


vee wrote:ผมมองว่า ปรีดี ก็คือหนึ่งในพวกล้มล้างสถาบันตัวหนึ่ง ไม่ต่างจากคนอื่นๆในยุคนี้
ลองมองดูสิ่งที่มีใน ม.ธรรมศาสตร์และการล้มเจ้าซิ
sanddolphin wrote:แหมท่าน ผมว่าปรีดีไม่ใช่ไม่เอาเจ้านะแหม เขายังเคยไปเป็นองคมนตรีเลยมั้งน่ะ
amplepoor wrote:ไม่มีประชาชนในสายตาของปรีดี
ผมจะแสดงทัศนะละนะ
ปรีดีเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจออกมาเมื่อเขายึดอำนาจได้แล้ว เค้าโครงนี้เองคือหลักฐานว่าเขาไม่เห็นหัวราษฎร เขาจะทำให่ราษฎรกลายเป็นพนักงานของรัฐ ยกเลิกสิทธิในที่ดิน ....และอื่นๆ อีกมากมาย
สรุปสั้นๆ ว่า รัฐคิดทุกอย่างให้ราษฎร โดยที่ราษำรไม่ต้องแสดงความคิดเห็น นี่ละปัญหา
อนาคตของราษฎร ทำไมปรีดีไม่ให้ราษฎรคิด
พวกเขาจะยอมรับใหมว่าต่อจากนี้ไป เขาจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เขาจะยอมใหม ที่จะต้องประกอบอาชัพตามนโยบายหรือคำสั่งของรัฐ
ทางเดียวที่จะให้ราษฎรคิดและเลือกได้ ปรีดีจะต้องให้เวลาและจะต้องอัดฉีดสำนึกทางประชาธิปไตยให้แก่ราษฎร แปลว่าต้องมีพรรคการเมือง
แต่เค้าโครงเศรษฐกิจนี่ ดูไปแล้วเหมือนประเทศมีพรรคการเมืองพรรคเดียวแฮะ ไอ้การปกครองแบบพรรคเดียวนี่ที่อื่นเรียกอะไรไม่รู้ แต่ที่บ้านผมเรียกคอมมิวนิสต์
ซึ่งผมพยายามจะตั้งข้อสังเกตว่า "ปรีดีมีจุดประสงค์เพื่อประชาชนหรือเปล่า" แน่นอน"ปรีดีมีประชาชนในเค้าโครงฯ" แน่นอนๆ แต่จะให้ราษฎรคิดด้วยไหมนั้น บอกเลยว่าไม่ทราบ แต่ถ้าหากว่าปรีดีดึงดันจะดำเนินนโยบายเสรีนิยมสุดโต่งละก็ 1.ในเวลานั้นสภาพความเหลื่อมล้ำในสังคมมันสูงมาก ยิ่งได้แรงกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกอีก (และถ้าจำไม่ผิดก่อน 2475 จะมีปัญหาเรื่องงบระหว่างรัฐมนตรีด้วย) ถ้าดำเนินนโยบายเสรีนิยมจ๋าละก็ ชาวบ้านทั้งหลายที่ทุนก็น้อย และซ้ำยังต้องมาแข่งขันกับกลุ่มระบอบเก่าที่พรั่งพร้อมไปด้วยทุน (แข่งในกรอบที่มีเกมส์ใหม่เรียกว่า "ระบอบรัฐธรรมนูญ") ไม่มีทางที่คนที่ทุนน้อยจะลืมตาอ้าปากได้แน่ 2. เมื่อความเหลื่อมล้ำหนักขึ้น ความชอบธรรมของคณะราษฎรก็ถูกกัดกร่อนไปด้วยเช่นกัีน อารมณ์ประมาณว่า "ไอ้ HA กูอยู่กับระบอบเดิมสบายกว่านี้อีก" 3.การที่จะริเริ่มประชาธิปไตยละก็สิ่งที่สำคัญมากก็คือ จิตสำนึกอย่าง "ชนชั้นกลาง" กล่าวคือ ลื้อต้องมีแหลกก่อนลื้อถึงจะมาเริ่มพะวงกับความรักหรือการเมืองได้ (ต่างจากสมัยนี้นะ) 4.ผมไม่ทราบว่าเขาจะนำเค้าโครงฯนี้มาใช้นานเท่าไร 5.ประเทศส่วนมากหลังจากที่ได้รับอิสรภาพจากอาณานิคมก็ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมทั้งสิ้น 6..ผมไม่เคยพูดว่าปรีดีเป็นนักประชาธิปไตย (แบบเสรี หรือแม้กระทั่งแบบไหนก็ตาม)เค้าโครงที่ว่า พระยามโนแรกเริ่มให้ปรีดีร่าง แล้วก็มาเถียงกันเองภายหลังอันด้วยเนื้อหาที่ "สุดโต่ง" ของปรีดี ที่ท่านบอกว่าไม่มีประชาชนอยู่ในนั้นเพราะอะไรครับ ตามความรู้อันน้อยๆของผมนั้น เค้าโครงดังกล่าวมุ่งที่จะัให้ รบ ใช้พันธบัตรซื้อที่ดินสำหรับการเพาะปลูกทั้งหมด ยกเว้นที่อยู่อาศัย= ชาวไร่กลายเป็นลูกจ้างของรัฐบาล ได้รับเงินเดือน รบ คุมการค้าที่ใหญ่ที่สุด (ข้าว) เป็นการตัดคนกลางคือ มันกระทบต่อขุนนางในระบอบเก่าซึ่งหลายๆคนมีพื้นฐานร่ำรวยมาจากที่ดิน สั้นๆก็คือ ไอ้เค้าโครงเนี้ยมันเน้น equality มากกว่า freedom มันมีแนวโน้มจะเป็นสังคมนิยมมากกว่า (ไม่ได้เห็นด้วยกับปรีดีนะบอกไว้ก่อน)
ใน พระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดงความเห็นโต้แย้งแนวคิดทางเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์ แทบจะทุกประเด็น เริ่มตั้งแต่ หมวดที่ 1 ว่าด้วยหลักของคณะราษฎร ทรงก็ “ขอให้ฟังเสียงของราษฎรจริงๆ อย่างได้หักโหมบังคับเอาโดยทางอ้อม หรือทางใดทางหนึ่ง ให้ออกเสียงเห็นด้วยเลย ขออย่างโกรษราษฎรถ้าเขาพากันออกเสียงว่าไม่ชอบวิธีเหล่านี้ ซึ่งย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจแก่พวกของผู้เขียนโดยแน่นอน และอย่างได้ว่าราษฎรนั้นถือทิฐิมานะงมงายหรือเป็นอุบาทว์กาลีโลก”, ส่วนเรื่องของ “ความไม่เที่ยงแท้แห่งการเศรษฐกิจในปัจจุบัน” ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 2 ของเค้าโครงการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่อง “ความแร้นของราษฎร” นั้น รัชกาลที่ 7 ทรงโต้แย้งว่า “ราษฎรของเราตลอดจนชั้นคนขอทานยังมิปรากฏเลยว่าอดตาย คนที่อดตายจะมีก็แต่คนที่กลืนไม่ลงเพราะความเจ็บไข้เท่านั้น แม้แต่สุนัขตามวัดก็ปรากฏยังไม่มีอดตาย...ราษฎรของเรามีน้อยคนหรือเกือบจะไม่มีก็ได้ที่นอนกลางคืนแล้วนึกว่ารุ่งขึ้นเช้าจะหากินไม่ได้ นอกจากผู้นั้นจะกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ หาไม่ฉะนั้น คงหากินได้เสมอ” [8]
ในหมวดที่ 3 ข้อ 3 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโต้แย้งว่า “ค่าประกันความสุขสมบูรณ์อันนี้ คือ ต้องสละเสรีภาพเสีบละกระมัง การเป็นไทยจะกลายเป็นทาสเสียละกระมัง เพราะตามที่ปรากฏในประเทศรัสเซีย ซึ่งก็ใช้วิธีประกันแบบนี้เหมือนกัน ราษฎรต้องประกันความสุขด้วยเสรีภาพของเขา และยอมตนเป็นทาสของรัฐบาล” สำหรับข้อ 4 ที่ว่าด้วยเรือง “ราษฎรชอบเป็นข้าราชการ” นั้น พระองค์ก็โต้แย้งว่า “ความข้อนี้อาจเป็นจริงได้ แต่ไม่ใช่จริงอย่างตลอด เพราะเหตุว่าความหมายของราษฎรให้คำว่า ‘ข้าราชการ’ นั้นมิได้หมายดังที่ผู้เขียนหมาย ‘ข้าราชการ’ ตามความจริงของราษฎรนั้น คือผู้นั่งชี้นิ้วอำนวยการงาน หรือผู้นั่งโต๊ะเป็นเสมียน กินน้ำชาและงานเบาๆ ในประเภทเช่นว่านี้ ข้าราชการเช่นนั้น ข้าพเจ้ายอมรับว่าราษฎรอยากเป็นจริง เพราะสบายดี ไม่ต้องเหนื่อยยากอันใด แต่ถึงกระนั้นเองก็ยังไม่เป็นการจริงทั้งสิ้น เพราะมีราษฎรหลายคนที่ไม่พึงประสงค์จะเป็นแม้แต่เสมียน เขาชอบประกอบการอาชีพทำการอิสระ ดั่งนี้มักมีจำนวนอยู่มากไม่น้อย” [9]
ในบทที่ 1 ที่ว่าด้วยเรื่อง “แรงงานที่เสียไปโดยที่มิได้ใช้ให้เต็มที่” ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 4 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “แรงงานที่สูญเสียไปและพวกหนักโลก” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโต้แย้งว่า “การที่จะจัดให้ราษฎรมาทำงานให้แก่รัฐบาลดังนี้ได้ โดยรัฐบาลมีอำนาจเต็มที่จะสั่งอะไรก็ได้ ในเวลากำหนดเท่าใดก็ได้ ดังแผนนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ถ้าจะทำได้ก็คงต้องถึงใช้การบังคับกันอย่างหนัก ถึงกับต้องยิงกัน อย่าลืมว่าคนไทยนันรักเสรีภาพความเป็นอิสระอยู่ในเลือดแล้ว เขาย่อมสละเสรีภาพมาให้ง่ายๆ ไม่ได้แน่ ถ้าจะต้องบังคับกันอย่างนี้แล้ว จะสมควรละหรือ เราหวังจะให้ความสุขสมบูรณ์แก่ราษฎรทั่วไป การต้องบังคับกดคอให้เขาทำงานนั้น จะจัดว่าให้ความสุขสมบูรณ์แก่เขาอย่างไร มันจะกลายเป็นให้ทุกข์สมบูรณ์เสียมากกว่า” ส่วนบทที่ 4 ที่ว่าด้วยเรื่อง “แรงงานที่เสียไปเพราะบุคคลที่เกิดมาหนักโลก” นั้น ทรงวิจารณ์ว่า
“ ความหนักโลกดังผู้เยนกล่าวนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะหมดไปได้ นอกจากนั้นใครจะยอมว่าใครหนักโลก ตัวก็พูดว่าคนอื่นหนักโลก เรามักเห็นตัวเราไม่ถนัด เขาหนักเสมอ ต่างก็นึกเช่นนั้นเสมอเป็นธรรมดา เราเห็นว่าเราทำความดีให้ชาติ คนอื่นเขาก็คงมีเหตุผลอย่างเดียวกันที่จะนึก ดังนั้น คนเราย่อมมีใจคิดด้วยกัน ใครจะมาเป็นผู้ตัดสินว่า ใครผิดใครถูกโดยไม่มีข้อพิสูจน์อย่างใดชัดย่อมไม่ได้ เช่น พวกปรปักษ์ของรัฐบาลบางจำพวกที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เขาอาจเห็นตัวเขาไม่หนักโลก แต่เห็นคนอื่นหนักก็ได้[10] ”
สำหรับหมวดที่ 5 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “วิธีซึ่งรัฐบาลจะหาที่ดิน แรงงาน เงินทุน” ที่ปรีดี พนมยงค์ เน้นย้ำว่า “หลักการสำคัญที่ควรคำนึงก็คือ รัฐบาลต้องดำเนินการวิธีโดยละม่อม ไม่ประหัตประหารคนมั่งมี” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเตือนว่า “ข้าพเจ้าขอให้เป็นดังนั้นจริงๆ เถิด ลงท้ายเข้าเกรงจะหันเข้าหาวิธีรัสเซียใช้ คือ เก็บภาษีสูบเลือดไปทีละเล็กละน้อย ให้ใบบอนด์ซึ่งมีราคาเกินกระดาษ จัดการเข้าประหารคนมั่งมี หาว่าคนมั่งมีหนักโลกเสียละกระมัง” ในข้อที่ 16 ที่ว่าด้วยเรื่อง “รักชาติหรือรักตัว” พระองค์ก็ทรงโต้แย้งว่า “การที่จะพูดว่า คนที่เช่าที่เขาหรือคนที่มีที่ดินของตัวเองว่าใครจะรักชาติมากกว่าใครนั้นเฉยๆ ไม่ได้ เราจะรู้ได้ว่าใครจะรักมากกว่าใคร กลับจะต้องไปพิสูจน์เสียอีกว่า ถ้าชาติพังทะลายเสียแล้ว ผู้ใดจะเสียประโยชน์มากกว่ากันเป็นคะแนนวัดความรักชาติเสียอีก เพราะคนย่อมรักของๆ ตัวและประโยชน์ของตัวเป็นใหญ่จึงจะมีความรักใคร่ส่วนรวม คือ ชาติ” ส่วนที่ปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า “ข้าราชการบางคนเกียดกันไม่อยากให้ราษฎรเป็นข้าราชการ” นั้น พระองค์ก็ทรงโต้แย้งว่า “คำพูดเช่นนี้เป็นการกล่าวโทษข้าราชการโดยไม่ยุติธรรม”[11]
ส่วนหมวดที่ 6 ว่าด้วยเรื่อง “การจัดทำรายได้และรายจ่ายของรัฐบาลเข้าสู่ดุลยภาพ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่ว่าด้วยเรื่อง “การจัดการเศรษฐกิจโดยรัฐบาลต้องระวังไม่ให้มนุษย์กลายสัตว์” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิจารณ์ว่า “การที่จะไม่ให้คนกลายเป็นสัตว์นั้น ย่อมอยู่ที่คอยเพ่งเล็งมิให้เขาเสียเสรีภาพของเขาเป็นส่วนใหญ่ แต่ตามโครงการเศรษฐกิจที่ผู้เขียนกล่าวไว้แล้วนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะทำให้เป็นผลสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่ใช้การบังคับ” ซึ่งก็จะทำให้ราษฎรกลายเป็นทาสเช่นเดียวกับในช่วงก่อนที่รัชกาลที่ 5 จะทรงประกาศเลิกทาส “แทนที่จะเรียกว่าข้าราชการก็กลายเป็นรัฐทาสเสียมากกว่า สัตว์นั้นอดหยากได้ยากกว่ามนุษย์ เพราะมันหาหย้ากินได้สบายกว่า แต่รัฐทาสนี้ไม่มีทางใดจะหากินทีเดียวนอกจากเป็นทาส” [12] ขณะที่พระองค์ไม่ทรงวิจารณ์หมวดที่ 7 ว่าด้วยเรื่อง “การแบ่งงานออกเป็นสหกรณ์” มากนัก ทรงวิจารณ์หมวดที่ 8 “รัฐบาลจะจัดให้มีการเศรษฐกิจชนิดใดบ้างในประเทศ” โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วยเรื่อง “ป้องกันปิดประตูการค้า” อย่างรุนแรงว่า
“ การที่จะคิดป้องกันการปิดประตูค้านี้ก็เป็นการดีอยู่ แต่ถ้าจะพูดถึงความจำเป็นแล้วว่า เราควรจะกลัวการปิดประตูค้าแล้วหรือไม่ ก็จะต้องตอบว่าไม่ควรกลัวเลย การปิดประตูการค้านี้ ถ้าใครจะทำกับประเทศสยามแล้ว ก็เป็นการโง่ของผู้นั้น เพราะจะมาเสียเงินทำเช่นนั้นทำไม มีวิธีอื่นที่จะบังคับให้ประเทศสยามยอมจำนนได้ถมเถไป มีอาทิเช่น ส่งเรือรบซึ่งมีเครื่องบินบรรทุกอยู่เสร็จเข้ามากับเรือครูเซอร์ บรรทุกทหารมาขึ้นที่กรุงเทพฯ ก็คุมกรุงเทพฯ อยู่แล้ว ทุกวันนี้เราย่อมรู้ดีว่าเพื่อนบ้านเขาไม่ชอบวิธีการเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าเราทำขึ้นเมื่อใดก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะไม่ส่งคนของเขาเข้ามายึดทรัพย์สิ่งของเราดั่งกล่าวแล้ว กวาเราจะมีกำลังพอป้องกันการปิดประตูค้าได้ บ้านเมืองของเราก็หมดไปเสียแล้ว โดยแม้แต่บานประตูก็คงจะยังทำไม่แล้วทัน เพราะฉะนั้น การกลัวที่จะปิดประตูค้านี้เป็นการกลัวที่หามูลมิได้ เป็นการเอาอย่างประเทศรัสเซียเท่านั้น[13] ”
สำหรับหมวดที่ 9 ซึ่งว่าด้วย “การป้องกันความยุ่งยากในปัญหาเรื่องนายจ้างกับลูกจ้าง” โดยเฉพาะในหัวข้อ “เอกชนเป็นเจ้าของโรงงานทำให้ระส่ำระสาย” พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิจารณ์ว่า “ถ้ารัฐบาลจัดการทำเศรษฐกิจเสียเองหมดแล้ว และห้ามไม่ให้ราษฎรไปทำนาเอง ไม่ให้ราษฎรจับจองที่ดินเอง โดยจำกัดการออกสัมปทานแล้ว การระส่ำระสายดังว่าน่าจะมีมากกว่านั้น” ส่วนที่ ปรีดี พนมยงค์ บอกว่า “รัฐบาลทำมีกำไร” นั้น “ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรมาเป็นของประกันว่าผลที่ทำนั้นจะดี นอกจากความเชื่อว่าจะดีเท่านั้น แต่ถ้าผลนั้นร้าย ราษฎรก็พากันอดตายไปหมด จะมีผู้ที่ไม่ไปร่วมอดอยากกับราษฎร ก็คือ พวกท่านที่ชำนาญคอยชี้นิ้วอำนวยการเท่านั้น” และตามธรรมดานั้นถ้ารัฐบาลทำอะไรแล้ว อาจเป็นการเปลืองมาก “การขาดทุนนั้นจะเกิดขึ้นได้” เพราะถึงแม้รัฐบาลจะจัดระเบียบอย่างดี ข้อเสียหายก็อาจเกิดจากการอื่น และเมื่อขาดทุนแล้ว “รัฐบาลไม่ช้าก็ต้องเที่ยวกดขี่คนโดยขึ้นภาษีเป็นสิ่งของ” ซึ่งก็เท่ากับเป็นการริบทางอ้อม “แล้วความสันติสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าแลไม่เห็น” [14]
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไม่มีความเห็นแย้งต่อหมวดที่ 10 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ” แต่อย่างใด เพียงแต่ขอให้ผู้ร่างแผน “ลองสำรวจดู” ให้ละเอียดถี่ถ้วน แต่สำหรับหมวดที่ 11 ซึ่งว่าด้วย “ผลสำเร็จอันเกี่ยวแก่หลัก 6 ประการ” อันได้แก่ เอกราช, การรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน, การเศรษฐกิจ, เสมอภาค, เสรีภาพ และ การศึกษา นั้น พระองค์ทรงวิจารณ์ทุกเรื่องและมีความเห็นในทางตรงข้ามทั้งหมด เช่น เรื่อง “เอกราชทางเศรษฐกิจ” พระองค์ทรงวิจารณ์ว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อเลยว่าประเทศเราจะอยู่ได้เฉยๆ โดยไม่ต้องค้าขายกับผู้ใด เมื่อเป็นเช่นนี้ราคาในโลกเขามีอยู่อย่างไร เราก็คงต้องกัดฟันซื้อขายอยู่อย่างเดิม เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นเอกราชในทางเศรษฐกิจนั้นคงยังจะไม่ได้แน่”, เรื่อง “เอกราชทางการเมือง” ก็ทรงวิจารณ์ว่า “ถ้าเราดำเนินวิธีการเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว ความเป็นเอกราชในทางการเมืองอาจจะมีไม่ได้ เพราะในชั้นต้นเราย่อมทราบดีแล้วว่า การดำเนินการตามโครงการนี้เป็นวิธีการดั่งที่ประเทศรัสเซียดำเนินอยู่” ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านของเราเห็นว่าเป็นวิธีการของ “คอมมิวนิสต์”, เรื่อง “การรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน” ก็ทรงวิจารณ์ว่าน่าจะทำไม่ได้ดีนัก, เรื่อง “การเศรษฐกิจ” ก็ทรงวิจารณ์ว่า น่าจะลงเอยแบบรัสเซีย นั่นคือ มี “ราษฎรอดอยากยิ่งกว่าแต่ก่อนใช้โครงการเศรษฐกิจเป็นอันมาก” [15]
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงวิจารณ์หลัก 6 ประการข้ออื่นๆ ด้วย เรื่อง “ความเสมอภาค” ทรงวิจารณ์ว่า “จะมีความเสมอภาคได้อย่างไร ข้าราชการส่วนหนึ่งต้องทำงานเป็นทาส และอีกส่วนหนึ่งเป็นนายผู้ชำนาญทำงานชี้นิ้ว ความเสมอภาคที่ผู้เขียนกล่าวนั้นไม่ใช่มีแต่บนกระดาษ เป็นแต่เพียงเสมอภาคด้วยชื่อ”, เรื่อง “เสรีภาพ” ทรงวิจารณ์ว่า “เมื่อห้ามปรามขัดขวางไม่ให้ราษฎรทำตามสมัครใจได้ดังกล่าวแล้ว ก็เท่ากับตัดเสรีภาพ ก็เมื่อรัฐบาลตั้งใจจะตัดเสรีภาพเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการนำความสุขสมบูรณ์มาให้แล้วก็จะทิ้งคนให้มีชีวิตอยู่ทำไม ประหารชีวิตมันเสียให้หมดก็แล้วกัน มันจะได้ไม่ตายดีกว่าที่จะสละทิ้งเสรีภาพของตน” และสุดท้าย เรื่อง “การศึกษา” ทรงวิจารณ์ว่า “การบังคับให้เรียนหรือการบังคับต่างๆ นี้ ทำไมผู้เขียนจึงชอบนัก ก็จะการชักชวนแทนมิได้หรือ ถ้าจะจัดการศึกษาควรจะต้องชักชวนให้ราษฎรรักการศึกษา และให้ความสะดวกในการศึกษา ทำไมจะต้องใช้แต่ไม้บังคับตลอดไป” [16]
ควรกล่าวด้วยว่า ใน พระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงวิจารณ์ “เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” และ “เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ” อย่างละเอียดด้วย จากนั้นในท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรง “สรุปความ” ว่า
“ เรื่องที่ได้พิจารณามาแล้วนี้ย่อมเป็นความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ซึ่งจะเป็นการถูกต้องหรือไม่นั้นก็เป็นแต่ความคิดของข้าพเจ้าเท่านั้น การที่จะรู้ว่าใครเป็นคนถูกหรือผิดก็ต้องทดลองดูเท่านั้นจึงจะเห็นได้ แต่มีข้อสำคัญอันหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนอย่างไม่ต้องเป็นสิ่งสงสัยเลยว่า โครงการนี้นั้นเป็นโครงการอันเดียวอย่างแน่นอนกับที่ประเทศรัสเซียใช้อยู่ ส่วนใครจะเอาอย่างใครนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ สตาลินจะเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ หรือหลวงประดิษฐ์ฯ จะเอาอย่างสตาลินก็ตอบไม่ได้ ตอบได้ข้อเดียวว่า โครงการทั้ง 2 นี้เหมือนกันหมด เหมือนกันจนรายละเอียดเช่นที่ใช้และรูปแบบของวิธีการกระทำ จะผิดกันก็แต่รัสเซียนั้นแก้เสียเป็นไทย หรือไทยนั้นแก้เป็นรัสเซีย ถ้าสตาลินเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ ข้าวสาลีแก้เป็นข้าวสาร หรือข้าวสารแก้เป็นข้าวสาลี รัสเซียเขากลัวอะไร ไทยก็กลัวอย่างนั้นบ้าง รัสเซียเขาหาวิธีตบตาคนอย่างไร ไทยก็เดินวิธีตบตาคนอย่างนั้นบ้าง
..............
แต่ในส่วนโครงการเศรษฐกิจแบบหลวงประดิษฐ์ฯ นี้ ควรเลิกล้มความคิดเสีย เพราะแทนที่จะนำมาซึ่งความสุขสมบูรณ์ของประเทศชาติบ้านเมืองดังกล่าวนั้น กลายเป็นสิ่งนำมาซึ่งความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า จนเป็นความหายนะถึงแก่ความพินาศแห่งประเทศ และชาติบ้านเมืองอันเป็นมรดกที่เราคนไทยได้รับมาแต่บรรพบุรุษ
”
ประชาธิปก
amplepoor wrote:sanddolphin wrote:แหมท่าน ผมว่าปรีดีไม่ใช่ไม่เอาเจ้านะแหม เขายังเคยไปเป็นองคมนตรีเลยมั้งน่ะ
ผมบอกแล้วว่า ให้ใช้แนวคิดของ "ณ วันนั้น" ในการทำความเข้าใจเหตุการณ์
การเป็นองคมนตรี ไม่ได้แปลว่าในวันนั้นเอาเจ้านะครับ ศึกษาหน่อยว่าองคมนตรีในเรือน 2480 น่ะ มาจากใหน ทำอะไร
ดราม่า wrote:sanddolphin สำหรับผมการที่รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วให้ประชาชนมารับจ้างผลิตนั้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว ด้วยหลักคิดง่ายๆคือ "ถ้าผลิตแล้วผลผลิตต้องเข้าส่วนกลาง จะเป็นการลงโทษคนขยัน"
สุดท้ายวิธีนี้ก็จะล้มเหลวเพราะความขี้เกียจของคน (ขยันกับขี้เกียจก็ได้เท่ากัน แล้วจะขยันไปทำไม...ธรรมชาติมนุษย์)
ส่วนเรื่องความเหลื่อมล่ำนั้น"เวลา"ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่า คนจีนที่มีต้นทุนสังคมต่ำสุดในเวลานั้น ตอนนี้กุมทั้งอำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจการเมือง...
สรุปสำหรับผม ความคิดท่านปรีดีวัยหนุ่มนั้นผิดครับ (แต่ไม่ได้จะบังอาจไปตัดสินท่าน "เวลา"ต่างหากที่ตัดสิน)
amplepoor wrote:ไม่มีประชาชนในสายตาของปรีดี
ผมจะแสดงทัศนะละนะ
ปรีดีเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจออกมาเมื่อเขายึดอำนาจได้แล้ว เค้าโครงนี้เองคือหลักฐานว่าเขาไม่เห็นหัวราษฎร เขาจะทำให่ราษฎรกลายเป็นพนักงานของรัฐ ยกเลิกสิทธิในที่ดิน ....และอื่นๆ อีกมากมาย
สรุปสั้นๆ ว่า รัฐคิดทุกอย่างให้ราษฎร โดยที่ราษำรไม่ต้องแสดงความคิดเห็น นี่ละปัญหา
อนาคตของราษฎร ทำไมปรีดีไม่ให้ราษฎรคิด
พวกเขาจะยอมรับใหมว่าต่อจากนี้ไป เขาจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เขาจะยอมใหม ที่จะต้องประกอบอาชัพตามนโยบายหรือคำสั่งของรัฐ
ทางเดียวที่จะให้ราษฎรคิดและเลือกได้ ปรีดีจะต้องให้เวลาและจะต้องอัดฉีดสำนึกทางประชาธิปไตยให้แก่ราษฎร แปลว่าต้องมีพรรคการเมือง
แต่เค้าโครงเศรษฐกิจนี่ ดูไปแล้วเหมือนประเทศมีพรรคการเมืองพรรคเดียวแฮะ ไอ้การปกครองแบบพรรคเดียวนี่ที่อื่นเรียกอะไรไม่รู้ แต่ที่บ้านผมเรียกคอมมิวนิสต์
ดราม่า wrote:sanddolphin สำหรับผมการที่รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วให้ประชาชนมารับจ้างผลิตนั้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว ด้วยหลักคิดง่ายๆคือ "ถ้าผลิตแล้วผลผลิตต้องเข้าส่วนกลาง จะเป็นการลงโทษคนขยัน"
สุดท้ายวิธีนี้ก็จะล้มเหลวเพราะความขี้เกียจของคน (ขยันกับขี้เกียจก็ได้เท่ากัน แล้วจะขยันไปทำไม...ธรรมชาติมนุษย์)
ส่วนเรื่องความเหลื่อมล่ำนั้น"เวลา"ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่า คนจีนที่มีต้นทุนสังคมต่ำสุดในเวลานั้น ตอนนี้กุมทั้งอำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจการเมือง...
สรุปสำหรับผม ความคิดท่านปรีดีวัยหนุ่มนั้นผิดครับ (แต่ไม่ได้จะบังอาจไปตัดสินท่าน "เวลา"ต่างหากที่ตัดสิน)
baezae wrote:ส่วนตัวเลยนะครับ สิ่งที่ปรีดี"ผิด" คือ
๑. ปรีดีไปร่ำเรียนด้วยทุนหลวง เป็นหนี้บุญคุณหลวง แต่เนรคุณหลวง
๒. ปรีดีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วทวนน้ำ ลูกผู้ชายเราให้คำไหนออกจากปาก ผมเห็นว่ามันย้อนกลับไม่ได้
๓. ปรีดีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่"ฝืน"ใช้อำนาจและกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้ดูภาวะรอบข้าง อุปมาเหมือนเร่งให้แม่ไก่ออกไข่ด้วยวิธีการบีบท้อง ซ้ำแล้วไอ้ที่ได้ก็ไม่พ้นขี้ไก่
๔. ปรีดีในทีแรกอาจจะหวังดี แต่เมื่อมีอำนาจกลับหลงเมาไปกับอำนาจนั้น ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ยิ่งนำพาให้ประเทศชาติห่างจากประชาธิปไตยหนักเข้าไปอีก
ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ของที่มันได้มาจากความอกตัญญู การทรยศหักหลัง การขู่บังคับ มันไม่มีทางเป็นของดี ประชาธิปไตยของไทยก็เป็นเช่นนั้น"
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หากสยามหรือไทย ได้ทำการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจดังเช่นที่ได้ทรงเตรียมธรรมนูญประชาธิปกไว้ ประชาธิปไตยของไทยเราปัจจุบัน จะสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยมากกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเช่นเดียวกับการค่อย ๆ ทรงเลิกทาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ครับ
rakchart thai wrote:baezae wrote:ส่วนตัวเลยนะครับ สิ่งที่ปรีดี"ผิด" คือ
๑. ปรีดีไปร่ำเรียนด้วยทุนหลวง เป็นหนี้บุญคุณหลวง แต่เนรคุณหลวง
๒. ปรีดีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วทวนน้ำ ลูกผู้ชายเราให้คำไหนออกจากปาก ผมเห็นว่ามันย้อนกลับไม่ได้
๓. ปรีดีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่"ฝืน"ใช้อำนาจและกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้ดูภาวะรอบข้าง อุปมาเหมือนเร่งให้แม่ไก่ออกไข่ด้วยวิธีการบีบท้อง ซ้ำแล้วไอ้ที่ได้ก็ไม่พ้นขี้ไก่
๔. ปรีดีในทีแรกอาจจะหวังดี แต่เมื่อมีอำนาจกลับหลงเมาไปกับอำนาจนั้น ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ยิ่งนำพาให้ประเทศชาติห่างจากประชาธิปไตยหนักเข้าไปอีก
ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ของที่มันได้มาจากความอกตัญญู การทรยศหักหลัง การขู่บังคับ มันไม่มีทางเป็นของดี ประชาธิปไตยของไทยก็เป็นเช่นนั้น"
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หากสยามหรือไทย ได้ทำการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจดังเช่นที่ได้ทรงเตรียมธรรมนูญประชาธิปกไว้ ประชาธิปไตยของไทยเราปัจจุบัน จะสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยมากกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเช่นเดียวกับการค่อย ๆ ทรงเลิกทาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ครับ
สี่ข้อที่ท่านว่า ลองส่งให้อ้าย ดร.วรเจตย์ดู .. อยากรู้มันจะแย้งยังไงครับ
sanddolphin wrote:rakchart thai wrote:baezae wrote:ส่วนตัวเลยนะครับ สิ่งที่ปรีดี"ผิด" คือ
๑. ปรีดีไปร่ำเรียนด้วยทุนหลวง เป็นหนี้บุญคุณหลวง แต่เนรคุณหลวง
๒. ปรีดีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วทวนน้ำ ลูกผู้ชายเราให้คำไหนออกจากปาก ผมเห็นว่ามันย้อนกลับไม่ได้
๓. ปรีดีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่"ฝืน"ใช้อำนาจและกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้ดูภาวะรอบข้าง อุปมาเหมือนเร่งให้แม่ไก่ออกไข่ด้วยวิธีการบีบท้อง ซ้ำแล้วไอ้ที่ได้ก็ไม่พ้นขี้ไก่
๔. ปรีดีในทีแรกอาจจะหวังดี แต่เมื่อมีอำนาจกลับหลงเมาไปกับอำนาจนั้น ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ยิ่งนำพาให้ประเทศชาติห่างจากประชาธิปไตยหนักเข้าไปอีก
ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ของที่มันได้มาจากความอกตัญญู การทรยศหักหลัง การขู่บังคับ มันไม่มีทางเป็นของดี ประชาธิปไตยของไทยก็เป็นเช่นนั้น"
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หากสยามหรือไทย ได้ทำการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจดังเช่นที่ได้ทรงเตรียมธรรมนูญประชาธิปกไว้ ประชาธิปไตยของไทยเราปัจจุบัน จะสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยมากกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเช่นเดียวกับการค่อย ๆ ทรงเลิกทาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ครับ
สี่ข้อที่ท่านว่า ลองส่งให้อ้าย ดร.วรเจตย์ดู .. อยากรู้มันจะแย้งยังไงครับ
ตอบแทนวรเจตน์แบบขำๆนะครับ "ผมไม่คุยเรื่องบาปบุญ ผมคุยแต่เรื่องนิติศาสตร์"![]()
เชื่อสิ เขาต้องว่าอย่างนี้
overtherainbow wrote:ดราม่า wrote:sanddolphin สำหรับผมการที่รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วให้ประชาชนมารับจ้างผลิตนั้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว ด้วยหลักคิดง่ายๆคือ "ถ้าผลิตแล้วผลผลิตต้องเข้าส่วนกลาง จะเป็นการลงโทษคนขยัน"
สุดท้ายวิธีนี้ก็จะล้มเหลวเพราะความขี้เกียจของคน (ขยันกับขี้เกียจก็ได้เท่ากัน แล้วจะขยันไปทำไม...ธรรมชาติมนุษย์)
ส่วนเรื่องความเหลื่อมล่ำนั้น"เวลา"ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่า คนจีนที่มีต้นทุนสังคมต่ำสุดในเวลานั้น ตอนนี้กุมทั้งอำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจการเมือง...
สรุปสำหรับผม ความคิดท่านปรีดีวัยหนุ่มนั้นผิดครับ (แต่ไม่ได้จะบังอาจไปตัดสินท่าน "เวลา"ต่างหากที่ตัดสิน)
เวลาอดีต ก็ไม่มีความหมายต่อประชาชน
เวลาปัจจุบัน ก็อย่างที่เห็นและเป็นอยู่
เวลาอนาคต คงไม่ต้องพุดถึง
สรุป
คือเป็นการแย่งชิงอำนาจเพื่อตัวเอง
หรือปล่าว
โอเคตอนนั้นอาจคิดถึงประชาชนจริง
แต่ผลมันไม่ใช่
ไม่กล่าวหาใคร
แค่อยากบอกว่า
เมื่อไม่ใช่แต่แรก ก็ไม่ควรหยิบยกมาชำแหล่ะใหม่ ให้หม่นใจกัน
ละเอาไว้ว่าเจตนาดี ก็ได้
แต่คนที่แอบอ้างปรีดีนี่ซิ มันน่ามั้ย
คนบาป wrote:ถ้าไม่เอากษัตริย์ตั้งแต่เริ่ม ก็ฆ่ากันตายเป็นเบือซีครับ เพราะฐานของพระเจ้าแผ่นดินมีทั่วประเทศ
พวกที่หัวนอก รู้เรื่องการเมืองในพระนครมีซักกี่คน น่าจะไม่เกิน 500 คน
เพราะจะว่าไป ฝ่ายเอาเจ้าแค่ไม่อยากต่อสู้ แต่ค่อยๆ รวมตัวหาแนวร่วม
จนเกิดพรรค ปชป. ที่เอาเจ้าตั้งแต่ต้น มันก็เลยกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมามาจนทุกวันนี้
ฝ่ายไม่เอาเจ้าเพิ่งจะมาโผล่หัวเอาก็ต่อเมื่อทักษิณโดนไล่ออกนอกประเทศ แค่นั้นเอง
ก่อนนี้กล้าพูดซะที่ไหน เอาเถอะ พอทักษิณหมดบุญ พวกที่จ้องจะล้มเจ้าก็ต้องวิ่งเข้ารูเหมือนเดิมนั่นแหละ
ดราม่า wrote:sanddolphin ผมว่าจีนสมัยที่ยึดตำราคอมมิวนิสต์นี่อดอยากนะครับ(เหมือนเกาหลีเหนือตอนนี้)
อดอยากเพราะแนวคิด "รวมศูนย์การผลิตไว้ที่รัฐ" ที่มาลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะแนวคิดของเต้งเสี่ยวผิง ที่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิ์ในทรัพย์สิน
แนวคิดสังคมนิยมมันล้มเหลวมาตั้งแต่ต้นแหละครับ เพราะแนวคิดแบบนี้ต้องมาพร้อมกับเผด็จการ ที่ต้องบังคับเอากับประชาชน
คือถ้าจะทำตาม เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) (ผมอ่านแล้ว)ผมว่ามีทางเดียวคือบังคับเอากับประชาชน
ถึงน้าคนบาป งั้นก็แสดงว่าถ้าทักษิณสลัดพวกล้มเจ้าที่มาเกาะออกไปได้ คงจะมีอนาคตดีกว่านี้