Mindcontrol หรือมีชื่อเรียกใหม่ว่า การล้างสมอง ในประวัติศาสตร์ มีการใช้การล้างสมองในการล้มล้างการปกครองบ่อยครั้ง โดยการล้าง
สมองนี้ เป็นวิธีที่จะทำลายความสามารถในการคิดด้วยเหตุผลของบุคคล แล้วเอาความคิดที่เราต้องการใส่ลงไปแทน ซึ่ง ผู้ล้มล้างการปกครอง
จะต้องใส่ความรู้สึกที่ไม่เท่าเทียมและความรู้สึกเอารัดเอาเปรียบเพื่อให้เกิดความเกลียดชัง....(ผมข้ามตรงนี้ดีกว่าไม่อยากแปล)
อย่างไรก็ตามเราสามารถสรุปได้ว่ากระบวนการล้างสมอง คือการปลูกฝังความเชื่อใหม่ โดยวิธีที่ทำให้บุคคลที่โดนล้างสมองไม่สามารถใช้
วิจารณญาณของตัวเองใด้ตามปรกติ โดยมีอัตตราความสำเร็จในการปลูกฝังแนวคิดใหม่ค่อนข้างสูง
อีกตัวอย่างนึงคือ ทหารที่ถูกทางการคอมมิวนิสจับตัวไป เมื่อกลับออกมาก็จะมีจิตใจที่เชิดชูบูชา คอมมิวนิสอย่างสุดซึ้ง
ในยุค สงครามเกาหลี มีการใช้การล้างสมองในรูปแบบของการ โฆษณาชวนเชื่อที่ อเมริกาใช้ต่อต้านคอมมิวนิส
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ในลัทธิศาสนาต่างๆ เพื่อให้การแพร่ขยายเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทฤษฏีว่าด้วยการ เปลี่ยนแปลงความคิด คน
มีหลายทฤษฏีที่ระบุเกี่ยวกับการ ควบคุมจิตใจนี้
ข้อมูลต่อไปนี้ เคยมีอยู่ใน wikipedia แต่ปัจจุบัน ถูกลบออกไป เนื่องจากมีความเกี่ยวพันธ์กับความั่นคงของสหรัฐอเมริกา
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Mind_controlแต่ไม่เป็นไรครับ ผมพอจะเรียบเรียงจากความทรงจำได้บ้าง
แต่เนื้อหาอาจจะไม่ครบถ้วน
ใน wikipedia เคยนำเสนอเกี่ยวกับทฤษฏี mind control อยู่ 2-3 ทฤษฏี
จุดร่วมของทุกๆ ทฤษฏีมีดังนี้
หากคุณเป็นผู้ที่จะควบคุมคนอื่น สิ่งต่อไปนี้คือแนวทางในการปฏิบัติที่ดี
คุณต้องแยกบุคคลกลุ่มเป้าหมายของคุณออกจากสังคมปกติที่เค้าอยู่ แล้วนำไปอยู่ในกลุ่มที่มีแนวคิดแบบที่คุณต้องการ
หลังจากนั้นเมื่อคุณมีกลุ่มเป้าหมายแล้ว สิ่งที่คุณต้องสร้างให้เกิดขึ้นมาให้ได้คือ แนวคิดร่วมภายในกลุ่ม เราต้องการจะให้เขามีอุดมการณ์
อย่างไร คุณก็ปลูกฝังเข้าไปตรงนี้ โดยคุณจะต้องกำจัด ความคิด และมุมมองของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม แล้วสร้างพฤติกรรมที่คุณต้องการขึ้น
มาในกลุ่ม
นอกจากนี้คุณอาจจะใช้สิ่งต่อไปนี้ช่วย
การสะกดจิต อย่าเพิ่งตกใจว่าเป็นไปไมได้ เราใช้การสะกดจิตในวงกว้างเพื่อทำให้จิตใจคนมีความรู้สึกผ่อนคลาย สบาย พร้อมที่จะรับแนวคิดใหม่ๆ
การใช้น้ำเสียง การใช้น้ำเสียงในการพูดสำคัญมากสำหรับการส่งสารให้ บุคคลที่เราจะเปลี่ยนความคิด โดยน้ำเสียงที่เราใช้ต้อง มีจังหวะ
โดยคุณจะต้องพูดในสิ่งที่ต้องการให้เขาเชื่อ ซ้ำๆ โดยอัตตราความเร็วในการเน้นเสียง เป็นจังหวะ ควรจะอยู่ประมาณ 45-60 จังหวะ/นาที
สถานที่ที่คุณจะต้องใช้ หากเป็นไปได้ควรจะเย็นกว่าปกติ (เปิดแอร์ หรือกลางคืน) เพื่อให้คนฟัง มีอาการผ่อนคลาย และอาจจะเป็นไปได้ที่จะ
ให้คนอยู่ในสภาวะครึ่งหับครึ่งตืน เพราะสภาวะนี้ จิตใต้สำนึกจะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ
การกำจัดความคิดเดิมของคนในกลุ่มนั้น คุณจะต้องทำช้าๆ โดยไม่ไปหักหาญความคิดเดิมของเขา วิธีที่ดีคือการพูดโน้มน้าว
โดยให้เขาคิดเอาเองได้ถึงสิ่งที่คุณต้องการให้เขาเข้าใจ สิ่งที่เขาจะได้รับในการที่เขาเชื่อคุณ คุณอาจจะใช้วิธีการเล่านิทานเปรียบเทียบ
เช่นในการขายตรง แห่งหนึ่ง ผู้บรรยายมักจะเล่าว่า
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ชายทั้งสองคนนี้จะต้องข้ามสะพานเพื่อไปทำงานในเมืองหลวง โดยมีค่าใช้จ่ายในการ
ข้ามสะพาน 30บาท ต่อครั้ง ชายคนแรกก็ต้องข้ามทุกวัน แต่ชายคนที่สองข้ามสะพานพร้อมกับหยิบก้อนหินมาโดยนลงในแม่น้ำวันละก้อน จน
กระทั่งวันหนึ่ง เขามีสะพานเป็นของตัวเอง" นอกจากนี้ ผู้บรรยายอาจจะกล่าวถึงว่า กรณีของคนแรก คือระบบที่ไปซื้อสินค้าเขามา ระบบที่2
คือระบบที่ซื้อสินค้าขายตรง เพื่อลงทุนให้ตัวเองเพื่อความมั่นคงในชีวิต
นอกจากนี้ เราต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ความอบอุ่น ความอ่นใจ ของเรา(ผู้เปลี่ยนความคิด)ที่มีต่อผู้ที่ถูกเปลี่ยนความคิด เพื่อให้เขา
เกิดความไว้วางใจในตัวของเรา
ขั้นต่อมาคือเราจะต้องลบล้างความเชื่อเก่าๆ ที่เราไม่ต้องการออกไปจากหัวของเขา ซึ่งวิธีการลบล้าง ต้องทำแบบที่ผมกล่าวมาก่อนหน้า คือ
โดยการทำให้ผู้โดนควบคุม มีความสับสนในทฤษฏีที่เขาเคยยึดถือ ซึ่งในสภาวะสับสนนี้ เขา(ผู้โดนควบคุม)ต้องการเหตุผลที่จะเป็นที่สิ้นสุด
แต่เมื่อทฤษฏีที่เขาเคยยึดถือ นั้นโดนเราทำให้สับสน เขาจะเคว้างคว้าง ดังนั้น เหตุผลที่เราพูด จะเป็นเหมือนขอนไม้ ลอยอยู่ในกลางทะเล
เพื่อให้เขาเกาะ เขาย่อม เทใจมาให้คุณ
นอกจากนี้ คุณต้องป้องกันความลับที่จะมีเกิดขึ้นในกลุ่ม โดยการโน้มน้าวต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยให้เขามีการพิจารณาใคร่ครวญ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีการศึกษาสูง ควรจะปล่อยให้เขาคิด สักครู่ โดยเราควรกล่าวเหตุผลของเราไปเรื่อยๆ หลังจากที่เราทำให้เขาสับสน แล้วเราจึง ถามว่า จริงใหม? ใช่หรือเปล่า? แล้วเว้นระยะ สัก 1-2 วินาที แล้วจึงกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ คุณควารจะพูดตามกฏที่คุณเห็นได้ง่ายอย่างชัดเจน(ต้นฉบับใช้คำว่าเรียกร้องตามกฏพื้นฐาน โดยไม่มีการประนีประนอม) เพื่อให้คนฟัง รู้สึกได้ถึงความเป็นจริง
และนอกจากนี้ เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ คำพูดที่ใช้ ควรเป็นคำพูดที่รุนแรง สบประมาท (ทั้งคนที่เป็นผ่ายตรงข้ามกับคุณ และคุณจำเป็นต้อง
สบประมาทคนที่จะถูกล้างสมองด้วย) เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ ความคิดรู้สึกร่วมกัน (นี่คือเหตุผลที่ต้องมีพี่ว้าก ตอนรับน้อง)
นอกจากนี้ กิจกรรมที่ทำก็มีผลกิจกรรมที่คุณทำ ต้องเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเหนื่อยล้า (เช่น วิดพื้น กลิ้ง ตอนรับน้อง เป็นต้น และต้อง
ให้เขามีการพักผ่อนที่ไม่พอเพื่อให้สติปัญญาเหนื่อยล้า
การแต่งชุด การแต่งชุดนั้นสำคัญมากสำหรับการแสดงออกถึงความเป็นสิ่งเดียวกันของกลุม คุณควรจะทำให้กลุ่มของคุณ มีการแต่งตัวที่
แสดงออกถึงเดียวกัน (เช่น สีเดียวกัน อันนี้ผมแปลตาม text นะ อย่ามาว่าผม)
นอกจากนี้ การให้กลุ่มคนออกมาพูดเหมือนกัน ร้องเพลงๆ เดียวกัน จะช่วยส่งเสริมแนวคิดของคุณ
คุณอาจจะใช้วิธีการที่ลดคุณค่าของบุคคลที่โดนควบคุมโดยการโจมตีไปที่จุดอ่อนของคนและความกลัวของเขาก็ได้
เพื่อความั่นคงในแนวคิดที่เราปลูกฝัง คุณควรจะเผาสะพานที่จะทำให้คนที่ถูกคุณควบคุมย้อนกลับไปได้ การทำลักษณะนี้ จะทำให้เขาต้องพึ่ง
พากลุ่มที่คุณสร้างมากขึ้นและเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณพูดมากขึ้น
และขอย้ำอีกครั้งนะครับ ในขั้นนีคุณควรให้ราววัลในสิ่งที่คุณต้องการและกล่าวร้ายพฤติกรรมที่คุณไม่ต้องการไปเรื่อยๆ
No question _คุณห้ามให้ใครมาตั้งคำถามคุณ อธิบายซ้ำๆ ในสิ่งที่คุณอยากให้เขาเชื่อ พูดให้ครอบคลุม อย่าให้ใครมาตั้งคำถามคุณได้
และสำคัญที่สุดที่คุณต้องใช้ คือ ความกลัว ความกลัว บอกไปเลยว่า แนวคิดอย่างอื่นมันหน้ากลัว อย่างนู้นอย่างนี้ เชื่อเราและท่านท่างหลายจะพ้นภัย
คุณมีวิธีแก้ใขคนที่ถูกควบคุมมาแล้วอย่างไร
ข่าวดี คือเราสามารถแก้ได้ ข่าวร้าย เราไม่สามารถแก้ได้ง่ายนัก ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาอธิบายการแก้ใขคนที่ถูกปลูกฝังแนวคิดโดยการล้างสมองมา แต่ปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้หายไป ผมไม่เห็นตามชั้นวางหนังสืออีกเลย
หากคุณกำลังถูกล้างสมอง คุณจะไมู่้รู้ตัวหรอกว่า คุณกำลังถูกล้างสมอง แต่พวกเขาจะพยายามทำสิ่งเหล่านี้กับคุณ
1.ปลุกระดม ใช้คำพูดรุนแรง ยั่วยุ
2.พูดทฤษฏีที่เขาเชื่อ ซ้ำๆ
4. พยามทำให้คุณสับสนในทฤษฏีที่คุณเคยเชื่อถือ
5.ใช้น้ำเสียงเป็นจังหวะ เพื่อพยามสะกดจิตคุณ
6.ใช้ความกลัวเล่นงานคุณ
7.พยามแยกคุณออกจากกลุ่มอื่นและให้คุณรับสื่อด้านเดียว
8.พยามทำกิจกรรมร่วมกับคุณ