ตอบคุณ Bookmarks
1. การวางเงินประกัน 100 ล้าน ผมก็บอกแล้วไงครับว่ามันเทา ในคำให้การก็มีทั้งคนบอกว่าทำไมต้องทำ, มีคนตั้งข้อสงสัย แต่มันสีเทา ผมเลยบอกแล้วว่าไม่อยากคุยเยอะ เพราะมันไม่จบ
มันไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครผิดใครถูก ดังนั้นใครจะคิดอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความชอบความเกลียดของแต่ละคนแล้วกันนะครับ ผมขอจบเรื่องวางมัดจำแค่นี้นะครับ
3. แก้กฎหมายผู้ถือหุ้นต่างชาติ เป็น 49% อันนี้ขอยกยอดไปคุยกันหลังเคลียร์เรื่องคดีที่ดินรัชดาแล้วนะครับ เพราะนานมากและข้อมูลหายไปไหนหมดแล้ว
Bookmarks wrote:จริงๆ ผมเอาคำให้การต่อศาล ของทั้งชวน หม่อมอุ๋ย และอีกหลายๆ คนมาให้คุณอ่านแล้วนะ ทุกคนก็บอกตรงกันว่า นายกมีอำนาจในการดูแล และสั่งการ ที่ผ่านมาแม้วก็เคยสั่งให้กองทุนฟื้นฟู ออกพันธบัตรใช้หนี้ 870000 ล้านบาท แล้วจะมาบอกได้ไงว่า ไม่มีอำนาจในการสั่งการ ควบคุม ดูแล
อะ อ่านเอาเองนะ จากเว็บเสรีไทยนี่แหละ ไปตาม url ที่ให้ในกระทู้ก่อนหน้านั้น
8 ก.ค.เวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม
ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คนออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งแรก
ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1//2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้านบาท
ตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
เติ้ง-ชวนเบิกความเป็นพยาน
โดย นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หัวหน้าคณะทำงานรับผิดชอบว่าความ นำนายบรรหาร ศิลปอาชา
หัวหน้าพรรคชาติไทย และนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพยานขึ้นเบิกความ
โดย ศาล ได้สอบถามนายบรรหาร ว่าขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เคยเข้าไปดูแลกำกับ
กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เป็นรัฐวิสาหกิจทั้ง โดยตรงและโดยอ้อมหรือไม่
นายบรรหาร ตอบว่า
ระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2538-39 ไม่มี ซึ่งการดูแลกิจการรัฐวิสาหกิจจะมีรัฐมนตรี
ซึ่งได้รับมอบหมาย เป็นผู้ดูแลเมื่อโจทก์ถามว่าระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรีได้เคยเข้าไปกำกับดูแล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือไม่
นายบรรหาร ตอบว่าไม่เคย
เมื่อ ถามต่อว่าในระหว่างที่เป็นนายกฯ เคยไปดูแลการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่า ธปท.หรือไม่ ซึ่งช่วงปลายปี 2538
ได้มีการย้ายนายวิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าธปท.ขณะนั้น
นายบรรหาร ตอบว่า
ในการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายเป็นไปตามที่นายสุรเกียรติ เสถียรไทย รมว.คลังขณะนั้นได้มีการเสนอต่อ ครม.เมื่อถามย้ำว่าสมัยที่เป็นนายกฯเคยเกี่ยวข้องอนุมัติสนับสนุนเงินกองทุนฯหรือไม่
นายบรรหารตอบว่า
ไม่เคยขณะ ที่นายอเนก คำชุ่ม ทนายความ จำเลยซักถามว่า ระหว่างที่เป็นนายกฯ ได้มีการรายงานเกี่ยวกับการบริหารงานของกองทุนฯ
เกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดิน ว่า ได้มาอย่างไรและมีมูลค่าเท่าใดหรือไม่
นายบรรหาร ตอบว่า
ไม่มีเมื่อ ถามต่อว่า ที่เคยให้การกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
ว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ.บริหารระเบียบราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ม.11 ที่ระบุว่านายกฯมีอำนาจควบคุมดูแลกระทรวงทบวงกรมโดยทั่วไป
ความหมายดังกล่าวหมายความถึงการบริหารกองทุนฟื้นฟูหรือไม่
นายบรรหาร ตอบว่า
กองทุนถูกตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารและแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ชัดเจนว่าจะถือเป็นอำนาจหน้าที่ทั่วไปตามกฎหมายนั้นหรือไม่
แต่ส่วนตัวเห็นว่า น่าจะเป็นอำนาจโดยเฉพาะ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ธปท.ซึ่งมี รมว.คลัง ดูแลอยู่ด้วยต่อมาอัยการนำ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเบิกความเป็นปากที่สอง
โดยได้ตอบคำถามเดียวกับที่ศาลถามนายบรรหาร สรุปว่า
นายกฯจะใช้อำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจผ่าน
รมว.คลังที่ได้รับมอบหมายดูแล ซึ่งในส่วนของกองทุนฯจะมีผู้ว่า ธปท.ดูแลและมี รมว.คลังกำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุนกองทุนฯ โดยในช่วงปี 2541 เคยลงนามให้นำเงินไปสนับสนุนกองทุนฯ แต่จำรายละเอียดไม่ได้เมื่อทนายจำเลยถามว่าในการบริหารกองทุนฯมีคณะกรรมการดูแลอิสระ นายกฯไม่มีอำนาจสั่งการใช่หรือไม่
นายชวน ตอบว่า
กองทุนฯอยู่ภายใต้กำกับของ ธปท.มีผู้ว่า ธปท.เป็นผู้ดูแล และมี รมว.คลัง กำกับดูแล ธปท.อีกชั้น
เมื่อถามว่าขณะที่เป็นนายกฯ เคยสั่งการในการบริหารงานกองทุนฯหรือไม่
นายชวนตอบว่า
ไม่มี ซึ่งนายกฯจะไม่ได้เป็นผู้สั่งการ ถ้าเรื่องนั้นไม่ได้ถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง วันที่ 15 ก.ค.2551 เวลา 09.30 น.นายทองหล่อ โฉมงาม
ผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งที่สอง ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550
ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2
ในความผิดฐานทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542
โดยในวันนี้อัยการนำ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
และอดีตประธานคณะกรรมการจัดการกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน เข้าเบิกความสรุปว่า
กองทุนมีสภาพเป็นนิติบุคคล
บริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการกองทุน ซึ่งจะมีปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นคณะกรรมการกองทุนด้วย โดยกองทุน
จะอยู่ภายใต้กำกับดูแลของธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งการจำหน่ายที่ดินของกองทุน ไม่ต้องขออนุมัติจาก รมว.คลัง
หรือนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการมีอำนาจที่จะมีมติให้จำหน่ายที่ดินได้ ส่วนในเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนในการจำหน่ายที่ดิน
จะพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจ ด้วย ซึ่งหากสภาพเศรษฐกิจไม่ดีก็คงจะต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน อย่างไรก็ดีในสมัยที่ตนเป็นประธานกองทุน
นายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้ามาบทบาทกำกับดูแลกองทุน ต่อ มาอัยการนำ นายไพโรจน์ เฮงสกุล อดีตผู้จัดการกองทุน ช่วงปี 2549-2550 เข้าเบิกความสรุปว่า พยานเคยให้การต่อ คตส.ว่า
นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลกองทุน โดยตรง แต่เหตุที่พยานทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษคดีนี้ เนื่องจาก
คตส.ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ส่งเรื่องให้กองทุน และที่ประชุมกรรมการกองทุนฯ ให้พิจารณาร้องทุกข์
เพราะ คตส. เห็นว่า การเข้าประมูลซื้อขายที่ดินไม่ชอบด้วย กฎหมาย ม.100 (พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.)
ตนในฐานะผู้จัดการกองทุนจึงเป็นผู้แทนเข้าร้องทุกข์
นายไพโรจน์ เบิกความว่า กองทุนอยู่ภายใน ธปท.ในส่วนของการดำเนินการจึงเป็นไปตามคำสั่ง ธปท.
แต่ถ้าส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ ก็จะปฏิบัติตามระเบียบของรัฐวิสาหกิจนั้น ส่วนเรื่องหลักเกณฑ์การ
วางซองมัดจำซื้อขายที่ดินพิพาทคดีนี้ ซึ่งต้องโอนเงินสดจำนวน 100 ล้านบาทเข้าบัญชีกองทุนฯ
ส่วนที่ดินที่ขายให้ อ.ส.ม.ท.จำนวน 50 ไร่ ที่ให้วางเป็นแคชเชียร์เช็ค นั้น พยานเห็นว่าไม่มีปัญหาความแตกต่าง
เพราะถึงจะวางเป็นแคชเชียร์เช็คก็จะต้องนำเข้าบัญชีเงินฝากกองทุนเช่นเดียว กัน
ส่วนที่กองทุนจะได้ดอกเบี้ยหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับธนาคาร
นาย ไพโรจน์ เบิกความต่อว่า
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำกับดูแล ซึ่งขณะที่พยานเป็นผู้จัดการกองทุน
ในสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เข้ามากำกับดูแลหรือสั่งการพยานBookmarks wrote:ในตอนแรกที่ผมคุยกับคุณ nopantaman คุณบอกว่า แม้วรู้ ว่ามีเมียไปซื้อ และได้มีการสอบถามไปกองทุนฟื้นฟู แต่ไหง ไปๆ มาๆ คุณบอกคุณไม่รู้ ว่าแม้ว รู้หรือเปล่าว่า เมียไปซื้อ
ผมว่าคุณมีปัญหาด้านการอ่านจับใจความแล้วครับ ไปอ่านกระทู้ผมใหม่เถิด ผมบอกหลายรอบแล้วว่าทักษิณต้องรู้อยู่แล้วว่าภรรยาไปซื้อ แต่ไอ้ที่ผมพิมพ์ตอบจากข้อความของคุณ เรากำลังพูดกันถึงเรื่องว่าทักษิณรู้หรือเปล่าว่ามีอำนาจสั่งการกองทุน เป็นคนละเรื่องกัน พอเข้าใจไหมครับ