เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby bird » Thu Sep 22, 2011 9:31 am

พระราชกำหนด
แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖


ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่ ๒๘ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า

โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มี
ปริมาณลดน้อยลง ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย และ
จะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น เพื่อรักษาไว้
ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไข
และป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์ ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจ
ในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้โดยฉับพลันไม่จำต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ
แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช
๒๕๑๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า “พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖”

มาตรา ๒ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรี
มีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(๑) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอก
ราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
(๒) การผลิตหรือการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น

(๓) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น หรือการดำเนินกิจการที่ต้องใช้
น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น
(ก) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขการดำเนินกิจการโรงงาน
(ข) กำหนดวันเวลาในการเปิดและปิดและเงื่อนไขในการดำเนินกิจการของโรงมหรสพ
โรงภาพยนตร์ สถานบริการ ภัตตาคาร หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ
(ค) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะที่ใช้ใน
กิจการสาธารณะหรือยานพาหนะส่วนบุคคล
(ง) การใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร ในการโฆษณาและในสถานที่อื่นๆ

(๔) การปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด

ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด
หรือคณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นปฏิบัติการแทนได้ โดยจะกำหนดเงื่อนไข
อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ คำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งได้สั่ง
การตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลทั่วไป และคำสั่งมอบหมายของนายกรัฐมนตรี
ตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๔ เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๓ แล้ว ให้แจ้งให้
คณะรัฐมนตรีทราบ และเมื่อได้มีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชกำหนดนี้
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ

มาตรา ๕ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้ง
พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้

มาตรา ๖ ให้บุคคลและกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๓
วรรคสอง และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๕ เป็นเจ้าพนักงานตาม
ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๗ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ให้บุคคลตามมาตรา ๖ มีอำนาจเข้าไปใน
สถานที่ใด ๆ หรือสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารใด ๆ ได้

มาตรา ๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบ
หมายจากนายกรัฐมนตรีซึ่งสั่งตามมาตรา ๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๙ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่สั่งตามมาตรา ๗ หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความ
สะดวกแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี หรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ในการ
ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน
ห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๐ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๑ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง ซึ่งจะมีผลให้
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและ
ความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้
ทันต่อเหตุการณ์ ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ได้โดยฉับพลัน ไม่จำต้องให้กระทรวงทบวง กรมต่างๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะ
การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗


มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป

หมายเหตุ :-

เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและ
ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดระยะเวลาให้ใช้
บังคับได้เพียงหนึ่งปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๗ แต่ภาวะการขาด
แคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับ
พระราชกำหนดดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น

พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘

มาตรา ๒ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นไป

หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและ
ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดเวลาใช้บังคับได้
เพียงสองปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมัน
เชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีก
หนึ่งปี แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมของรัฐสภา และเรื่องนี้เป็นกรณี
ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙


มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป

หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กำหนดเวลาการใช้บังคับ
พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายโดยพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ จะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๙ แต่
เนื่องจากขณะนี้ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในราชอาณาจักรยังคงมีอยู่ สมควร
ขยายเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่ง จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้ขึ้น

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๐


มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นไป

หมายเหตุ :-

เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชกำหนด แก้ไขและ
ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ กำหนดเวลาการใช้บังคับไว้
เพียงหนึ่งปี ซึ่งต่อมาได้มีการขยายเวลาการใช้บังคับรวม ๓ ครั้ง ๆ ละหนึ่งปี บัดนี้กำหนด
เวลาการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ แต่
โดยที่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีอยู่และมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายนี้
ต่อไปอีกโดยไม่อาจกำหนดระยะเวลาไว้ได้ ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้บังคับกฎหมายนี้
ได้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่นเดียวกับกฎหมายอื่นทั่ว ๆ ไป สมควรยกเลิกมาตรา ๑๐
แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby bird » Thu Sep 22, 2011 9:36 am

ระเบียบกระทรวงพลังงาน

ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2546
http://www.efai.or.th/royal/en_2546.pdf

ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2547
http://www.efai.or.th/royal/en_2547.pdf

ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2549
http://www.efai.or.th/royal/en_2549.pdf

ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2553
http://www.efai.or.th/royal/en(2)_2553.pdf
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby bird » Thu Sep 22, 2011 9:43 am

ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาแวะเวียนมาค่ะ
ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจ ทุก ๆ ความคิดเห็นค่ะ

สำหรับลิงค์ที่หายไป ไม่สามารถโหลดภาพ หรือข้อมูลได้ ไม่ต้องกังวลค่ะ
ต้นฉบับยังจัดเก็บไว้อย่างดี เมื่อถึงเวลาที่จะจัดทำเป็นรูปแบบ .pdf หรือ
ในรูปแบบของ e-book ชุดที่ 2 ข้อมูลและรูปภาพประกอบครบถ้วนค่ะ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby Duke_th1 » Thu Sep 22, 2011 11:05 am

มาคั่นไว้ว่า อ่านถึงตรงนี้

ข้อมูลคุณเบิร์ด
เป็นประโยชน์มากมายในการรับรู้ข้อมูลหลายๆ ด้าน
ขออนุญาตเอาข้อมูลล่าสุดไปแชร์ให้กลุ่มเพื่อนใน FB

ขอบคุณมากนะคะ ยังคงติดตามตลอดค่ะ ;)
User avatar
Duke_th1
 
Posts: 78
Joined: Wed May 19, 2010 11:49 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby bird » Thu Sep 22, 2011 1:39 pm

นโยบายประชานิยม กระชากราคาน้ำมัน

เผยลดเก็บกองทุนน้ำมันดันยอดชดเชยพุ่ง3.8พันล้าน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 9 กันยายน 2554 07:31

นายวีระพล จิระประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) กล่าวว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ประกอบการราว 3.8 พันล้านบาท หลังรัฐบาลประกาศลดการเรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯ

ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) มีมติให้ลดการเรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ลงลิตรละ 8.02 บาท เบนซิน 91 ลงลิตรละ 7.17 บาท และดีเซลลงลิตรละ 3 บาท เมือวันที่ 26 ส.ค.54 และต่อมาวันที่ 30 ส.ค.54 มีมติให้ลดการเรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ลงลิตรละ 1 บาท

ทั้งนี้จากการตรวจสต็อกน้ำมันคงเหลือเมื่อวันที่ 27 ส.ค.54 แล้วพบว่าต้องชดเชยให้กับผู้ประกอบการน้ำมัน ประมาณ 3,800 ล้านบาท แบ่งเป็น การชดเชยให้กับผู้ค้ามาตรา 7 ประมาณ 3,050 ล้านบาท ผู้ค้าส่งหรือ จ็อบเปอร์ประมาณ 22 ล้านบาท สถานีบริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 700 แห่ง ประมาณ 46 ล้านบาท และในต่างจังหวัดทั่วประเทศกว่า 15,000 แห่ง วงเงินประมาณ 700 ล้านบาท

วงเงินชดเชยสูงกว่าที่คาดไว้ว่า 3,000 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณสต็อกของผู้ค้ามาตรา 7 เพิ่มสูงขึ้น เพราะเป็นการสต็อกไว้รองรับกรณีที่โรงกลั่นในประเทศ 2 แห่งหยุดซ่อมบำรุงประจำปี(ชัทดาวน์) เพื่อเตรียมพร้อมในการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยุโรป(ยูโร 4) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2555 โดยโรงกลั่นที่ชัทดาวน์ ได้แก่ โรงกลั่นน้ำมันเอสพีอาร์ซี ในวันที่ 1-25 ก.ย.2554 และโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ หยุดซ่อมบำรุงวันที่ 16 ก.ย.-6 พ.ย. 2554

ยอดเงินสดกองทุนเหลือสุทธิ1.7หมื่นล้าน
ส่วนยอดจำหน่ายน้ำมันหลังจากชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ พบว่ายอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 20-30% แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 10% ขณะที่ยอดขายเบนซิน 91 เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากส่วนต่างราคาลดลงจากในอดีต โดยภาพรวมแล้วยอดขายแก๊สโซฮอล์จะลดลงประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน หรือเหลือประมาณ 11 ล้านลิตรต่อวัน

สำหรับสถานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ขณะนี้มีเงินสดสุทธิ 17,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้เวลาในการทยอยจ่ายประมาณ 3-4 เดือน หลังจากตรวจสอบบัญชีของผู้ค้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างภาระให้กับกองทุนน้ำมันฯเพิ่มขึ้น ส่วนจะต้องกู้เงินมาชดเชยเท่าไรนั้น ทางสำนักงานบริหารกองทุนพลังงาน(มหาชน) จะพิจารณา


สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เล็งกู้ 2 หมื่นล้านอุ้มน้ำมัน เผยกองทุนติดลบ

พลังงานเล็งกู้ 2 หมื่นล้าน อุ้มน้ำมัน เผยฐานะกองทุนติดลบสิ้นปีไม่มีจ่ายหนี้

พลังงาน แย้ม กองทุนน้ำมันฯ เล็งกู้เงิน 20,000 ล้านบาทเตรียมอุดหนุนราคาน้ำมัน หลังฐานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดเหลือ 616ล้านบาท หักลบรายจ่ายแล้วอยู่ได้ไม่เกิน 6 วัน แถมรัฐบาลยังมีแนวโน้มจะตรึงราคาพลังงานต่อตามภาษีสรรพสามิตดีเซล

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งมีนายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน อยู่ระหว่างการวางแผนกู้เงินวงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่อนุมัติไว้ เพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับเพิ่มสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หลังมีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ต่อไปอีก เนื่องจากล่าสุดรัฐบาลได้ยืดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลไปถึงสิ้นปี 2554 รวมทั้งบัตรเครดิตพลังงานที่จะออกมาเพื่อช่วยอุดหนุนราคาพลังงานยังไม่เสร็จ

"สบพ.ต้องเร่งวางแผนกู้เงินก่อนเดือน ธ.ค.นี้ เพราะฐานะกองทุนน้ำมันฯตอนนี้แทบไม่มีเงินไหลเข้าเลย ซึ่งพอถึงเดือน ธ.ค.ที่ครบกำหนดจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ก็จะทำให้กองทุนน้ำมันอยู่ในฐานะติดลบ ทันที ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมก๊อก 2 รองรับไว้ก่อน" แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2554 มีเงินสดในบัญชีอยู่ 16,778 ล้านบาท แต่มีภาระหนี้ต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่จำนวน 16,162 ล้านบาท เมื่อหักลบกันแล้วจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินสุทธิอยู่ที่ 616 ล้านบาท แต่ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบวันละ 110 ล้านบาท หรือเดือนละ 3,303 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าเงินสุทธิที่เหลืออยู่จะสามารถใช้ได้อีกเพียงแค่ 6 วันเท่านั้น

แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากที่ สบพ.กู้เงินจำนวน 20,000 ล้านบาท แล้ว รัฐบาลยังไม่มีการปรับขึ้นโครงสร้างราคาพลังงาน วงเงินที่กู้มานั้นจะใช้ได้ไม่เกิน 6-7 เดือนก็ต้องหมดเช่นกัน เพราะปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีรายได้จากการเก็บเงินแก๊สโซฮอล์ 95 เข้ากองทุนน้ำมันฯ เพียงวันละ 9.32 ล้านบาท และรายได้จากการเก็บก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมวันละ 15.30 ล้านบาท โดยในส่วนของก๊าซแอลพีจี ภาคอุตสาหกรรม ไตรมาสที่ 2 อีก 3 บาทต่อกิโลกรัม ก็ไม่ได้ทำให้รายได้กองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นมาก เพราะผู้ประกอบการเปลี่ยนไปใช้ก๊าซแอลพีจีถังขนาด 48 กิโลกรัมแทน เนื่องจากได้รับการยกเว้นให้ใช้ในราคาครัวเรือนได้

"รัฐบาลควรเร่งให้มีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ ทั้งเอ็นจีวี แอลพีจีและราคาน้ำมันโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นภาระของกองทุนน้ำมันฯ รวมทั้งต้องดูสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นด้วย เพราะรัฐบาลชุดนี้เน้นที่การกระตุ้นเศรษฐกิจให้โต จึงตัดสินใจยืดภาษีสรรพสามิตดีเซลออกไปอีก เพื่อรอให้เศรษฐกิจมีการเคลื่อนไหวก่อน แต่ก็หวังว่าราคาน้ำมันช่วงปลายปีจะไม่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาอุดหนุนอีก" แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตาม เห็นว่าหากจะมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ก็ควรจะถอดภาระออกให้หมดทั้งภาษีสรรพสามิตน้ำมัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน แต่เชื่อว่าคงทำได้ยาก โดยเฉพาะการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่กระทรวงการคลังคงไม่ยอมง่ายๆ เพราะเป็นรายได้หลักของประเทศ

สำหรับสถานะราคาน้ำมัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.ย.54 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดที่ 89.40 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 2.94 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 115.34 ดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 2.65 ดอลลาร์สหรัฐ มาปิดที่ 112.30 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการที่ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจที่จะจับมือกับธนาคารกลาง สหรัฐฯ ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น และ ธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ ในการปล่อยเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.ถึงธ.ค. ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในยุโรป เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินงานตลอดช่วงปลายปี และลดแรงกดดันให้กับตลาดเงินภายใต้ภาวะปัญหาหนี้ยุโรปที่รุมเร้าอยู่ในขณะ นี้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก (ไทยโพสต์)


คลิปข่าว เตรียมกู้เงินอุ้มกองทุนน้ำมัน

http://www.posttoday.com/vdo/%E0%B8%84% ... 1%E0%B8%99


ผลการดำเนินงาน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553

http://www.tempf.com/getfile.php?id=105 ... ac066ce384

ภายหลังการประกาศงดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ของ
ทีมบริหาร จะส่งผลกระทบต่อรายรับที่ควรจะเป็นมากน้อยเพียงใด คงต้องรอดู
ผลการดำเนินงานของกองทุน ที่จะสรุปยอดทุกวันที่ 30 กันยายนของทุก ๆ ปี
ละไว้ด้วยความห่วงใยต่ออนาคตของประเทศ
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby toomtaam » Thu Sep 22, 2011 3:36 pm

ขอบคุณอีกซักครั้งครับ อ่านกี่ที่ๆ ก็ยังคงเอ่ยคำว่าขอบคุณออกมาทุกครั้งไป ติดตามเป็นแฟนอยู่เสมอครับ
User avatar
toomtaam
 
Posts: 287
Joined: Tue Jan 26, 2010 7:16 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby bird » Mon Sep 26, 2011 3:57 pm

ว่าด้วย ลัทธิ การเมือง การปกครอง

การเมือง การปกครอง เป็นคำที่มักจะใช้ควบคู่กันเสมอ นั่นเพราะ การเมือง เป็นงาน
ที่เกี่ยวกับรัฐ การบริหารประเทศ การเอื้ออำนวยหรือควบคุมการบริหารงานราชการ
แผ่นดิน ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการปกครองประเทศเป็นสำคัญ

ความหมายของ “ การเมือง “

อริสโตเติล : การเมืองจะต้องมีลักษณะสำคัญบางประการ อาทิเช่น การเมืองย่อม
เกี่ยวกันกับอำนาจและอำนาจทางการเมืองจะต้องแตกต่างจากอำนาจอื่น คือ องค์
การทางการเมืองจะต้องมีอำนาจปกครองเป็นอธิปัตย์ คุณลักษณะของการเมือง
ประกอบด้วย ปัจจัยที่เด่นชัด สองประการ คือ อำนาจ และการปกครอง

โทมัส ฮอบส์ : การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของมนุษย์การเมือง คือ
การต่อสู่เพื่อเถลิงอำนาจ

มอร์เกนเธอ : การเมืองเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อการมีอำนาจ อันเป็นความต้องการ
ของมนุษย์ ที่ต้องการมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด

จึงอาจจะพออนุมานได้ว่า การเมือง คือ การแข่งขันของบุคคล หรือ กลุ่มบุคคลเพื่อให้
ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองรัฐ มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบาย การจัดการ ผลประ
โยชน์ของชาติ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมการเมืองเป็นเรื่อง
เกี่ยวพันกับอำนาจและการปกครอง การดูแลจัดการให้มนุษย์อยู่กันอย่างเป็นระเบียบ
และเป็นธรรม การเมืองจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะของการปกครอง

รัฐและองค์ประกอบของรัฐ

นักปราชญ์ชาวโรมัน - ซิเซโร : รัฐ คือกลุ่มคนจำนวนมากที่รวมกันอยู่โดยมีความรู้สึก
รับผิดชอบร่วมกัน”

นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน - แมกซ์ เวเบอร์ : รัฐ คือ องค์การที่มีอำนาจผูกขาดใน
การใช้กำลังหรือใช้ความรุนแรงทั้งหลาย”

ฮาโรลด์ ลาส เวลล์ : รัฐ คือกลุ่มคนที่รวมกันเป็นระเบียบและอาศัยอยู่ในอาณา
เขตร่วมกันมีอำนาจสูงสุดในอาณาเขตนั้น”

คงพอจะสรุปได้ว่า รัฐ คือ ชุมชนทางการเมืองที่มีบุคคลอาศัยอยู่อย่างถาวร ในดินแดน
ที่มีอาณาเขตแน่นอน ภายใต้รัฐบาลเดียวกัน มีอำนาจสูงสุดในการปกครองอย่างเป็นอิสระ
ปราศจากการควบคุมจากภายนอก

นับจากสมัยกรีกโบราณ จนถึงปัจจุบัน รูปแบบการเมืองการปกครองปรับเปลี่ยนไปตาม
ยุคสมัยและวัฒนธรรมการดำเนินชิวิตของพลเมืองในยุคนั้น ๆ และมีรูปแบบการเมือง
การปกครองที่แตกต่างกันออกไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งพอจะแบ่งวิวัฒนาการการเมือง
การปกครองได้เป็น 2 ยุค คือ การปกครองยุคก่อนรัฐชาติ และ การปกครองยุครัฐชาติ

1. การเมืองการปกครองยุคก่อนรัฐชาติ แบ่งออกได้ดังนี้

1.1) การปกครองแบบเผ่าชนหรือกลุ่มชน
มีรูปแบบการปกครองที่วิวัฒนาการมาจากประเพณีประจำเผ่า มีลักษณะเป็นสังคมขนาด
ย่อม ที่ประกอบด้วย ครอบครัวซึ่งถือเป็นหน่วยของสังคมที่เล็กที่สุด มารวมกันหลาย ๆ
ครอบครัวในระบบเครือญาติ มีประเพณีประจำเผ่า จนกลายเป็นรูปแบบการปกครอง

1.2) การปกครองแบบ นครรัฐ, แคว้น หรือ อาณาจักร
ในยุคหินใหม่ มนุษย์เริ่มมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีการรวมตัวเป็นกลุ่มเริ่มมีการติดต่อกัน
ระหว่างเผ่า และพัฒนามาเป็นนครัฐ, แคว้น และ อาณาจักร มีกษัตริย์ปกครองราชวงศ์
ต่าง ๆ เช่น นครรัฐของกรีก และ อาณาจักรโรมัน เป็นต้น

สังคมยุคกรีกโบราณเป็นตัวอย่างของรูปแบบการปกครองที่สำคัญของโลก

กรีกประกอบด้วย นครรัฐมากมายแต่ที่สำคัญได้แก่ นครรัฐเอเธนส์และนครรัฐสปาร์ตา
นครรัฐเอเธนส์มีรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยทางตรง ซึ่งถือว่าเป็น
แบบฉบับ หรือ ต้นกำเนิดของรูปแบบการปกครองที่เจริญที่สุดในสมัยนั้น ประชาชนมี
สิทธิเสรีภาพในขอบเขตที่กว้างขวางจนกลายเป็นพื้นฐาน การปกครองระบอบประชา-
ธิปไตยในปัจจุบัน ส่วนนครรัฐสปาร์ตาเป็นตัวอย่างทางรูปแบบการปกครองแบบเผด็จ
การแบบทหาร

1.3) การปกครองแบบจักรวรรดิ
เป็นรูปแบบการปกครองที่รวมเอานครรัฐ, แคว้นต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นสังคมขนาดใหญ่
เช่น จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิจีน จักรวรรดิอินเดีย เป็นต้น การปกครองในรูปแบบ
จักรวรรดินั้นเป็นการปกครองดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล มีชาวต่างชาติหลายเผ่าพันธุ์
แต่อำนาจปกครองถูกรวมอยู่ที่จักรพรรดิเพียงผู้เพียงผุ้เดียว ถือเป็นจุดที่ทำให้ต่อมา
จักรวรรดิก็เริ่มอ่อนแอ พวกอนารยชนเข้ารุกรานจักรวรรดิโรมัน การปกครองในรูปแบบ
ใหม่จึงเกิดขึ้น

1.4) การปกครองในระบอบศักดินาสวามิภักดิ์
กำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 9 ภายหลังการล่มสลายของระบบจักรวรรด์ เป็นระบอบการปก
ครองที่เน้นเรื่องที่ดินและกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และความผูกพันระหว่างเจ้าของที่ดินและ
ผู้ทำกินในที่ดิน

การปกครองระบอบศักดินาพัฒนามาจนถึงกลางศตวรรษที่ 15 หลังการสิ้นสุดสงคราม
ครูเสด

2.) การเมืองการปกครองในยุครัฐชาติ

หมายถึง รัฐที่มีการปกครองเป็นปึกแผ่นมีอาณาเขตที่แน่นอน ประชาชนมีเชื้อชาติ
ภาษาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบเดียวกัน ปัจจัยที่สำคัญในการก่อให้
เกิดรัฐบาลคือความรู้สึกชาตินิยม ทำให้ประชาชนเกิดความภูมิใจ และมีความจงรัก
ภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ของตนเอง


องค์ประกอบของรัฐ ประกอบด้วย ประชากร ดินแดน รัฐบาลและอำนาจอธิปไตยถ้าขาด
อย่างใดอย่างหนึ่งไปจะทำให้ขาดสภาพของความเป็นรัฐที่สมบูรณ์

ประชากร
หมายถึง พลเมืองของรัฐทุกรัฐจะต้องมีประชากรอาศัยอยู่แต่ไม่มีข้อกำหนดแน่นอนว่า
รัฐจะต้องมีประชากรจำนวนเท่าใด ในปัจจุบันถือกันว่ารัฐควรมีประชากรจำนวนมากพอ
สมควรที่จะทำให้รัฐดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งตนเอง ดังนั้นแต่ละรัฐจึงมีประชากรมากหรือ
น้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะการตั้งถิ่นฐานภูมิอากาศและเผ่าพันธุ์ เช่น รัฐวติกันมี
ประชากรประมาณ 1,000 คน สาธารณรัฐประชาชนจีนมีประชากรประมาณ 1,200 ล้าน
คน

ดินแดน
หมายถึง อาณาเขตของรัฐที่ประกอบด้วยพื้นดิน พื้นน้ำและท้องฟ้าที่อยู่เหนือเขตพื้นดิน
และพื้นน้ำ รวมทั้งทะเลอันเป็นเขตเศรษฐกิจด้วย รัฐทุกรัฐจะต้องมีดินแดนเป็นของตนเอง
แต่ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีดินแดนเท่าใด อันจะเห็นได้ว่าบางรัฐที่ดินแดนน้อยมาก เช่น
โมนาโก มีดินแดนเพียง 8 ตารางไมล์ ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีดินแดนกว้าง
ใหญ่ถึง 9.596.961 ตารางกิโลเมตร

ความกว้างใหญ่ของดินแดนมิใช่เครื่องชี้บอกที่แน่นอนถึงความเป็นมหาอำนาจ เสมอไป

รัฐบาล
หมายถึง คณะบุคคลที่ใช้อำนาจในการบริหาร ปกครองประเทศมีหน้าที่จัดระเบียบ
ภายในรัฐ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ประเทศต่าง ๆ จะต้อง
มีรัฐบาลปกครองประเทศ ถ้าปราศจากรัฐและปราศจากประเทศแล้ว รัฐก็จะไม่มีตัวแทน
เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน การจะใช้อำนาจอธิปไตยในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับ
การตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน

อำนาจอธิปไตย
หมายถึง อำนาจสูงสุดของรัฐที่ใช้บังคับบัญชาภายในรัฐ ที่จะทำให้รัฐดำเนินกิจการต่างๆ
ได้อย่างเต็มที่ทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐอื่น

ไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของรัฐอื่นในรูปของอาณานิคม ดินแดนในอารักขาหรือดินแดนใน
อาณัติของรัฐอื่น


Image

กราบแทบเท้า ( ภาษาแรงไปนิดขออนุญาติแปะสิงค์ )

http://youtu.be/kbMJGCANcbo



ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตย นักรัฐศาสตร์มีความเห็นว่า อำนาจอธิปไตยจะต้องมี

- ลักษณะทางความเด็ดขาด เป็นอำนาจสูงสุดเหนืออำนาจใด ๆ ในรัฐ มีลักษณะเป็น
การทั่วไป คือ การใช้อำนาจอธิปไตยนั้นต้องครอบคลุมทั่วทั้งรัฐ ไม่ว่าจะเป็น บุคคล
ดินแดน องค์การ หรือกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายในอาณาเขตของรัฐนั้น ๆ ยกเว้นตัวแทน
ทางการทูต เท่านั้น

นั่นเกี่ยวกับกรณีเร่งรัดคืนพาสปอร์ตแดง หรือป่าวหนอ

Image

“ยิ่งลักษณ์”ลั่นไม่มีนโยบายคืนพาสปอร์ตแดง“ทักษิณ” ระบุเป็นเรื่องที่ ก.ต่างประเทศ
ต้องพิจารณา ด้าน "สุรพงษ์"ปัดสั่งคืนพาสปอร์ต ยอมรับไม่มีนโยบายห้ามเข้า
ประเทศญี่ปุ่น ย้ำ หากถูกยึดหนังสือเดินทางเพราะการเมือง ก็ต้องให้ความยุติธรรม
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/88605


- ลักษณะความถาวร หมายความว่า แม้จะปีการเปลี่ยนรัฐบาลแต่อำนาจอธิปไตยจะยัง
คงอยู่ การสิ้นสุดอำนาจอธิปไตย คือ การสิ้นสุดของรัฐ

รัฐหนึ่งจะมีอำนาจอธิปไตยเพียงหนึ่งเท่านั้น

หากอำนาจอธิปไตยมีการแบ่งแยกก็จะทำให้รัฐนั้นล่มสลาย หรือ เกิดรัฐใหม่ขึ้นมา เช่น
เกาหลีเหนือเกาหลีไต้ เป็นต้น

ตัวอย่างหนังสือที่พิมพ์ออกจำหน่าย ด้วยวัตถุประสงค์ มิอาจคาดเดา

Image
รัฐไทยตายไปแล้ว
จัดพิมพ์โดย นายนิรันดร์ แก่นยะกูล
บันทึกโดย อัคนี คคนัมพร

รัฐไทยตายไปแล้ว เป็นหนังสือที่รวมบทความคอลัมน์... เป็นประชารัฐ จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ จาก 2 ม.ค. - 30 ก.ค. 2551 เช่น ...
ความไข้กำลังรอยา ประจำวันพุธที่ 2 ม.ค. 2551
รู้จักพรรคการเมืองการดีแล้วหรือ ประจำวันพุธที่ 9 ม.ค. 2551
ยิ้มหวาน ๆ บนเขายายเที่ยง ประจำวันพุธที่ 23 ม.ค. 2551
คตส. + หวยบนดิน + คมช. ประจำวันอังคารที่ 11 มี.ค. 2551
มวยถูกคู่ ประจำวันพุธที่ 2 เม.ย. 2551



ปล. ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ขออนุญาติไปปฏิบัติภาระกิจสักครู่
Last edited by bird on Mon Sep 26, 2011 11:14 pm, edited 2 times in total.
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby bird » Mon Sep 26, 2011 8:02 pm

ว่าด้วย รูปแบบการเมืองการปกครอง

หัวข้อที่ผ่านมาผู้นำเสนอได้สรุปถึงรูปแบบลักษณะการเมืองการปกครองในสังคม
โลกโดยรวม ซึ่งได้สรุปเนื้อหาพอสังเขป ในส่วนของความหมาย “การเมือง” พร้อม
นำเสนอ การเมืองการปกครองก่อนรัฐชาติ และ หลังรัฐชาติ รวมไปถึง องค์ประกอบ
ของรัฐ และ ลักษณะที่สำคัญของอำนาจอธิปไตย สำหรับเป็นพื้นฐานในเนื้อหาที่จะ
นำเสนอต่อไป

ในอดีต การวิเคราะห์ว่าบ้านเมืองใด มีการปกครองรูปแบบใด สามารถพิจารณาได้
จากลักษณะของผู้รับผลประโยชน์ ดังนี้

- การปกครองนั้น เพื่อประโยชน์ร่วมกันของส่วนรวม
- การปกครองนั้น เพื่อประโยชน์ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็น คนเดียว กลุ่มคน


อริสโตเติ้ล หรือ แอริสตอเติล นักปรัชญากรีกโบราณ ลูกศิษย์ของเพลโต และเป็น
อาจารย์ของ อเล็กซานเดอร์มหาราช อีกทั้งซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักปรัชญา
ที่มีอิทธิพลสูงที่สุดท่านหนึ่งในโลกตะวันตก ด้วยผลงานการเขียนเกี่ยวกับ กวีนิพนธ์
ฟิสิกส์ สัตววิทยา การเมือง การปกครอง จริยศาสตร์ และ ชีววิทยา ได้แบ่งรูปแบบการ
ปกครองตามลักษณะของผู้รับผลประโยชน์ ไว้ ๖ แบบ สรุปพอสังเขป

1. รูปแบบ ราชาธิปไตย เป็นการปกครองโดยมีผู้ปกครองคนเดียว เพื่อประโยชน์ของ
ส่วนรวม
2. รูปแบบ ทรราช เป็นการปกครองโดยผู้ปกครองคนเดียว และ หวังผลเพื่อประโยชน์
ของตนเอง เป็นหลัก
3. รูปแบบ อภิชนาธิปไตย มีผู้ปกครองเป็นคณะบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล เพื่อประโยชน์
ของส่วนรวม
4. รูปแบบ คณาธิปไตย ปกครองโดย คณะบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล เพื่อผลประโยชน์
ส่วนตน
5. รูปแบบ ระบอบรัฐธรรมนูญ ปกครองโดย ประชาชน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
6. รูปแบบ ประชาธิปไตย ปกครองโดย พรรคการเมือง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

สำหรับในปัจจุบัน รูปแบบการปกครอง แบ่งเป็นระบบใหญ่ๆ ได้ ๒ ระบบ (ตำราวิชาการ)

- ระบบการปกครอง แบบประชาธิปไตย
- ระบบการปกครอง แบบเผด็จการ

1.) ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย
หมายถึง ระบบการปกครองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการ
ปกครองอย่างแท้จริง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังคำกล่าวของ อัมราฮัม ลินคอล์น อดีต
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ความว่า

ประชาธิปไตย เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน

1.1) ประชาธิปไตยทางตรง พลเมืองร่วมกันลงประชามติ เพื่อกำหนดแนวทางและการ
ตัดสินใจในทางการเมืองการปกครอง เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ สิทธิ เสรีภาพของตนเอง
โดยตรง ซึ่งวิธีการนี้เหมาะสำหรับสังคมขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น

1.2) ประชาธิปไตยทางอ้อม พลเมืองคัดเลือกตัวแทน ด้วยการเลือกตั้ง เพื่อเข้าไปทำ
หน้าที่แทนตน โดยการใช้สิทธิออกเสียงในสภา เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ สิทธิ เสรีภาพ
ของประชาชนโดยรวม

ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น อำนาจการบริหารของรัฐ มาจากเสียงข้างมาก
ของพลเมือง ด้วยการใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เข้ามาปกครองประเทศ เพื่อประ
โยชน์ของประชาชนส่วนรวม โดยมีหน่วยการปกครองประกอบด้วย สภานิติบัญญัติ และ
คณะรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อครบวาระต้องจัดให้มีการ
เลือกตั้งใหม่ เพื่อผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศตามความต้องการของ
ประชาชน

ทั้งนี้ในอดีต คณะรัฐมนตรีต้องมาจากผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน แต่ในปัจจุบัน
คณะรัฐมนตรีอาจจะเป็นบุคคลภายนอกก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะบุคคลหรือพรรค
การเมืองที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง มีหน้าที่ในการจัดตั้งคณะบริหารประเทศ

ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ว่าเป็นรูปแบบการ
ปกครองที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลที่ว่า ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพมากกว่าการ
ปกครองในระบอบอื่น ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 15 กันยายน ของ
ทุกปีเป็น “ วันประชาธิปไตยสากล

รูปแบบการปกครองในระบบประชาธิปไตยนั้น สามารถแบ่งตามลักษณะเฉพาะ ได้ดังนี้

- การปกครองแบบรัฐสภา
ยึดหลักการที่ว่า รัฐบาลได้มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บริหารประเทศโดยการ
มอบหน้าที่ให้กับรัฐมนตรีซึ่งทำหน้าที่บริหาร รวมไปถึงรัฐสภาซึ่งมีหน้าที่ออกกฎหมาย
ตรวจสอบการทำงานและถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาลไว้ การปกครองรแบบรัฐสภาอาจมี
กษัตริย์ หรือประธานาธิบดี เป็นประมุขแห่งรัฐก็ได้ แต่ประมุขแห่งรัฐไม่มีอำนาจบริหาร

นอกจากนี้ การปกครองแบบรัฐสภา กำหนดให้รัฐสภามีฐานะ อำนาจ และ ความสำคัญ
เหนือกว่าคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ คณะรัฐมนตรีจะเข้าดำรงตำแหน่งได้ต้องได้รับความ
ไว้วางใจจากรัฐสภา และดำรงตำแหน่งได้เท่าที่สภายังให้ความไว้วางใจ เมื่อใดที่สภา
มีมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่ง รัฐสภามีอำนาจควบคุมการบริหาร
แผ่นดินของคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภา อีกทั้งคณะ
รัฐมนตรีต้องปฏิบัติการกฏหมายที่รัฐสภาบัญญัติขึ้นทุกกรณี

- การปกครองแบบประธานาธิบดี
ยึดหลักการ แยกอำนาจบริหาร, นิติบัญญัติ และ ตุลาการออกจากกันอย่างชัดเจน โดย
มีประธานาธิบดี ซึ่งได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง หรือ เลือกตั้งโดยสภาผู้แทนฯ
เป็นประมุขรัฐ อยู่ในตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนด มีอำนาจในการบริหารประเทศ
ในขณะที่ สภานิติบัญญัติ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วย
วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนิติบัญญัติ และการออก
กฎหมายต่าง ๆ

ทางทฤษฎี การแยกอำนาจบริหาร ออกจาก อำนาจนิติบัญญัติ และต่างได้รับเลือกตั้ง
โดยตรงจากประชาชน ทำให้อำนาจทั้ง 2 ฝ่ายคานอำนาจซึ่งกันและกัน

อำนาจตุลาการ มีหน้าที่ตีความตามรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ภายในประเทศ กำกับดูแล
การใช้อำนาจยุติธรรมให้เป็นไปภายใต้กฎหมาย ประกอบด้วยผู้พิพากษา ที่ได้รับการ
แต่งตั้งจากประธานาธิบดี โดยความยินยอมของวุฒิสภา

- การปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี กึ่งรัฐสภา
หลักสำคัญ คือ เป็นการปกครองที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ และเป็นประมุขของ
ฝ่ายบริหาร โดยให้อำนาจบริหารผ่านทางนายกรัฐมนตรีและคระรัฐมนตรีในรูปของคณะ
รัฐบาล ซึ่งนายกและคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ใน
การออกกฏหมายและควบคุมการบิรหารของคณะรัฐบาล เมื่อใดที่สภาลงมติไม่ไว้วางใจ

คณะรัฐบาลต้องลาออก แต่ประธานาธิบดีไม่จำเป็นต้องลาออก

เนื่องจากการปกครองรูปแบบนี้ ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด เหนือกว่าอำนาจของ
สภาผู้แทนราษฎร (ด้วยเหตุนี้ ใครบ้างคนใฝ่ฝันอย่างเป็น ปธน แห่งประเทศสารขัณฐ์)

2.) ระบบการปกครองแบบเผด็จการ
หมายถึง ระบบการปกครอง ที่อำนาจรัฐอยู่ภายใต้การบริหารของบุคคลคนเดียว หรือ
คณะบุคคลที่กุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ โดยให้ความสำคัญกับ อำนาจและผลโยชน์
ของผู้นำการปกครอง อาจจะเป็นบุคคลคนเดียวหรือกลุ่มบุคคล มากกว่า ผลประโยชน์
สิทธิ เสรีภาพของประชาชน

การปกครองแบบเผด็จการ จะมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ
เต็มที่ และครองอำนาจเป็นระยะเวลายาวนาน อีกทั้งยังมีการสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่น
ไม่ว่าจะเป็นจากพ่อสู่ลูก หรือบุคคลในครอบครัว รวมทั้งพวกพ้องที่ร่วมอุดมการณ์
รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ แบ่งออกเป็น

2.1) เผด็จการทหาร
เป็นการปกครองที่มีทหารดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของประเทศ และเป็นผู้ใช้อำนาจใน
การบริหารประเทศในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจบริหาร หรืออำนาจนิติบัญญัติ รวมทั้ง
การออกกฎหมายต่างๆ รวมทั้งการแต่งตั้งคณะรัฐบาลที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นนายทหาร
หรือผู้ใกล้ชิด ทั้งนี้อาจจะจัดตั้งสภาทหาร หรือ สภาปฎิวัติ ที่มีอำนาจสูงสุดในการปก
ครองประเทศ

2.2) เผด็จการประธานาธิบดี
ลักษณะสำคัญคือ มีประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจสูงสุด
และสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดชีวิต หรือ จนกว่าจะสละอำนาจให้แก่ทายาททาง
การเมืองที่ตนเป็นผู้เลือก

2.3) แบบสมบูรณาญาสิทธิราช
เป็นการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ หรือ เจ้าผู้ครองแคว้น เป็นประมุขของประเทศ มี
พระราชอำนาจเด็ดขาดในการปกครอง และกำหนดนโยบายของประเทศ รวมไปถึงแบบ
แผนการดำเนินชีวิตของพลเมือง

2.4) เผด็จการพรรคการเมือง
ลักษณะสำคัญ คือ เป็นการปกครองแบบมีพรรคการเมืองที่ยึดอุดมการณ์ค่อนไปทาง
สังคมนิยมฯ เป็นหลักในการปกครอง โดยมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่มีอำนาจ
สูงสุด

ดังกล่าวข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการปกครองที่มีปรากฏในสังคมทั่วไป แต่
ยังมีการเมืองการปกครองอีกหลายรูปแบบ หลายลัทธิ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและการ
ดำเนินชีวิตของพลเมืองประเทศนั้น ๆ

การนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพียงบอกเล่าความรู้ขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
กับรูปแบบ ลักษณะ และหลักการของระบบการปกครอง เพื่อใช้เป็นฐานในการวิเคราะห์
เหตุการณ์ สถานการณ์ และพฤติกรรม ที่ประเทศเรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน

ว่ามีความเหมือน สอดคล้อง หรือ แตกต่างกันอย่างไร ขออนุญาตละไว้เพียงเท่านี้
และขอสงวนสิทธ์ในการแสดงความคิดเห็นโดยส่วนตัว
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Re: เค้าลางแห่งความเลวร้าย...แม้ว ๒

Postby bird » Mon Sep 26, 2011 9:24 pm

ว่าด้วย ลัทธิการปกครอง

นั่งตรองอยู่หลายวันว่าควรหรือไม่ที่จะนำเสนอเนื้อหาในหัวข้อนี้ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เกี่ยว
ข้องกับระบอบการปกครองที่อยู่ในเชิงลบ ด้วยเกรงว่าหากนำเสนอด้วยเนื้อหาที่โจ่งแจ้ง
เกินไป อาจจะเกิดการถกเถียง ที่มีแนวโน้มว่าจะถลำลึกเกินกว่าจะควบคุมได้ หรือหาก
นำเสนอที่กำกวมจนเกินไป ก็คงเหมือนพายเรืออยู่ในอ่างน้ำ มองหาความหมายได้ยาก
อีกทั้งการล่วงละเมิดสิทธิพื้นฐานของบุคคลที่ ๓ เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังอย่างยิ่ง

วัตถุประสงค์ในการนำเสนอข้อมูล เพื่อบอกเล่าเกร็ดความรู้ ที่มีหลักฐานอ้างอิงเป็นลาย
ลักษณ์อักษร ในรูปแบบของวิทยานิพนธ์ บทความ หนังสือ และระบบข้อมูลอินเตอร์เน็ท
ข้อมูลอ้างอิงล้วนเกิดจากการบันทึกประวัติศาสตร์ และ พฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละยุค
รวมรวบ ประมวลผลโดยบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในระดับปริญญาเอก รวบรวมไว้
เป็นหลักการ ซึ่งผู้นำเสนอมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะกล่าวร้าย ปรักปรำบุคคล คณะบุคคล
กลุ่มบุคคล กลุ่มมวลชนหรือพรรคการเมืองใด หวังเพียงต้องการเทียบเคียงสถานการณ์
พฤติกรรมของกลุ่มบุคคลในปัจจุบันกับหลักการดังกล่าว

รูปแบบการเมืองการปกครอง นอกจากระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และระบบ
การปกครองแบบเผด็จการ ตามที่ได้นำเสนอแล้วนั้น ยังมีลักษณะการใช้อำนาจแบบอื่นๆ
อีกซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของ ลัทธิหรืออุดมการณ์

ลัทธิหรืออุดมการณ์ หมายถึง ความเชื่อถือหรือจุดมุ่งหมายในการปกครอง

ลัทธิสำคัญๆ ที่เป็นเป้าหมายหรืออุดมการณ์ในการปกครอง มีดังนี้

1. ลัทธิฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์
มักจะเป็นรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ โดยคณะบุคคลและมีลักษณะการใช้อำนาจ
แบบเบ็ดเสร็จ เป็นลัทธิที่เคยสร้างความปั่นป่วนขึ้นภายในประเทศ สร้างบาดแผลลึกไว้
เป็นประวัติศาสตร์ ก่อนจะล่มสลายไปในปี 2525 เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นโดยมีจัดตั้ง
กองกำลังติดอาวุธขึ้น เรียกตัวว่ากองทัพปลดเอกประชาชน ทำการต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล
(ผู้นำเสนอมิได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ เป็นเพียงข้อมูลที่ได้จากหนังสือการเมืองและการ
ปกครองที่เผยแพร่อยู่ทั่วไป ซึ่งมิอาจบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างละเอียด ขออนุญาติละไว้
เพียงเท่านี้และสงวนสิทธิ์แสดงความคิดเห็น)

2. ลัทธิสังคมนิยม
เป็นลัทธิทางเศรษฐกิจที่รัฐเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจหลักของประเทศ โดยรูปแบบการ
ปกครองจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็ได้

3. ลัทธิเสรีนิยม
จะมีรูปการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย และมีลักษณะการใช้อำนาจแบบอิสระนิยม

4. ลัทธิเทวสิทธิ์
เป็นลัทธิที่เป็นรากฐานการปกครองในอดีต ซึงความเชื่อในลัทธินี้เป็นผลให้ประชาชน
ยอมอยู่ภายใต้อำนาจเด็ดขาดของกษัติรย์ ยอมรับว่ากษัติรย์เป็นเสมือนสมมุติภาพ ได้
รับมอบอำนาจมาจากสวรรค์ ประชาชนไม่มีสิทธิต่อต้านหรือโต้แย้งต้องยอมรับความเป็น
“ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน” ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนขึ้นอยู่กับการกำหนดของผู้ปกครอง
เช่น ยุคอียิปโบราณ ที่ฟาโรห์จะมีสถานะเป็น สมมุติเทพ

5. ลัทธิชาตินิยม
เน้นในเรื่องความมั่นคง และ ความจงรักภักดีต่อชาติ โดยถือว่าชาติเป็นที่มาของทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรราทางด้านเศรษฐกิจ สังคมหรือวัฒนธรรม ลัทธิชาตินิยมจึง
มิได้เป็นเพียงรูปแบบทางการเมือง แต่เป็นอุดมคติในการดำเนินชิวิต ส่งผลให้รูปแบบ
การปกครองเป็นแบบเผด็จการและมีลักษณะใช้อำนาจเป็นแบบนิยมปิดกั้น เสรีภาพทาง
การเมือง

ข้างต้นเป็นรูปแบบของลัทธิการปกครองที่แฝงอยู่ในสังคมทั่วไป เพื่อรอคอยโอกาสที่
จะทำลายระบบการปกครองและสถาบันหลักของประเทศนั้นๆ แล้วสถาปนาลัทธิอุดม-
การณ์ของตนขึ้นมาในรูปของสาธาณรัฐ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สังคมและจิตวิญญาณ
ของพลเมืองในประเทศนั้น ๆ อาจจะล่มสลายไปด้วยเช่นกัน

สำหรับแนวคิดหลักของลัทธิและอุดมการณ์เชิงลบ ที่แฝงตัวอยู่ในบ้านเมืองเราในช่วงปี
2507 – 2520 ก่อนจะล่มสลายในเชิงรูปธรรมและนามธรรมในปี 2525 นั้น คือการอธิบายว่า
สังคมเราเป็นแบบ “กึ่งเมื่องขึ้น กึ่งศักดินา” ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

เป็นลักษณะที่ระบบศักดินามีอิ่ทธิพลครอบคลุมสังคม ทุนนิยมที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็น
ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้น อันเป็นผลมาจากการรุนรานของระบบจักรพรรดินิยม เป็นเหตุให้
ประเทศไม่อาจพัฒนาได้

ระบบจักรพรรดินิยม ศักดินานิยม และ ทุนนิยมขุนนาง จึงถือเป็นเป้าหมายที่ต้องโค่นล้ม

การปฏิวัติที่เกิดขึ้นจึงมีลักษณะ ให้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นแกนนำ ชนชั้นชาวนา และนาย
ทุนรายย่อยเป็นแนวร่วม โดยใช้ยุทธวิธี “ชนบทล้อมเมือง” เพื่อยึดเมือง ซึ่งเป็นแนว
ปฎิบัติเดียวกันกับ ประธานเหมา ที่ใช้ในช่วงปฎิวัติจีน ( คุ้น ๆ นะยุทธวิธีนี้ )

การเคลื่อนไหวของลัทธิเชิงลบ ส่วนใหญ่ได้สร้างความวุ่นวาย และทำลายความมั่นคง
ในหลายประเทศรุนแรงบ้าง เล็กน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าได้รับการสนับสนุน หรือต่อต้าน
จากพลเมืองมากน้อยเพียงใด นั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แนวคิดของลัทธิถูกปฏิเสธใน
หลายประเทศ บางประเทศมีการออกกฎหมายต่อต้านอย่างเป็นทางการ

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำเรียกต่าง ๆ ขึ้นมาทดแทนการเรียกขานชื่อลัทธิโดยตรง เพื่อ
หลีกเลี่ยงการต่อต้านจากสังคม เช่น สังคมประชาชนประชาธิปไตย, สังคมนิยม
ประชาธิปไตย เป็นต้น ประเทศที่ยังปกครองด้วยลัทธิเชิงลบ เช่น

สาธารณรัฐประชาชนจีน
Image

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
Image

สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
Image

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
Image

สาธารณรัฐคิวบา
Image

แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งสัญลักษณ์กลางที่ถือเป็นรูปแบบของลัทธิ เช่น ดาวแดง ค้อนกับเคียว
และ สี เป็นต้น ดังตัวอย่างธงชาติข้างต้น
Image

หากเทียบเคียงพฤติกรรมหลายๆ ครั้งที่สื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ
และอินเทอร์เน็ต ได้นำเสนอในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ระทึก“หมอตุลย์-แทนคุณ”หวิดโดนตื้บ
วันจันทร์ ที่ 19 กันยายน 2554 เวลา 14:00 น

ขณะเสวนา " รัฐประหารประเทศไทยได้อะไร " ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ปะทะคารมกับ
บก.ลายจุด โดนม็อบแดงโห่ไล่-ฮือล้อมหวิดเจอสกรัมจนต้องเผ่นหนี
http://www.dailynews.co.th/newstartpage ... tegoryID=8


วงเสวนา "รปห. 19 กันยา" วุ่น! หลังคนเสื้อแดงไม่พอใจการแสดงความเห็นของนศ.ม.รังสิต
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:00:00 น.

19 ก.ย.- ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.45 น. ซึ่งเป็นช่วงท้ายของการดำเนินงาน
เสวนาหัวข้อ "รัฐประหารเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างไร" ณ ห้องจี๊ด เศรษฐบุตร
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็ก
น้อยเมื่อผู้ร่วมฟังการเสวนาส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนเสื้อแดง ได้แสดงความไม่พอใจการ
แสดงความเห็นทางการเมืองของนักศึกษารายหนึ่งซึ่งระบุว่าตนเองเป็นนายกสโมสร
นักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต จนพิธีกรและผู้จัดงานต้องกันนักศึกษาคนดังกล่าวออก
จากห้องประชุม


หรือจาก คลิปข่าวที่เผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ต กรณีกดดันองค์กรอิสระ



"ธิดา" ชี้ "เสื้อแดง" บุกช่อง 7 เป็นเสรีภาพ
รักษาการประธาน นปช. ธิดา ถาวรเศรษฐ บอกว่า กรณีคนเสื้อแดงเพชรบุรี นัดรวมตัว
ไปวางหรีดช่อง 7 ให้ปลดผู้สื่อข่าวนั้่น หากแค่ชูป้ายเฉยๆ แล้วกลับบ้าน ก็ถือเป็นอิสระ
ที่สามารถทำได้ แต่อย่าไปแสดงความรุนแรง


Image

แกนสมัชชาปชช.นำเสื้อแดงบุกช่อง7
ขวันอังคารที่ 30 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2554 16:35 น.

"นพพร นามเชียงใต้" แกนสมัชชาประชาชนฯ นำเสื้อแดง รวมตัวหน้าสถานีช่อง 7 ยื่นหนังสือปลด น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่สื่อไม่เหมาะสม

Link : http://www.innnews.co.th/แกนสมัชชาปชช-นำเสื้อแดงบุกช่อง7--305272_05.html





เหตุการณ์เหล่านี้ ยากที่จะคาดเดาว่า กระทำไปด้วยจุดประสงค์ใด สอดคล้องหรือ
แตกต่างจากหลักวิชาการข้างต้นอย่างไร ละไว้ให้ทุกท่านได้วิเคราะห์ตามวิสัยทัศน์
User avatar
bird
 
Posts: 1426
Joined: Wed Apr 01, 2009 1:25 pm

Previous

Return to สภากาแฟ