http://www.bangkokbiznews.com30 วันอันตราย.."ประสาร ไตรรัตน์วรกุล"ความคิดที่ไม่ตรงกันระหว่าง"ธีระชัย" กับ"ประสาร"ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนืองและโจทย์ 4เรื่องตอบใน30วันอาจจะเป็นจุดอันตรายต่อผู้ว่าการแบงก์ชาต
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ มีเวลา" 30 วัน"ในการส่งการบ้านแก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ล้วนเป็นโจทย์ที่ง่ายมีอยู่ในใจของ รมว.คลังเรียบร้อยแล้ว....แต่สำหรับผู้ว่าแบงก์ชาติแล้วถือเป็น"โจทย์หิน" หรือไม่ก็มีในใจแล้วเช่นกันว่าอย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อนั้น"ทำไม่ได้และจะไม่ทำ" ซึ่งหากรูปการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ เข้าสู่ภาวะอันตรายอีกครั้ง
ยิ่งช่วงนี้รัฐบาล" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี อยู่ในกระบวนการ"รื้อ-ปลด-ย้าย "ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ แต่ละองค์กรด้วยแล้ว เชื่อว่าตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้
แฟชั่นนี้กำลังมาแรง..!
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้เวลา พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) 7 วัน...ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง บังเอิญคงมีกรอบคิด ตรงกัน..ให้เวลาดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล 1 เดือนหรือ 30 วันบ้าง...ซึ่งเอาเข้าจริงรัฐมนตรีทั้งสองท่านอาจจะมีคำตอบ ก่อนตั้งคำถามแล้วด้วยซ้ำ
การบ้าน 4 ข้อที่ ดร.ประสาร ต้องพิจารณา ประเด็นแรก รมว.คลัง ให้ธปท.ศึกษาการแยกบัญชีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาเพื่อนำทุนสำรองไปจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่ง(Sovereign Wealth Fund :SWF) ซึ่งอาจจะต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อให้นำเงินทุนสำรองออกมาใช้
เรื่องนี้ ดร.ประสาร ตอบมาแล้ว..."เรื่องดังกล่าวจะต้องศึกษาก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ และยังไม่สามารถจะให้คำตอบได้ทันที ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าก็มีการพูดคุยกันมานานแล้ว"
หากจะให้ตีความตรงๆ คือ"เขาศึกษามานานแล้ว และเห็นว่าสำหรับประเทศไทย ยังยาก"
ดร.ประสาร มีกรอบคิดตลอดมาว่า เอาเข้าจริงแล้ว ทุนสำรองระหว่างประเทศที่โชว์ว่าสูงถึง 1.8 แสนล้านดอลลาร์นั้น"น้อยมาก"กับประเทศที่เล็กและระบบเปิด อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ไม่มีมาตรการควบคุมเงินทุน...เพราะหากกระแสไม่เชื่อมั่นในประเทศไทยขึ้นมาเมื่อใด..เงินทุนจะไหลออกอย่างมากทันที ทุนสำรองฯที่ดูเหมือนจะมาก ก็จะไม่เหลือในที่สุด
อีกประเด็นใหญ่...การตั้งSovereign Wealth Fund คือการเปิดประตูให้"การเมือง"ในแบงก์ชาติ ซึ่งเมื่อสามารถเข้าประตูแรกได้แล้ว หลังจากนี้จะตามมาเป็นกระบวน มีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม...ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ก็ย่อมหายไป
คำถาม..แล้วทำไม่ประเทศอื่นทำได้...คำตอบ อาจจะอยู่ตรงที่นักการเมืองไทย"ความน่าเชื่อถือต่ำ...แต่น่ารังเกียรติสูง" ในมุมของ ธีระชัย และรัฐบาลนี้... ก็พยายามที่จะหาทุกแหล่งเงินทุน ที่สามารถมาใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายได้ และเห็นว่าทุนสำรองฯ ปัจจุบันก็มีมากเกินกว่าจะเก็บไว้ในหีบ...หากสามารถนำมาใช้ประโยชน์เพิ่มมูลค่าให้ประเทศชาติ ก็น่าจะคุ้มค่ากว่า
"ในแง่ของขนาด วิธีการจัดการบริหารกองทุนว่า ใครจะเป็นคนบริหารนั้น จะต้องมาพิจารณากันอีกรอบ และ รอฟังข้อเสนอของธปท.ในอีก 1 เดือนข้างหน้า แต่ผมเห็นว่า เมื่อมีข้อสรุปว่า จัดตั้งได้ คนที่จะบริหารกองทุนนี้ ก็ควรเป็นการบริหารร่วมกันระหว่างภาครัฐและธปท. ส่วนการใช้เงินลงทุนนั้น เพื่อให้เกิดความสบายใจ จะเป็นการลงทุนในต่างประเทศ โดยลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ ส่วนผลของการลงทุนก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน "
หากอ่านความคิดใน คำสัมภาษณ์ของ รมว.คลัง ก็ชัดเจนว่า มีคำตอบเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอ 30 ด้วยซ้ำ เพียงแต่มันต้องมีพิธีกรรมเล็กน้อย..ในทางรัฐศาสตร์เขาเรียกว่า "เพื่อความชอบธรรม"
ขณะที่ฝั่ง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ฟันธงได้เลยว่า"ไม่เห็นด้วย"...และจะเป็นเรื่องอ่อนไหวมากสุดใน 4 ข้อที่ยกขึ้นมา
ย้อนเบื้องหลัง เบื้องลึก ขยายให้เห็นมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง...แนวคิดการจัดตั้ง SWF นั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีการจ่ายผลตอบแทนที่ลดลงอย่างมาก ในขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยก็ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานกรรมการ ธปท. ได้เสนอให้ฝ่ายจัดการของ ธปท. ไปศึกษาแนวคิดการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่ฝ่ายจัดการของธปท.ได้ทำการสำรวจฐานะของทุนสำรองฯ พร้อมศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุนขึ้นมา ก็พบว่ามีความเห็นที่แตกต่างกันไป โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้แสดงความกังวลเรื่องของฐานะเงินทุนสำรองที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยให้ความเห็นว่า เมื่อแยกในส่วนที่ต้องกันไว้สำรองในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้า หนี้ต่างประเทศ และเงินทุนเคลื่อนย้าย รวมทั้งในส่วนที่ต้องหนุนหลังการออกธนบัตรแล้ว พบว่าปริมาณเงินที่เหลือจากที่ต้องกันไว้ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีปริมาณที่สูงมากนัก
การบ้านข้อที่สอง
ภาระหนี้สินกองทุนฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งประเด็นดังกล่าว รมว.คลัง ได้มอบให้ ธปท.หาแนวทางการแก้ไข เพราะธปท.ซึ่งรับผิดชอบเงินต้นนั้น ได้มีการชำระเงินต้นไปเพียง 1.6 แสนล้านบาท ขณะที่คลังได้ชำระดอกเบี้ยไปแล้วรวม 6.7 แสนล้านบาท
เรื่องนี้ น่าจะง่ายกว่าข้อแรกมาก คลังเองก็มีเหตุผล ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ที่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยปีละ 7-8 หมื่นล้านบาท เหตุเพราะ"เงินต้น"ที่อยู่ในความรับผิดชอบของแบงก์ชาตินั้นไม่ลดลงเลย หากยังเป็นเช่นนี้งบประมาณที่ตั้งไว้ ต้องจ่ายดอกเบี้ยเสียหมด กลับกันหากคลังไม่มีภาระตรงนี้ ก็เท่ากับว่ารัฐบาลมีเงินให้ใช้อีก 7-8 หมื่นล้านบาทต่อปี
ย้ำหลักหมื่นล้านบาทน๊ะครับ!
ถามแบงก์ชาติ..ก็ตอบว่าอยากจ่าย แต่ที่ผ่านมา"บัญชี"ที่ต้องนำมาชำระเงินต้นนั้นขาดทุนตลอด จึงไม่สามารถจ่ายให้ได้ตามกฎหมาย..แต่หากจะทำก็ต้องแก้กฎหมาย หรือไม่ก็เทคนิคพิเศษ ในรูปพันธบัตร เช่นคลังออก แบงก์ชาติซื้อเป็นต้น ซึ่งส่วนนี้แหละที่ค้างมาตั้งแต่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ก็เคยปะทะความคิดกับ"กรณ์ จาติกวณิช" อดีตรัฐมนตรีคลังมาหลายรอบแล้ว และต้องถอดใจไปในที่สุด
ประเด็นนี้..ฟันธงได้เลยเช่นกันว่าหาข้อสรุปได้"ยาก"
การบ้านข้อที่สาม
เปลี่ยนการกำกับดูแล ตั๋วสัญญาใช่เงินระยะสั้น (ตั๋วบีอี) ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ จากปัจจุบัน แบงก์ชาติดูแลอยู่ รมว.คลัง"ต้องการให้โอนการกำกับดูแลตั๋วบีอีไปไว้ที่ ก.ล.ต."
ประเด็นนี้คนทั่วไปอาจจะงงๆ ว่าทำไม่ถึงถูกจัดอยู่ในเรื่องร้อน...แน่นอนรมว.คลัง อาจจะมีข้อมูลเชิงลึกถึงความเสี่ยง ที่เริ่มเห็นสัญญาณ แต่ก็มีคำถามต่อไปว่า การเปลี่ยนผู้กำกับดูแล..ช่วยลดความเสี่ยงที่วิตกกันอย่างนั้นหรือ
อาจจะสะท้อนผ่านการให้สัมภาษณ์ของ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่ไม่ได้มองความเสี่ยงที่หน่วยงานกำกับ
"ความเสี่ยงในเรื่องการออกตั๋วบี/อี ของธนาคารพาณิชย์นั้น จะอยู่ที่การออกตั๋วบี/อี ที่มีอายุที่ใกล้ๆกัน ซึ่งอาจจะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องเมื่อเวลาตั๋วครบกำหนด เทียบกับเงินฝากที่จะมีอายุกระจายกันออกไป"
แต่ในมุมของ รมว.คลัง..การที่แบงก์ชาติกำกับดูแลมองเป็นความเสี่ยง ที่จะย้อนมาสู่ภาครัฐ
"การที่ธนาคารพาณิชย์ออกบี/อีจำนวนมาก และที่ผ่านมาขยายตัวสูง เลยกังวลว่า จะมีการออกบี/อีมากจนกลายเป็นภาระกลับมาให้แก่แบงก์ชาติและคลังอีกครั้งหนึ่ง และกังวลจะเหมือนกันกับกรณีของประเทศกรีซ จึงอยากให้การอนุมัติออกบี/อี ซึ่งเดิมภายใต้แบงก์ชาติให้มาอยู่ ก.ล.ต."
ประเด็นนี้..บทสรุปไม่น่าจะยากนัก
การบ้านข้อที่สี่
การทบทวนกรอบอัตราเงินเฟ้อ จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.5-3.0% ..จริงอยู่ กฎหมายใหม่แบงก์ชาติให้สองหน่วยงานคลัง-แบงก์ชาติ หารือร่วมกันในเดือนธ.ค.ของทุกปี เพื่อเป็นการ"ถ่วงดุล"ในเชิงนโยบาย ซึ่งฟังดูไม่น่าจะมีปัญหา
แต่สำหรับธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กับ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล...มิใช่เช่นนั้น
เป้าหมายเงินเฟ้อ...ไม่ยากนัก แต่ความยากอยู่ที่กรอบคิด ก่อนที่จะนำมาสู่การคำนวณตัวเลขว่า"เป้าหมายควรอยู่ที่เท่าไหร"
มุมของ ธีระชัย เริ่มจากตั้งเป้าหมายที่จีดีพีก่อนว่า "จะโตเท่าไหร เงินเฟ้อจะอยู่ระดับไหน"และถึงค่อยกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งกรอบคิดนี้ตรงกับที่ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง"รมว.พาณิชย์สะท้อนออกมา ว่า"เงินเฟ้อไม่น่าห่วง หากประชาชนมีรายได้สูงขึ้น"
พูดง่ายๆคือเน้นการเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยรัฐบาลนี้เชื่อว่าหากทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ จะช่วยให้จีดีพีโตเพิ่มขึ้นอีก 2.5% เป็นอย่างน้อย ส่วนเงินเฟ้อแม้สูงก็ไม่น่าห่วง แนวคิดนี้จึงนิยมชมชอบดอกเบี้ยต่ำ เพื่อหนุนให้เศรษฐกิจเติบโต!
มุมของ ดร.ประสาร "ตรงกันข้าม"...เน้นเสถียรภาพด้านราคาเป็น"ตัวตั้ง"...สิ่งที่เขาสะท้อนออกมา จึงเป็นห่วงเรื่องเงินเฟ้อ และเดินหน้าดอกเบี้ยสูง..ขณะเดียวกันก็ออกมาเตือนกระทรวงการคลัง ด้วยว่าไม่ควรเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเก็บ"กระสุน"ไว้ใช้ยามจำเป็น
ประเด็นนี้...น่าจะตกลงกันยากเช่นกัน
30 วันนับจากนี้...ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล จะส่งการบ้านอย่างไร ก็ยากที่จะถูกใจ รมว.คลัง แต่การจะปลดออกคงไม่ง่ายเช่นอดีต...นอกเสียจากผู้ว่าแบงก์ชาติจะถอดใจเสียเอง หรือใช้พลังจากสังคมรอบข้าง เช่นที่กำลังดึงเอกชนเข้ามาร่วมกดดัน
ไม่นานคงได้ข้อเท็จจริงว่า เวลา 30 วันนั้นคำตอบอยู่ตรงไหน?
Tags : ศึกแบงก์ชาติ คลัง
ข่าวมันยาวมาก แต่อ่านแล้วไม่อยากย่อยประเด็น กลัวตกหล่น