ละรัฐบาล
รายจ่าย ที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุน มีดังนี้
(๑) เป็นเงินจ่ายชดเชยตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
(๒) เป็นเงินจ่ายคืนในกรณีนำส่งเกินอัตราที่กำหนดหรือไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งเงินเข้า
กองทุน
(๓) เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน ภายในวงเงินประมาณการรายจ่ายประจำปีที่
คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอนุมัติ ตามประเภทรายจ่าย ดังนี้
(๓.๑) ค่าจ้างชั่วคราว
(๓.๒) ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ
(๓.๓) ค่าครุภัณฑ์
(๓.๔) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
(๔) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง
(๕) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนหรือการจ่าย
เงินชดเชยจากกองทุนเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(๖) เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ
หนึ่งในนโยบายมหาประชานิยมของทีมบริหารภายใต้การนำของหนึ่งนารี อันเป็น
นโยบายแรกที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่จะนานเพียงใด ผลประโยชน์ที่ประชาชน
ได้รับ เมื่อเทียบกับความเสียหายที่ประเทศอาจจะได้รับ คุ้มค่าหรือไม่
คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นตัวตัดสิน
ขออนุญาติ ฝากตารางราคาขายปลีกน้ำมันไว้ให้วิเคราะห์ตามวิสัยทัศน์ของทุกท่าน
http://www.eppo.go.th/retail_changes.html