แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๑๖
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เป็นปีที่ ๒๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มี
ปริมาณลดน้อยลง ซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย และ
จะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น เพื่อรักษาไว้
ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไข
และป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้ทันต่อเหตุการณ์ ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจ
ในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ได้โดยฉับพลันไม่จำต้องให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ
แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช
๒๕๑๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า “พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖”
มาตรา ๒ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรี
มีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
(๑) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอก
ราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
(๒) การผลิตหรือการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น
(๓) การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น หรือการดำเนินกิจการที่ต้องใช้
น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น เช่น
(ก) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขการดำเนินกิจการโรงงาน
(ข) กำหนดวันเวลาในการเปิดและปิดและเงื่อนไขในการดำเนินกิจการของโรงมหรสพ
โรงภาพยนตร์ สถานบริการ ภัตตาคาร หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ
(ค) กำหนดวันเวลาและเงื่อนไขในการใช้ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะที่ใช้ใน
กิจการสาธารณะหรือยานพาหนะส่วนบุคคล
(ง) การใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคาร ในการโฆษณาและในสถานที่อื่นๆ
(๔) การปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด
หรือคณะกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นปฏิบัติการแทนได้ โดยจะกำหนดเงื่อนไข
อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ คำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายซึ่งได้สั่ง
การตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลทั่วไป และคำสั่งมอบหมายของนายกรัฐมนตรี
ตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๔ เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๓ แล้ว ให้แจ้งให้
คณะรัฐมนตรีทราบ และเมื่อได้มีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชกำหนดนี้
ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
มาตรา ๕ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้ง
พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
มาตรา ๖ ให้บุคคลและกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๓
วรรคสอง และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๕ เป็นเจ้าพนักงานตาม
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ให้บุคคลตามมาตรา ๖ มีอำนาจเข้าไปใน
สถานที่ใด ๆ หรือสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารใด ๆ ได้
มาตรา ๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบ
หมายจากนายกรัฐมนตรีซึ่งสั่งตามมาตรา ๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่สั่งตามมาตรา ๗ หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความ
สะดวกแก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี หรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ในการ
ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน
ห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ (ยกเลิก)
มาตรา ๑๑ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกำหนดนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สัญญา ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ได้ทวีสูงขึ้นเป็นลำดับ และน้ำมันดิบที่จะหาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง ซึ่งจะมีผลให้
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูงตามไปด้วย และจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ฉะนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและ
ความผาสุกของประชาชน จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ดังกล่าวให้
ทันต่อเหตุการณ์ ในการนี้นายกรัฐมนตรีจำต้องมีอำนาจในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ได้โดยฉับพลัน ไม่จำต้องให้กระทรวงทบวง กรมต่างๆ แยกปฏิบัติการตามกฎหมายที่มีอยู่
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะ
การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นไป
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและ
ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดระยะเวลาให้ใช้
บังคับได้เพียงหนึ่งปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๗ แต่ภาวะการขาด
แคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับ
พระราชกำหนดดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๒ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นไป
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชกำหนดแก้ไขและ
ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ มีกำหนดเวลาใช้บังคับได้
เพียงสองปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘ แต่ภาวะการขาดแคลนน้ำมัน
เชื้อเพลิงยังไม่มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลง สมควรขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีก
หนึ่งปี แต่เนื่องจากขณะนี้ไม่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมของรัฐสภา และเรื่องนี้เป็นกรณี
ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๙
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กำหนดเวลาการใช้บังคับ
พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายโดยพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๘ จะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๙ แต่
เนื่องจากขณะนี้ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในราชอาณาจักรยังคงมีอยู่ สมควร
ขยายเวลาการใช้บังคับพระราชกำหนดดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่ง จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้ขึ้น
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลน
น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๐
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นไป
หมายเหตุ :-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชกำหนด แก้ไขและ
ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๑๖ กำหนดเวลาการใช้บังคับไว้
เพียงหนึ่งปี ซึ่งต่อมาได้มีการขยายเวลาการใช้บังคับรวม ๓ ครั้ง ๆ ละหนึ่งปี บัดนี้กำหนด
เวลาการใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ แต่
โดยที่ภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีอยู่และมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายนี้
ต่อไปอีกโดยไม่อาจกำหนดระยะเวลาไว้ได้ ดังนั้นเพื่อให้สามารถใช้บังคับกฎหมายนี้
ได้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่นเดียวกับกฎหมายอื่นทั่ว ๆ ไป สมควรยกเลิกมาตรา ๑๐
แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น