ปรีดี แฮททริค

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby คนขับสิบล้อ » Sat Oct 01, 2011 12:51 am

ไอ้ปรีดี หรือไอ้อัปรีย์ :lol: :lol: :lol:
User avatar
คนขับสิบล้อ
 
Posts: 334
Joined: Wed Jul 14, 2010 1:24 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby คนบาป » Sat Oct 01, 2011 12:55 am

สส.อีสาน หัวหอกอยู่ที่อุบล ทั้งพรรคสหชีพ หนุนท่านปรีดีและพรรคก้าวหน้าของ นายเลียง ไชยกาล ภายหลังมาร่วมก่อตั้งพรรค ปชป.

เสรีไทยอีสานออกแนวสังคมนิยมครับ ที่นิยมเจ้าก็มาฝ่าย ปชป.เรื่องตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลึกๆ ก็คือเปิดตลาดวิชาให้ลูกชาวบ้านได้เรียน มันมีแค่นั้นเอง

เพราะฝ่ายจุฬาฯ นั้น มีที่จากโรงเรียนมหาดเล็กหลวง

จริงๆ มันชัดเจนมานานแล้ว เรื่องกลุ่มเอาเจ้าและไม่เอาเจ้า

ก็ฟันธงไปเลยว่า ปรีดีไม่เอาเจ้า ท่านถึงได้เป็นเทพเจ้าของพวกเสื้อแดงไง
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby vee » Sat Oct 01, 2011 12:59 am

ผมมองว่า ปรีดี ก็คือหนึ่งในพวกล้มล้างสถาบันตัวหนึ่ง ไม่ต่างจากคนอื่นๆในยุคนี้
ลองมองดูสิ่งที่มีใน ม.ธรรมศาสตร์และการล้มเจ้าซิ
User avatar
vee
 
Posts: 158
Joined: Thu Sep 08, 2011 6:50 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 1:01 am

แหมท่าน ผมว่าปรีดีไม่ใช่ไม่เอาเจ้านะแหม เขายังเคยไปเป็นองคมนตรีเลยมั้งน่ะ
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 1:04 am

vee wrote:ผมมองว่า ปรีดี ก็คือหนึ่งในพวกล้มล้างสถาบันตัวหนึ่ง ไม่ต่างจากคนอื่นๆในยุคนี้
ลองมองดูสิ่งที่มีใน ม.ธรรมศาสตร์และการล้มเจ้าซิ


ดูในธรรมศาสตร์แล้วมีอะไรอะครับ??? ตึกโดม??? นี่ไม่ได้กวนตีนนะครับ สงสัยจริงๆ อยากทราบว่าที่ท่านบอกว่าปรีดีมีเจตนาอย่างที่ท่านว่า ผมอยากทราบว่าเพราะอะไร อย่างไร ทำไม เหตุการณ์ใดที่บ่งบอกว่ามีเจตนาดังกล่าว
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby thailandlive » Sat Oct 01, 2011 1:05 am

พ่อสร้างชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ


เหมือนๆจะเคยเห็นกระทู้ท่านปรีดี ที่บอร์ดเสรีไทยนะ

http://forum.serithai.net/viewtopic.php ... 7&start=15
User avatar
thailandlive
 
Posts: 53
Joined: Fri Sep 16, 2011 7:53 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby amplepoor » Sat Oct 01, 2011 1:06 am

ไม่มีประชาชนในสายตาของปรีดี

ผมจะแสดงทัศนะละนะ

ปรีดีเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจออกมาเมื่อเขายึดอำนาจได้แล้ว เค้าโครงนี้เองคือหลักฐานว่าเขาไม่เห็นหัวราษฎร เขาจะทำให่ราษฎรกลายเป็นพนักงานของรัฐ ยกเลิกสิทธิในที่ดิน ....และอื่นๆ อีกมากมาย

สรุปสั้นๆ ว่า รัฐคิดทุกอย่างให้ราษฎร โดยที่ราษำรไม่ต้องแสดงความคิดเห็น นี่ละปัญหา

อนาคตของราษฎร ทำไมปรีดีไม่ให้ราษฎรคิด

พวกเขาจะยอมรับใหมว่าต่อจากนี้ไป เขาจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เขาจะยอมใหม ที่จะต้องประกอบอาชัพตามนโยบายหรือคำสั่งของรัฐ

ทางเดียวที่จะให้ราษฎรคิดและเลือกได้ ปรีดีจะต้องให้เวลาและจะต้องอัดฉีดสำนึกทางประชาธิปไตยให้แก่ราษฎร แปลว่าต้องมีพรรคการเมือง

แต่เค้าโครงเศรษฐกิจนี่ ดูไปแล้วเหมือนประเทศมีพรรคการเมืองพรรคเดียวแฮะ ไอ้การปกครองแบบพรรคเดียวนี่ที่อื่นเรียกอะไรไม่รู้ แต่ที่บ้านผมเรียกคอมมิวนิสต์
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby amplepoor » Sat Oct 01, 2011 1:08 am

sanddolphin wrote:แหมท่าน ผมว่าปรีดีไม่ใช่ไม่เอาเจ้านะแหม เขายังเคยไปเป็นองคมนตรีเลยมั้งน่ะ


ผมบอกแล้วว่า ให้ใช้แนวคิดของ "ณ วันนั้น" ในการทำความเข้าใจเหตุการณ์

การเป็นองคมนตรี ไม่ได้แปลว่าในวันนั้นเอาเจ้านะครับ ศึกษาหน่อยว่าองคมนตรีในเรือน 2480 น่ะ มาจากใหน ทำอะไร
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby คนบาป » Sat Oct 01, 2011 1:10 am

ไม่ใช่แค่องคมนตรีนะครับ เป็นถึงผู้สำเร็จราชการ

และขณะเป็นผู้สำเร็จราชการก็ลงนาม( ในฐานะประมุขของประเทศไทย) ประกาศให้การประกาศสงครามเป็นโมฆะ มีนายกรัฐมนตรีรับสนองฯ

เอาเป็นว่า ท่านปรีดี ชอบทางสังคมนิยม จะเป็นประชาธิปไตยก็คงคล้ายๆ ฝั่งสแกนดิเนเวีย ( มีกษัตริย์ แต่ไม่มีอำนาจอะไร )

พวกที่เรียกร้องประชาธิปไตยแบบเสื้อแดง ก็ไม่กล้าพูดตรงๆว่า จะใช้ประชาธิปไตยแบบไหน จะเอาประธานาธิบดี หรือ สังคมนิยมประชาธิปไตยแบบยุโรป
Last edited by คนบาป on Sat Oct 01, 2011 1:19 am, edited 1 time in total.
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby overtherainbow » Sat Oct 01, 2011 1:19 am

amplepoor wrote:ไม่มีประชาชนในสายตาของปรีดี

ผมจะแสดงทัศนะละนะ

ปรีดีเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจออกมาเมื่อเขายึดอำนาจได้แล้ว เค้าโครงนี้เองคือหลักฐานว่าเขาไม่เห็นหัวราษฎร เขาจะทำให่ราษฎรกลายเป็นพนักงานของรัฐ ยกเลิกสิทธิในที่ดิน ....และอื่นๆ อีกมากมาย

สรุปสั้นๆ ว่า รัฐคิดทุกอย่างให้ราษฎร โดยที่ราษำรไม่ต้องแสดงความคิดเห็น นี่ละปัญหา

อนาคตของราษฎร ทำไมปรีดีไม่ให้ราษฎรคิด

พวกเขาจะยอมรับใหมว่าต่อจากนี้ไป เขาจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เขาจะยอมใหม ที่จะต้องประกอบอาชัพตามนโยบายหรือคำสั่งของรัฐ

ทางเดียวที่จะให้ราษฎรคิดและเลือกได้ ปรีดีจะต้องให้เวลาและจะต้องอัดฉีดสำนึกทางประชาธิปไตยให้แก่ราษฎร แปลว่าต้องมีพรรคการเมือง

แต่เค้าโครงเศรษฐกิจนี่ ดูไปแล้วเหมือนประเทศมีพรรคการเมืองพรรคเดียวแฮะ ไอ้การปกครองแบบพรรคเดียวนี่ที่อื่นเรียกอะไรไม่รู้ แต่ที่บ้านผมเรียกคอมมิวนิสต์

เป็นพนักงานของรัฐ :!:
ตอนนี้ก็สำเร็จไปแล้ว


เรื่องที่ดินอีก
User avatar
overtherainbow
 
Posts: 3123
Joined: Sat Dec 27, 2008 12:36 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 1:34 am

ระบอบการปกครองแบบคอมมิืวนิสต์นี่ผมไม่รู้จักอะครับ แต่ถ้าเป็น "ระบอบเศรษฐกิจ" แบบคอมมิวนิสต์ ผมพอจะสันทัดเล็กน้อย ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าคนเรามักจะคิดว่าประชาธิปไตยต้องเป็นรูปแบบของการมีพรรคการเมือง มีสิทธิมีเสียงมีเสรีภาพในการเลือก ฯลฯ เหล่านี้ มันคือ "เสรีประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นการแต่งงานกันระหว่าง เสรีนิยม กับ ประชาธิปไตย กัมพูชาสมัยเขมรแดงก็บอกว่าเขาเป็นประชาธิปไตย (Democratic Kamphuchea) เวียดนามเหนือก็เคยอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย (Democratic Republic of Vietnam) โดยย่อประชาธิปไตยเนี่ยมันก็มีคนอย่างเช่น รุซโซ มาตีความว่า "พวกลื้อให้อำนาจอั๊วอะ ลื๊อไม่ต่อต้านอั๊ว อั๊วชอบธรรม อั๊วออกกฎหมายมาก็เท่ากับพวกลื๊อออกกันเอง อั๊วเป็นตัวแทนของลื้อถึงลื๊อไม่ได้เลือกอั๊ว แต่ลื้อยอมอั๊วก็เท่ากับลื๊อออกกฎหมายเพื่อกันและกัน" จบเรื่องประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันก่อนหนึ่งแบบสั้นๆชิหาย

ประเด็นที่สองซึ่งเกี่ยวข้องกับเค้าโครงฯ ผมตอบท่านก่อนหน้านี้ว่า
เค้าโครงที่ว่า พระยามโนแรกเริ่มให้ปรีดีร่าง แล้วก็มาเถียงกันเองภายหลังอันด้วยเนื้อหาที่ "สุดโต่ง" ของปรีดี ที่ท่านบอกว่าไม่มีประชาชนอยู่ในนั้นเพราะอะไรครับ ตามความรู้อันน้อยๆของผมนั้น เค้าโครงดังกล่าวมุ่งที่จะัให้ รบ ใช้พันธบัตรซื้อที่ดินสำหรับการเพาะปลูกทั้งหมด ยกเว้นที่อยู่อาศัย= ชาวไร่กลายเป็นลูกจ้างของรัฐบาล ได้รับเงินเดือน รบ คุมการค้าที่ใหญ่ที่สุด (ข้าว) เป็นการตัดคนกลางคือ มันกระทบต่อขุนนางในระบอบเก่าซึ่งหลายๆคนมีพื้นฐานร่ำรวยมาจากที่ดิน สั้นๆก็คือ ไอ้เค้าโครงเนี้ยมันเน้น equality มากกว่า freedom มันมีแนวโน้มจะเป็นสังคมนิยมมากกว่า (ไม่ได้เห็นด้วยกับปรีดีนะบอกไว้ก่อน)
ซึ่งผมพยายามจะตั้งข้อสังเกตว่า "ปรีดีมีจุดประสงค์เพื่อประชาชนหรือเปล่า" แน่นอน"ปรีดีมีประชาชนในเค้าโครงฯ" แน่นอนๆ แต่จะให้ราษฎรคิดด้วยไหมนั้น บอกเลยว่าไม่ทราบ แต่ถ้าหากว่าปรีดีดึงดันจะดำเนินนโยบายเสรีนิยมสุดโต่งละก็ 1.ในเวลานั้นสภาพความเหลื่อมล้ำในสังคมมันสูงมาก ยิ่งได้แรงกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกอีก (และถ้าจำไม่ผิดก่อน 2475 จะมีปัญหาเรื่องงบระหว่างรัฐมนตรีด้วย) ถ้าดำเนินนโยบายเสรีนิยมจ๋าละก็ ชาวบ้านทั้งหลายที่ทุนก็น้อย และซ้ำยังต้องมาแข่งขันกับกลุ่มระบอบเก่าที่พรั่งพร้อมไปด้วยทุน (แข่งในกรอบที่มีเกมส์ใหม่เรียกว่า "ระบอบรัฐธรรมนูญ") ไม่มีทางที่คนที่ทุนน้อยจะลืมตาอ้าปากได้แน่ 2. เมื่อความเหลื่อมล้ำหนักขึ้น ความชอบธรรมของคณะราษฎรก็ถูกกัดกร่อนไปด้วยเช่นกัีน อารมณ์ประมาณว่า "ไอ้ HA กูอยู่กับระบอบเดิมสบายกว่านี้อีก" 3.การที่จะริเริ่มประชาธิปไตยละก็สิ่งที่สำคัญมากก็คือ จิตสำนึกอย่าง "ชนชั้นกลาง" กล่าวคือ ลื้อต้องมีแหลกก่อนลื้อถึงจะมาเริ่มพะวงกับความรักหรือการเมืองได้ (ต่างจากสมัยนี้นะ) 4.ผมไม่ทราบว่าเขาจะนำเค้าโครงฯนี้มาใช้นานเท่าไร 5.ประเทศส่วนมากหลังจากที่ได้รับอิสรภาพจากอาณานิคมก็ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมทั้งสิ้น 6..ผมไม่เคยพูดว่าปรีดีเป็นนักประชาธิปไตย (แบบเสรี หรือแม้กระทั่งแบบไหนก็ตาม)
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby ดราม่า » Sat Oct 01, 2011 1:34 am

ขอบคุณamplepoor สำหรับลิงค์นะครับ

อ่านดูแล้ว ถ้าดำเนินนโยบายแบบท่านปรีดี ประเทศไทยจะวิบัติเหมือนประเทศจีนยุคแก๊ง4คนแน่นอน ขอยกมาให้อ่านทั้งหมดแล้วกันครับ

ใน พระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดงความเห็นโต้แย้งแนวคิดทางเศรษฐกิจของ ปรีดี พนมยงค์ แทบจะทุกประเด็น เริ่มตั้งแต่ หมวดที่ 1 ว่าด้วยหลักของคณะราษฎร ทรงก็ “ขอให้ฟังเสียงของราษฎรจริงๆ อย่างได้หักโหมบังคับเอาโดยทางอ้อม หรือทางใดทางหนึ่ง ให้ออกเสียงเห็นด้วยเลย ขออย่างโกรษราษฎรถ้าเขาพากันออกเสียงว่าไม่ชอบวิธีเหล่านี้ ซึ่งย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจแก่พวกของผู้เขียนโดยแน่นอน และอย่างได้ว่าราษฎรนั้นถือทิฐิมานะงมงายหรือเป็นอุบาทว์กาลีโลก”, ส่วนเรื่องของ “ความไม่เที่ยงแท้แห่งการเศรษฐกิจในปัจจุบัน” ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 2 ของเค้าโครงการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่อง “ความแร้นของราษฎร” นั้น รัชกาลที่ 7 ทรงโต้แย้งว่า “ราษฎรของเราตลอดจนชั้นคนขอทานยังมิปรากฏเลยว่าอดตาย คนที่อดตายจะมีก็แต่คนที่กลืนไม่ลงเพราะความเจ็บไข้เท่านั้น แม้แต่สุนัขตามวัดก็ปรากฏยังไม่มีอดตาย...ราษฎรของเรามีน้อยคนหรือเกือบจะไม่มีก็ได้ที่นอนกลางคืนแล้วนึกว่ารุ่งขึ้นเช้าจะหากินไม่ได้ นอกจากผู้นั้นจะกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ หาไม่ฉะนั้น คงหากินได้เสมอ” [8]

ในหมวดที่ 3 ข้อ 3 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโต้แย้งว่า “ค่าประกันความสุขสมบูรณ์อันนี้ คือ ต้องสละเสรีภาพเสีบละกระมัง การเป็นไทยจะกลายเป็นทาสเสียละกระมัง เพราะตามที่ปรากฏในประเทศรัสเซีย ซึ่งก็ใช้วิธีประกันแบบนี้เหมือนกัน ราษฎรต้องประกันความสุขด้วยเสรีภาพของเขา และยอมตนเป็นทาสของรัฐบาล” สำหรับข้อ 4 ที่ว่าด้วยเรือง “ราษฎรชอบเป็นข้าราชการ” นั้น พระองค์ก็โต้แย้งว่า “ความข้อนี้อาจเป็นจริงได้ แต่ไม่ใช่จริงอย่างตลอด เพราะเหตุว่าความหมายของราษฎรให้คำว่า ‘ข้าราชการ’ นั้นมิได้หมายดังที่ผู้เขียนหมาย ‘ข้าราชการ’ ตามความจริงของราษฎรนั้น คือผู้นั่งชี้นิ้วอำนวยการงาน หรือผู้นั่งโต๊ะเป็นเสมียน กินน้ำชาและงานเบาๆ ในประเภทเช่นว่านี้ ข้าราชการเช่นนั้น ข้าพเจ้ายอมรับว่าราษฎรอยากเป็นจริง เพราะสบายดี ไม่ต้องเหนื่อยยากอันใด แต่ถึงกระนั้นเองก็ยังไม่เป็นการจริงทั้งสิ้น เพราะมีราษฎรหลายคนที่ไม่พึงประสงค์จะเป็นแม้แต่เสมียน เขาชอบประกอบการอาชีพทำการอิสระ ดั่งนี้มักมีจำนวนอยู่มากไม่น้อย” [9]

ในบทที่ 1 ที่ว่าด้วยเรื่อง “แรงงานที่เสียไปโดยที่มิได้ใช้ให้เต็มที่” ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 4 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “แรงงานที่สูญเสียไปและพวกหนักโลก” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโต้แย้งว่า “การที่จะจัดให้ราษฎรมาทำงานให้แก่รัฐบาลดังนี้ได้ โดยรัฐบาลมีอำนาจเต็มที่จะสั่งอะไรก็ได้ ในเวลากำหนดเท่าใดก็ได้ ดังแผนนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ถ้าจะทำได้ก็คงต้องถึงใช้การบังคับกันอย่างหนัก ถึงกับต้องยิงกัน อย่าลืมว่าคนไทยนันรักเสรีภาพความเป็นอิสระอยู่ในเลือดแล้ว เขาย่อมสละเสรีภาพมาให้ง่ายๆ ไม่ได้แน่ ถ้าจะต้องบังคับกันอย่างนี้แล้ว จะสมควรละหรือ เราหวังจะให้ความสุขสมบูรณ์แก่ราษฎรทั่วไป การต้องบังคับกดคอให้เขาทำงานนั้น จะจัดว่าให้ความสุขสมบูรณ์แก่เขาอย่างไร มันจะกลายเป็นให้ทุกข์สมบูรณ์เสียมากกว่า” ส่วนบทที่ 4 ที่ว่าด้วยเรื่อง “แรงงานที่เสียไปเพราะบุคคลที่เกิดมาหนักโลก” นั้น ทรงวิจารณ์ว่า

“ ความหนักโลกดังผู้เยนกล่าวนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะหมดไปได้ นอกจากนั้นใครจะยอมว่าใครหนักโลก ตัวก็พูดว่าคนอื่นหนักโลก เรามักเห็นตัวเราไม่ถนัด เขาหนักเสมอ ต่างก็นึกเช่นนั้นเสมอเป็นธรรมดา เราเห็นว่าเราทำความดีให้ชาติ คนอื่นเขาก็คงมีเหตุผลอย่างเดียวกันที่จะนึก ดังนั้น คนเราย่อมมีใจคิดด้วยกัน ใครจะมาเป็นผู้ตัดสินว่า ใครผิดใครถูกโดยไม่มีข้อพิสูจน์อย่างใดชัดย่อมไม่ได้ เช่น พวกปรปักษ์ของรัฐบาลบางจำพวกที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เขาอาจเห็นตัวเขาไม่หนักโลก แต่เห็นคนอื่นหนักก็ได้[10] ”

สำหรับหมวดที่ 5 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “วิธีซึ่งรัฐบาลจะหาที่ดิน แรงงาน เงินทุน” ที่ปรีดี พนมยงค์ เน้นย้ำว่า “หลักการสำคัญที่ควรคำนึงก็คือ รัฐบาลต้องดำเนินการวิธีโดยละม่อม ไม่ประหัตประหารคนมั่งมี” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเตือนว่า “ข้าพเจ้าขอให้เป็นดังนั้นจริงๆ เถิด ลงท้ายเข้าเกรงจะหันเข้าหาวิธีรัสเซียใช้ คือ เก็บภาษีสูบเลือดไปทีละเล็กละน้อย ให้ใบบอนด์ซึ่งมีราคาเกินกระดาษ จัดการเข้าประหารคนมั่งมี หาว่าคนมั่งมีหนักโลกเสียละกระมัง” ในข้อที่ 16 ที่ว่าด้วยเรื่อง “รักชาติหรือรักตัว” พระองค์ก็ทรงโต้แย้งว่า “การที่จะพูดว่า คนที่เช่าที่เขาหรือคนที่มีที่ดินของตัวเองว่าใครจะรักชาติมากกว่าใครนั้นเฉยๆ ไม่ได้ เราจะรู้ได้ว่าใครจะรักมากกว่าใคร กลับจะต้องไปพิสูจน์เสียอีกว่า ถ้าชาติพังทะลายเสียแล้ว ผู้ใดจะเสียประโยชน์มากกว่ากันเป็นคะแนนวัดความรักชาติเสียอีก เพราะคนย่อมรักของๆ ตัวและประโยชน์ของตัวเป็นใหญ่จึงจะมีความรักใคร่ส่วนรวม คือ ชาติ” ส่วนที่ปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า “ข้าราชการบางคนเกียดกันไม่อยากให้ราษฎรเป็นข้าราชการ” นั้น พระองค์ก็ทรงโต้แย้งว่า “คำพูดเช่นนี้เป็นการกล่าวโทษข้าราชการโดยไม่ยุติธรรม”[11]

ส่วนหมวดที่ 6 ว่าด้วยเรื่อง “การจัดทำรายได้และรายจ่ายของรัฐบาลเข้าสู่ดุลยภาพ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่ว่าด้วยเรื่อง “การจัดการเศรษฐกิจโดยรัฐบาลต้องระวังไม่ให้มนุษย์กลายสัตว์” นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิจารณ์ว่า “การที่จะไม่ให้คนกลายเป็นสัตว์นั้น ย่อมอยู่ที่คอยเพ่งเล็งมิให้เขาเสียเสรีภาพของเขาเป็นส่วนใหญ่ แต่ตามโครงการเศรษฐกิจที่ผู้เขียนกล่าวไว้แล้วนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะทำให้เป็นผลสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่ใช้การบังคับ” ซึ่งก็จะทำให้ราษฎรกลายเป็นทาสเช่นเดียวกับในช่วงก่อนที่รัชกาลที่ 5 จะทรงประกาศเลิกทาส “แทนที่จะเรียกว่าข้าราชการก็กลายเป็นรัฐทาสเสียมากกว่า สัตว์นั้นอดหยากได้ยากกว่ามนุษย์ เพราะมันหาหย้ากินได้สบายกว่า แต่รัฐทาสนี้ไม่มีทางใดจะหากินทีเดียวนอกจากเป็นทาส” [12] ขณะที่พระองค์ไม่ทรงวิจารณ์หมวดที่ 7 ว่าด้วยเรื่อง “การแบ่งงานออกเป็นสหกรณ์” มากนัก ทรงวิจารณ์หมวดที่ 8 “รัฐบาลจะจัดให้มีการเศรษฐกิจชนิดใดบ้างในประเทศ” โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วยเรื่อง “ป้องกันปิดประตูการค้า” อย่างรุนแรงว่า

“ การที่จะคิดป้องกันการปิดประตูค้านี้ก็เป็นการดีอยู่ แต่ถ้าจะพูดถึงความจำเป็นแล้วว่า เราควรจะกลัวการปิดประตูค้าแล้วหรือไม่ ก็จะต้องตอบว่าไม่ควรกลัวเลย การปิดประตูการค้านี้ ถ้าใครจะทำกับประเทศสยามแล้ว ก็เป็นการโง่ของผู้นั้น เพราะจะมาเสียเงินทำเช่นนั้นทำไม มีวิธีอื่นที่จะบังคับให้ประเทศสยามยอมจำนนได้ถมเถไป มีอาทิเช่น ส่งเรือรบซึ่งมีเครื่องบินบรรทุกอยู่เสร็จเข้ามากับเรือครูเซอร์ บรรทุกทหารมาขึ้นที่กรุงเทพฯ ก็คุมกรุงเทพฯ อยู่แล้ว ทุกวันนี้เราย่อมรู้ดีว่าเพื่อนบ้านเขาไม่ชอบวิธีการเศรษฐกิจแบบนี้ ถ้าเราทำขึ้นเมื่อใดก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะไม่ส่งคนของเขาเข้ามายึดทรัพย์สิ่งของเราดั่งกล่าวแล้ว กวาเราจะมีกำลังพอป้องกันการปิดประตูค้าได้ บ้านเมืองของเราก็หมดไปเสียแล้ว โดยแม้แต่บานประตูก็คงจะยังทำไม่แล้วทัน เพราะฉะนั้น การกลัวที่จะปิดประตูค้านี้เป็นการกลัวที่หามูลมิได้ เป็นการเอาอย่างประเทศรัสเซียเท่านั้น[13] ”

สำหรับหมวดที่ 9 ซึ่งว่าด้วย “การป้องกันความยุ่งยากในปัญหาเรื่องนายจ้างกับลูกจ้าง” โดยเฉพาะในหัวข้อ “เอกชนเป็นเจ้าของโรงงานทำให้ระส่ำระสาย” พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิจารณ์ว่า “ถ้ารัฐบาลจัดการทำเศรษฐกิจเสียเองหมดแล้ว และห้ามไม่ให้ราษฎรไปทำนาเอง ไม่ให้ราษฎรจับจองที่ดินเอง โดยจำกัดการออกสัมปทานแล้ว การระส่ำระสายดังว่าน่าจะมีมากกว่านั้น” ส่วนที่ ปรีดี พนมยงค์ บอกว่า “รัฐบาลทำมีกำไร” นั้น “ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรมาเป็นของประกันว่าผลที่ทำนั้นจะดี นอกจากความเชื่อว่าจะดีเท่านั้น แต่ถ้าผลนั้นร้าย ราษฎรก็พากันอดตายไปหมด จะมีผู้ที่ไม่ไปร่วมอดอยากกับราษฎร ก็คือ พวกท่านที่ชำนาญคอยชี้นิ้วอำนวยการเท่านั้น” และตามธรรมดานั้นถ้ารัฐบาลทำอะไรแล้ว อาจเป็นการเปลืองมาก “การขาดทุนนั้นจะเกิดขึ้นได้” เพราะถึงแม้รัฐบาลจะจัดระเบียบอย่างดี ข้อเสียหายก็อาจเกิดจากการอื่น และเมื่อขาดทุนแล้ว “รัฐบาลไม่ช้าก็ต้องเที่ยวกดขี่คนโดยขึ้นภาษีเป็นสิ่งของ” ซึ่งก็เท่ากับเป็นการริบทางอ้อม “แล้วความสันติสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าแลไม่เห็น” [14]

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไม่มีความเห็นแย้งต่อหมวดที่ 10 ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ” แต่อย่างใด เพียงแต่ขอให้ผู้ร่างแผน “ลองสำรวจดู” ให้ละเอียดถี่ถ้วน แต่สำหรับหมวดที่ 11 ซึ่งว่าด้วย “ผลสำเร็จอันเกี่ยวแก่หลัก 6 ประการ” อันได้แก่ เอกราช, การรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน, การเศรษฐกิจ, เสมอภาค, เสรีภาพ และ การศึกษา นั้น พระองค์ทรงวิจารณ์ทุกเรื่องและมีความเห็นในทางตรงข้ามทั้งหมด เช่น เรื่อง “เอกราชทางเศรษฐกิจ” พระองค์ทรงวิจารณ์ว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อเลยว่าประเทศเราจะอยู่ได้เฉยๆ โดยไม่ต้องค้าขายกับผู้ใด เมื่อเป็นเช่นนี้ราคาในโลกเขามีอยู่อย่างไร เราก็คงต้องกัดฟันซื้อขายอยู่อย่างเดิม เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นเอกราชในทางเศรษฐกิจนั้นคงยังจะไม่ได้แน่”, เรื่อง “เอกราชทางการเมือง” ก็ทรงวิจารณ์ว่า “ถ้าเราดำเนินวิธีการเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว ความเป็นเอกราชในทางการเมืองอาจจะมีไม่ได้ เพราะในชั้นต้นเราย่อมทราบดีแล้วว่า การดำเนินการตามโครงการนี้เป็นวิธีการดั่งที่ประเทศรัสเซียดำเนินอยู่” ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านของเราเห็นว่าเป็นวิธีการของ “คอมมิวนิสต์”, เรื่อง “การรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน” ก็ทรงวิจารณ์ว่าน่าจะทำไม่ได้ดีนัก, เรื่อง “การเศรษฐกิจ” ก็ทรงวิจารณ์ว่า น่าจะลงเอยแบบรัสเซีย นั่นคือ มี “ราษฎรอดอยากยิ่งกว่าแต่ก่อนใช้โครงการเศรษฐกิจเป็นอันมาก” [15]

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงวิจารณ์หลัก 6 ประการข้ออื่นๆ ด้วย เรื่อง “ความเสมอภาค” ทรงวิจารณ์ว่า “จะมีความเสมอภาคได้อย่างไร ข้าราชการส่วนหนึ่งต้องทำงานเป็นทาส และอีกส่วนหนึ่งเป็นนายผู้ชำนาญทำงานชี้นิ้ว ความเสมอภาคที่ผู้เขียนกล่าวนั้นไม่ใช่มีแต่บนกระดาษ เป็นแต่เพียงเสมอภาคด้วยชื่อ”, เรื่อง “เสรีภาพ” ทรงวิจารณ์ว่า “เมื่อห้ามปรามขัดขวางไม่ให้ราษฎรทำตามสมัครใจได้ดังกล่าวแล้ว ก็เท่ากับตัดเสรีภาพ ก็เมื่อรัฐบาลตั้งใจจะตัดเสรีภาพเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการนำความสุขสมบูรณ์มาให้แล้วก็จะทิ้งคนให้มีชีวิตอยู่ทำไม ประหารชีวิตมันเสียให้หมดก็แล้วกัน มันจะได้ไม่ตายดีกว่าที่จะสละทิ้งเสรีภาพของตน” และสุดท้าย เรื่อง “การศึกษา” ทรงวิจารณ์ว่า “การบังคับให้เรียนหรือการบังคับต่างๆ นี้ ทำไมผู้เขียนจึงชอบนัก ก็จะการชักชวนแทนมิได้หรือ ถ้าจะจัดการศึกษาควรจะต้องชักชวนให้ราษฎรรักการศึกษา และให้ความสะดวกในการศึกษา ทำไมจะต้องใช้แต่ไม้บังคับตลอดไป” [16]

ควรกล่าวด้วยว่า ใน พระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจ ของ ปรีดี พนมยงค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงวิจารณ์ “เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” และ “เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ” อย่างละเอียดด้วย จากนั้นในท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรง “สรุปความ” ว่า

“ เรื่องที่ได้พิจารณามาแล้วนี้ย่อมเป็นความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ซึ่งจะเป็นการถูกต้องหรือไม่นั้นก็เป็นแต่ความคิดของข้าพเจ้าเท่านั้น การที่จะรู้ว่าใครเป็นคนถูกหรือผิดก็ต้องทดลองดูเท่านั้นจึงจะเห็นได้ แต่มีข้อสำคัญอันหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนอย่างไม่ต้องเป็นสิ่งสงสัยเลยว่า โครงการนี้นั้นเป็นโครงการอันเดียวอย่างแน่นอนกับที่ประเทศรัสเซียใช้อยู่ ส่วนใครจะเอาอย่างใครนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ สตาลินจะเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ หรือหลวงประดิษฐ์ฯ จะเอาอย่างสตาลินก็ตอบไม่ได้ ตอบได้ข้อเดียวว่า โครงการทั้ง 2 นี้เหมือนกันหมด เหมือนกันจนรายละเอียดเช่นที่ใช้และรูปแบบของวิธีการกระทำ จะผิดกันก็แต่รัสเซียนั้นแก้เสียเป็นไทย หรือไทยนั้นแก้เป็นรัสเซีย ถ้าสตาลินเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ ข้าวสาลีแก้เป็นข้าวสาร หรือข้าวสารแก้เป็นข้าวสาลี รัสเซียเขากลัวอะไร ไทยก็กลัวอย่างนั้นบ้าง รัสเซียเขาหาวิธีตบตาคนอย่างไร ไทยก็เดินวิธีตบตาคนอย่างนั้นบ้าง
..............

แต่ในส่วนโครงการเศรษฐกิจแบบหลวงประดิษฐ์ฯ นี้ ควรเลิกล้มความคิดเสีย เพราะแทนที่จะนำมาซึ่งความสุขสมบูรณ์ของประเทศชาติบ้านเมืองดังกล่าวนั้น กลายเป็นสิ่งนำมาซึ่งความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า จนเป็นความหายนะถึงแก่ความพินาศแห่งประเทศ และชาติบ้านเมืองอันเป็นมรดกที่เราคนไทยได้รับมาแต่บรรพบุรุษ


ประชาธิปก
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์


สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก

"กฎหมายภาษีที่ดินเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาช่องว่างรายได้"
User avatar
ดราม่า
 
Posts: 1670
Joined: Mon Jan 10, 2011 2:37 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 1:41 am

amplepoor wrote:
sanddolphin wrote:แหมท่าน ผมว่าปรีดีไม่ใช่ไม่เอาเจ้านะแหม เขายังเคยไปเป็นองคมนตรีเลยมั้งน่ะ


ผมบอกแล้วว่า ให้ใช้แนวคิดของ "ณ วันนั้น" ในการทำความเข้าใจเหตุการณ์

การเป็นองคมนตรี ไม่ได้แปลว่าในวันนั้นเอาเจ้านะครับ ศึกษาหน่อยว่าองคมนตรีในเรือน 2480 น่ะ มาจากใหน ทำอะไร


ประทานโทษ ข้อมูลคาดเคลื่อนเล็กน้อยครับ ผมหมายถึงผู้สำเร็จราชการ (เวรกรรมเลยตรู) คือ ปรีดีมีส่วนกับ 2475 ยังเสนอให้ดำรงสถาบันไว้ หรือแม้กระทั่งยุคเฟื่องอำนาจสุดๆก็ตามที อย่างเช่นในปี 2488-89 สรุป ท่านจะให้ปรีดีเกลียดเจ้าให้ได้ว่างั้น??? ถ้าอย่างนั้นผมก็อยากทราบว่าเพราะเหตุใด (ต้องมีกรณีในโรงหนังแหงมๆ)
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby ดราม่า » Sat Oct 01, 2011 1:44 am

sanddolphin สำหรับผมการที่รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วให้ประชาชนมารับจ้างผลิตนั้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว ด้วยหลักคิดง่ายๆคือ "ถ้าผลิตแล้วผลผลิตต้องเข้าส่วนกลาง จะเป็นการลงโทษคนขยัน"

สุดท้ายวิธีนี้ก็จะล้มเหลวเพราะความขี้เกียจของคน (ขยันกับขี้เกียจก็ได้เท่ากัน แล้วจะขยันไปทำไม...ธรรมชาติมนุษย์)


ส่วนเรื่องความเหลื่อมล่ำนั้น"เวลา"ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่า คนจีนที่มีต้นทุนสังคมต่ำสุดในเวลานั้น ตอนนี้กุมทั้งอำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจการเมือง...

สรุปสำหรับผม ความคิดท่านปรีดีวัยหนุ่มนั้นผิดครับ (แต่ไม่ได้จะบังอาจไปตัดสินท่าน "เวลา"ต่างหากที่ตัดสิน)
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์


สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก

"กฎหมายภาษีที่ดินเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาช่องว่างรายได้"
User avatar
ดราม่า
 
Posts: 1670
Joined: Mon Jan 10, 2011 2:37 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 1:54 am

ดราม่า wrote:sanddolphin สำหรับผมการที่รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วให้ประชาชนมารับจ้างผลิตนั้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว ด้วยหลักคิดง่ายๆคือ "ถ้าผลิตแล้วผลผลิตต้องเข้าส่วนกลาง จะเป็นการลงโทษคนขยัน"

สุดท้ายวิธีนี้ก็จะล้มเหลวเพราะความขี้เกียจของคน (ขยันกับขี้เกียจก็ได้เท่ากัน แล้วจะขยันไปทำไม...ธรรมชาติมนุษย์)


ส่วนเรื่องความเหลื่อมล่ำนั้น"เวลา"ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่า คนจีนที่มีต้นทุนสังคมต่ำสุดในเวลานั้น ตอนนี้กุมทั้งอำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจการเมือง...

สรุปสำหรับผม ความคิดท่านปรีดีวัยหนุ่มนั้นผิดครับ (แต่ไม่ได้จะบังอาจไปตัดสินท่าน "เวลา"ต่างหากที่ตัดสิน)


ไม่ได้ defend ใครนะครับ แต่ถ้าลองมองย้อนไปในบริบทในช่วงเวลานั้น ลองคิดดูว่ามีสถานที่ไหนบ้างที่มองว่าระบอบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมจ๋ามันล้มเหลว มันพึ่งจะมาล้มให้เป็นรูปธรรมยี่สิบกว่าปีก่อนนี้เอง ทำให้พิสูจน์ว่ามันไม่เวิร์ค ฉะนั้นถ้ามองในบริบทของเวลานั้นสามารถคิดว่าปรีดีทำเพื่อประชาชนได้ไหม? ก็อาจจะเป็นไปได้ และปรีดีก็ไม่ได้เสนอให้มีการล้มอำนาจของในหลวงรัชกาลที่ 7 นี่ครับ ประเด็นที่ว่าไอ้ระบอบอย่างนี้เวิร์คไม่เวิร์คมันอีกเรื่องหนึ่ง (ไม่เวิร์คในระยะยาว)

ยิ่งท่านยกกรณีจีนมานั้นยิ่งแล้วใหญ่เลย รัฐจีนถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทุกตารางนิ้วเสียด้วยซ้ำ ที่ประสบความสำเร็จทางการเมือง คือมีส่วนสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ประชากรไปด้วย รวมถึงปล่อยให้มีทุนเข้ามาในปี 1979 ด้วย ตือเติ้งเน้นไปที่ 4 modernizations เริ่มด้วย Agriculture, industry, science-tech, and military defense คือไม่เปิดเสรีเสียทีเดียวแต่ให้คนมันมีแหลกก่อนละกัน(ไม่งั้นล้มเหลวอย่างในชีลี 1975 ซึ่งนำยาขนาน Chicago มาฉีดซะจนอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 325 เปอร์เซนต์ อัตราว่างงานมากกว่า 30 เปอร์เซนต์ )
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby คนบาป » Sat Oct 01, 2011 1:57 am

ถ้าไม่เอากษัตริย์ตั้งแต่เริ่ม ก็ฆ่ากันตายเป็นเบือซีครับ เพราะฐานของพระเจ้าแผ่นดินมีทั่วประเทศ

พวกที่หัวนอก รู้เรื่องการเมืองในพระนครมีซักกี่คน น่าจะไม่เกิน 500 คน

เพราะจะว่าไป ฝ่ายเอาเจ้าแค่ไม่อยากต่อสู้ แต่ค่อยๆ รวมตัวหาแนวร่วม

จนเกิดพรรค ปชป. ที่เอาเจ้าตั้งแต่ต้น มันก็เลยกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมามาจนทุกวันนี้

ฝ่ายไม่เอาเจ้าเพิ่งจะมาโผล่หัวเอาก็ต่อเมื่อทักษิณโดนไล่ออกนอกประเทศ แค่นั้นเอง

ก่อนนี้กล้าพูดซะที่ไหน เอาเถอะ พอทักษิณหมดบุญ พวกที่จ้องจะล้มเจ้าก็ต้องวิ่งเข้ารูเหมือนเดิมนั่นแหละ
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby baezae » Sat Oct 01, 2011 1:59 am

ส่วนตัวเลยนะครับ สิ่งที่ปรีดี"ผิด" คือ

๑. ปรีดีไปร่ำเรียนด้วยทุนหลวง เป็นหนี้บุญคุณหลวง แต่เนรคุณหลวง

๒. ปรีดีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วทวนน้ำ ลูกผู้ชายเราให้คำไหนออกจากปาก ผมเห็นว่ามันย้อนกลับไม่ได้

๓. ปรีดีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่"ฝืน"ใช้อำนาจและกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้ดูภาวะรอบข้าง อุปมาเหมือนเร่งให้แม่ไก่ออกไข่ด้วยวิธีการบีบท้อง ซ้ำแล้วไอ้ที่ได้ก็ไม่พ้นขี้ไก่

๔. ปรีดีในทีแรกอาจจะหวังดี แต่เมื่อมีอำนาจกลับหลงเมาไปกับอำนาจนั้น ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ยิ่งนำพาให้ประเทศชาติห่างจากประชาธิปไตยหนักเข้าไปอีก

ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ของที่มันได้มาจากความอกตัญญู การทรยศหักหลัง การขู่บังคับ มันไม่มีทางเป็นของดี ประชาธิปไตยของไทยก็เป็นเช่นนั้น"

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หากสยามหรือไทย ได้ทำการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจดังเช่นที่ได้ทรงเตรียมธรรมนูญประชาธิปกไว้ ประชาธิปไตยของไทยเราปัจจุบัน จะสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยมากกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเช่นเดียวกับการค่อย ๆ ทรงเลิกทาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ครับ
ถ้าคุณเป็นเสื้อเหลือง ผมคุยกับคุณได้ และหัวเราะให้กันได้
ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ผมก็คุยกับคุณได้ และหัวเราะใ้ห้กันได้
แต่ถ้าคุณเป็นควายล้มเจ้าไม่ว่าจะสีไหน ผมจะด่าอย่างเดียว
User avatar
baezae
 
Posts: 1144
Joined: Thu Feb 18, 2010 10:43 am

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby rakchart thai » Sat Oct 01, 2011 1:59 am

amplepoor wrote:ไม่มีประชาชนในสายตาของปรีดี

ผมจะแสดงทัศนะละนะ

ปรีดีเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจออกมาเมื่อเขายึดอำนาจได้แล้ว เค้าโครงนี้เองคือหลักฐานว่าเขาไม่เห็นหัวราษฎร เขาจะทำให่ราษฎรกลายเป็นพนักงานของรัฐ ยกเลิกสิทธิในที่ดิน ....และอื่นๆ อีกมากมาย

สรุปสั้นๆ ว่า รัฐคิดทุกอย่างให้ราษฎร โดยที่ราษำรไม่ต้องแสดงความคิดเห็น นี่ละปัญหา

อนาคตของราษฎร ทำไมปรีดีไม่ให้ราษฎรคิด

พวกเขาจะยอมรับใหมว่าต่อจากนี้ไป เขาจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เขาจะยอมใหม ที่จะต้องประกอบอาชัพตามนโยบายหรือคำสั่งของรัฐ

ทางเดียวที่จะให้ราษฎรคิดและเลือกได้ ปรีดีจะต้องให้เวลาและจะต้องอัดฉีดสำนึกทางประชาธิปไตยให้แก่ราษฎร แปลว่าต้องมีพรรคการเมือง

แต่เค้าโครงเศรษฐกิจนี่ ดูไปแล้วเหมือนประเทศมีพรรคการเมืองพรรคเดียวแฮะ ไอ้การปกครองแบบพรรคเดียวนี่ที่อื่นเรียกอะไรไม่รู้ แต่ที่บ้านผมเรียกคอมมิวนิสต์


ท่านamplepoorอย่าพึ่งใจเย็นก่อนนะครับ อธิบายหลายอย่างมากๆ แม้แต่นิติราดก็ไม่เข้าใจ .. ผมว่าเอาทีละประเด็นเป็นฉากๆดีกว่า ..
เช่น ..
เค้าโครงนี้เองคือหลักฐานว่าเขาไม่เห็นหัวราษฎร เขาจะทำให่ราษฎรกลายเป็นพนักงานของรัฐ

ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมมองว่า เป็นการชิงสุกก่อนห่าม ... จริงๆผมอยากใช้คำว่าแย่งชิง หรือกรรโชกทรัพย์ มากกว่า.. คิดดูสิครับ ถ้าเสด็จพ่อรัชกาลที่ห้าของเราไม่ยกเลิกทาส ถ้าเจ้าฟ้าไม่ฝักใฝ่ระบบประชาธิปไตย คงไม่มีคำว่า ดุสิตธานี ซึ่งเป็นโมเดลตัวอย่าง ที่ล้ำยุคมากในสมัยนั้น พระองค์ท่านคิดได้ยังไงที่จะทำการทดลองก่อน ตามหลักวิชาแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อพร้อมพระองค์ท่านก็พร้อมจะเสียสละพระราชอำนาจของพระองค์ให้ประชาชนอยู่แล้ว ..
แต่อ้ายพวกโจรสลัดห้าร้อย ก็มาปล้นผลงานของพระองค์ท่านไป แถมแอบอ้างผลงานเพื่อประชาชนอีก ..น่าละอายจริงๆ .. ดีที่ไม่ตายดีสักคน ..
User avatar
rakchart thai
 
Posts: 454
Joined: Thu May 20, 2010 11:58 am

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 1:59 am

ปล เขาเรียกว่าโมเดล "ฉันทามติปักกิ่ง" แต่ว่าไอ้ระบอบอย่างนี้ของจีนนั้น กล่าวถึงในทางการเมืองก็จะค่อยๆมีการปรับเปลี่ยนเข้าสู่รูปแบบที่เปิดกว้างทีละน้อยอันด้วยเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลาง http://www.economist.com/node/18866989 ลองตามดูถ้าสนใจนะท่าน ผมก็หาๆข้อมูลจะเขียนเกี่ยวกับช่วงเปลี่ยนผ่านอยู่พอดี
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby overtherainbow » Sat Oct 01, 2011 2:01 am

ดราม่า wrote:sanddolphin สำหรับผมการที่รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วให้ประชาชนมารับจ้างผลิตนั้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว ด้วยหลักคิดง่ายๆคือ "ถ้าผลิตแล้วผลผลิตต้องเข้าส่วนกลาง จะเป็นการลงโทษคนขยัน"

สุดท้ายวิธีนี้ก็จะล้มเหลวเพราะความขี้เกียจของคน (ขยันกับขี้เกียจก็ได้เท่ากัน แล้วจะขยันไปทำไม...ธรรมชาติมนุษย์)


ส่วนเรื่องความเหลื่อมล่ำนั้น"เวลา"ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่า คนจีนที่มีต้นทุนสังคมต่ำสุดในเวลานั้น ตอนนี้กุมทั้งอำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจการเมือง...

สรุปสำหรับผม ความคิดท่านปรีดีวัยหนุ่มนั้นผิดครับ (แต่ไม่ได้จะบังอาจไปตัดสินท่าน "เวลา"ต่างหากที่ตัดสิน)

เวลาอดีต ก็ไม่มีความหมายต่อประชาชน

เวลาปัจจุบัน ก็อย่างที่เห็นและเป็นอยู่

เวลาอนาคต คงไม่ต้องพุดถึง

สรุป

คือเป็นการแย่งชิงอำนาจเพื่อตัวเอง

หรือปล่าว

โอเคตอนนั้นอาจคิดถึงประชาชนจริง

แต่ผลมันไม่ใช่

ไม่กล่าวหาใคร

แค่อยากบอกว่า

เมื่อไม่ใช่แต่แรก ก็ไม่ควรหยิบยกมาชำแหล่ะใหม่ ให้หม่นใจกัน

ละเอาไว้ว่าเจตนาดี ก็ได้

แต่คนที่แอบอ้างปรีดีนี่ซิ มันน่ามั้ย
User avatar
overtherainbow
 
Posts: 3123
Joined: Sat Dec 27, 2008 12:36 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby rakchart thai » Sat Oct 01, 2011 2:02 am

baezae wrote:ส่วนตัวเลยนะครับ สิ่งที่ปรีดี"ผิด" คือ

๑. ปรีดีไปร่ำเรียนด้วยทุนหลวง เป็นหนี้บุญคุณหลวง แต่เนรคุณหลวง

๒. ปรีดีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วทวนน้ำ ลูกผู้ชายเราให้คำไหนออกจากปาก ผมเห็นว่ามันย้อนกลับไม่ได้

๓. ปรีดีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่"ฝืน"ใช้อำนาจและกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้ดูภาวะรอบข้าง อุปมาเหมือนเร่งให้แม่ไก่ออกไข่ด้วยวิธีการบีบท้อง ซ้ำแล้วไอ้ที่ได้ก็ไม่พ้นขี้ไก่

๔. ปรีดีในทีแรกอาจจะหวังดี แต่เมื่อมีอำนาจกลับหลงเมาไปกับอำนาจนั้น ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ยิ่งนำพาให้ประเทศชาติห่างจากประชาธิปไตยหนักเข้าไปอีก

ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ของที่มันได้มาจากความอกตัญญู การทรยศหักหลัง การขู่บังคับ มันไม่มีทางเป็นของดี ประชาธิปไตยของไทยก็เป็นเช่นนั้น"

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หากสยามหรือไทย ได้ทำการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจดังเช่นที่ได้ทรงเตรียมธรรมนูญประชาธิปกไว้ ประชาธิปไตยของไทยเราปัจจุบัน จะสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยมากกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเช่นเดียวกับการค่อย ๆ ทรงเลิกทาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ครับ


สี่ข้อที่ท่านว่า ลองส่งให้อ้าย ดร.วรเจตย์ดู .. อยากรู้มันจะแย้งยังไงครับ
User avatar
rakchart thai
 
Posts: 454
Joined: Thu May 20, 2010 11:58 am

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 2:03 am

จริงๆแล้วมีงานหนึ่งที่น่าสนใจมาก ผมคิดว่าเขียนได้ดีมากๆ หลักฐานและเหตุผลทำให้ผู็เขียนไ้ด้รางวัลนักวิจัยยอดเยี่ยมปีที่ผ่านมา อยากให้ลองอ่านกัน แต่ไำว้มีคนแปลเป็นไทยค่อยแนะนำละกันครับ เห็นว่าจะแปลเสร็จแล้ว
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 2:04 am

rakchart thai wrote:
baezae wrote:ส่วนตัวเลยนะครับ สิ่งที่ปรีดี"ผิด" คือ

๑. ปรีดีไปร่ำเรียนด้วยทุนหลวง เป็นหนี้บุญคุณหลวง แต่เนรคุณหลวง

๒. ปรีดีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วทวนน้ำ ลูกผู้ชายเราให้คำไหนออกจากปาก ผมเห็นว่ามันย้อนกลับไม่ได้

๓. ปรีดีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่"ฝืน"ใช้อำนาจและกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้ดูภาวะรอบข้าง อุปมาเหมือนเร่งให้แม่ไก่ออกไข่ด้วยวิธีการบีบท้อง ซ้ำแล้วไอ้ที่ได้ก็ไม่พ้นขี้ไก่

๔. ปรีดีในทีแรกอาจจะหวังดี แต่เมื่อมีอำนาจกลับหลงเมาไปกับอำนาจนั้น ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ยิ่งนำพาให้ประเทศชาติห่างจากประชาธิปไตยหนักเข้าไปอีก

ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ของที่มันได้มาจากความอกตัญญู การทรยศหักหลัง การขู่บังคับ มันไม่มีทางเป็นของดี ประชาธิปไตยของไทยก็เป็นเช่นนั้น"

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หากสยามหรือไทย ได้ทำการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจดังเช่นที่ได้ทรงเตรียมธรรมนูญประชาธิปกไว้ ประชาธิปไตยของไทยเราปัจจุบัน จะสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยมากกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเช่นเดียวกับการค่อย ๆ ทรงเลิกทาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ครับ


สี่ข้อที่ท่านว่า ลองส่งให้อ้าย ดร.วรเจตย์ดู .. อยากรู้มันจะแย้งยังไงครับ


ตอบแทนวรเจตน์แบบขำๆนะครับ "ผมไม่คุยเรื่องบาปบุญ ผมคุยแต่เรื่องนิติศาสตร์" :lol: :lol: เชื่อสิ เขาต้องว่าอย่างนี้
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby คนบาป » Sat Oct 01, 2011 2:05 am

คณะราษฎรในยุคนั้น อาจเปรียบได้กับพรรคเสื้อแดงเวลานี้ ( ในบางมุมนะ )
Last edited by คนบาป on Sat Oct 01, 2011 2:05 am, edited 1 time in total.
User avatar
คนบาป
 
Posts: 13482
Joined: Fri Nov 19, 2010 3:52 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby baezae » Sat Oct 01, 2011 2:05 am

sanddolphin wrote:
rakchart thai wrote:
baezae wrote:ส่วนตัวเลยนะครับ สิ่งที่ปรีดี"ผิด" คือ

๑. ปรีดีไปร่ำเรียนด้วยทุนหลวง เป็นหนี้บุญคุณหลวง แต่เนรคุณหลวง

๒. ปรีดีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วทวนน้ำ ลูกผู้ชายเราให้คำไหนออกจากปาก ผมเห็นว่ามันย้อนกลับไม่ได้

๓. ปรีดีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่"ฝืน"ใช้อำนาจและกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้ดูภาวะรอบข้าง อุปมาเหมือนเร่งให้แม่ไก่ออกไข่ด้วยวิธีการบีบท้อง ซ้ำแล้วไอ้ที่ได้ก็ไม่พ้นขี้ไก่

๔. ปรีดีในทีแรกอาจจะหวังดี แต่เมื่อมีอำนาจกลับหลงเมาไปกับอำนาจนั้น ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ยิ่งนำพาให้ประเทศชาติห่างจากประชาธิปไตยหนักเข้าไปอีก

ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "ของที่มันได้มาจากความอกตัญญู การทรยศหักหลัง การขู่บังคับ มันไม่มีทางเป็นของดี ประชาธิปไตยของไทยก็เป็นเช่นนั้น"

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หากสยามหรือไทย ได้ทำการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงถ่ายโอนอำนาจดังเช่นที่ได้ทรงเตรียมธรรมนูญประชาธิปกไว้ ประชาธิปไตยของไทยเราปัจจุบัน จะสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นไปด้วยความละมุนละม่อม เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยมากกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเช่นเดียวกับการค่อย ๆ ทรงเลิกทาสของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ครับ


สี่ข้อที่ท่านว่า ลองส่งให้อ้าย ดร.วรเจตย์ดู .. อยากรู้มันจะแย้งยังไงครับ


ตอบแทนวรเจตน์แบบขำๆนะครับ "ผมไม่คุยเรื่องบาปบุญ ผมคุยแต่เรื่องนิติศาสตร์" :lol: :lol: เชื่อสิ เขาต้องว่าอย่างนี้


ผมก็มั่นใจว่า โนบิเจตน์ต้องตอบแบบนั้นครับ
ถ้าคุณเป็นเสื้อเหลือง ผมคุยกับคุณได้ และหัวเราะให้กันได้
ถ้าคุณเป็นเสื้อแดง ผมก็คุยกับคุณได้ และหัวเราะใ้ห้กันได้
แต่ถ้าคุณเป็นควายล้มเจ้าไม่ว่าจะสีไหน ผมจะด่าอย่างเดียว
User avatar
baezae
 
Posts: 1144
Joined: Thu Feb 18, 2010 10:43 am

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby thailandlive » Sat Oct 01, 2011 2:06 am

overtherainbow wrote:
ดราม่า wrote:sanddolphin สำหรับผมการที่รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดิน แล้วให้ประชาชนมารับจ้างผลิตนั้น ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว ด้วยหลักคิดง่ายๆคือ "ถ้าผลิตแล้วผลผลิตต้องเข้าส่วนกลาง จะเป็นการลงโทษคนขยัน"

สุดท้ายวิธีนี้ก็จะล้มเหลวเพราะความขี้เกียจของคน (ขยันกับขี้เกียจก็ได้เท่ากัน แล้วจะขยันไปทำไม...ธรรมชาติมนุษย์)


ส่วนเรื่องความเหลื่อมล่ำนั้น"เวลา"ก็ได้พิสูจน์แล้วครับว่า คนจีนที่มีต้นทุนสังคมต่ำสุดในเวลานั้น ตอนนี้กุมทั้งอำนาจเศรษฐกิจ และอำนาจการเมือง...

สรุปสำหรับผม ความคิดท่านปรีดีวัยหนุ่มนั้นผิดครับ (แต่ไม่ได้จะบังอาจไปตัดสินท่าน "เวลา"ต่างหากที่ตัดสิน)

เวลาอดีต ก็ไม่มีความหมายต่อประชาชน

เวลาปัจจุบัน ก็อย่างที่เห็นและเป็นอยู่

เวลาอนาคต คงไม่ต้องพุดถึง

สรุป

คือเป็นการแย่งชิงอำนาจเพื่อตัวเอง

หรือปล่าว

โอเคตอนนั้นอาจคิดถึงประชาชนจริง

แต่ผลมันไม่ใช่

ไม่กล่าวหาใคร

แค่อยากบอกว่า

เมื่อไม่ใช่แต่แรก ก็ไม่ควรหยิบยกมาชำแหล่ะใหม่ ให้หม่นใจกัน

ละเอาไว้ว่าเจตนาดี ก็ได้

แต่คนที่แอบอ้างปรีดีนี่ซิ มันน่ามั้ย




ท่านปรีดี ในอดิต กับ ปัจจุบัน

ตอนนี้ทำไมกลายเป็นคนละคนไปหมดแล้ว

แต่ล่ะฝ่ายกลับอ้างไปคนล่ะแบบ

ประวัติศาสตร์ตอนนี้ ไม่รู้จะเชื่อใคร
User avatar
thailandlive
 
Posts: 53
Joined: Fri Sep 16, 2011 7:53 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 2:07 am

คนบาป wrote:ถ้าไม่เอากษัตริย์ตั้งแต่เริ่ม ก็ฆ่ากันตายเป็นเบือซีครับ เพราะฐานของพระเจ้าแผ่นดินมีทั่วประเทศ

พวกที่หัวนอก รู้เรื่องการเมืองในพระนครมีซักกี่คน น่าจะไม่เกิน 500 คน

เพราะจะว่าไป ฝ่ายเอาเจ้าแค่ไม่อยากต่อสู้ แต่ค่อยๆ รวมตัวหาแนวร่วม

จนเกิดพรรค ปชป. ที่เอาเจ้าตั้งแต่ต้น มันก็เลยกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมามาจนทุกวันนี้

ฝ่ายไม่เอาเจ้าเพิ่งจะมาโผล่หัวเอาก็ต่อเมื่อทักษิณโดนไล่ออกนอกประเทศ แค่นั้นเอง

ก่อนนี้กล้าพูดซะที่ไหน เอาเถอะ พอทักษิณหมดบุญ พวกที่จ้องจะล้มเจ้าก็ต้องวิ่งเข้ารูเหมือนเดิมนั่นแหละ


ด้วยความสงสัยอย่างจริงจัง (ไม่ใช่นัก ปวศ) ถ้ามองกลับกันทำไมคนไม่ลุกฮือเพราะไม่ยอม 2475 ไม่ว่าจะหลังจากที่ คณะราษฎรล้มเหลวหรือต่างๆนาๆ หรือจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ "การเมือง" ถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องของราษฎร??? อันนี้ตั้งข้อสังเกตจากที่หลายๆท่านเสนอมานะครับ ช่วยกันคิด
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby ดราม่า » Sat Oct 01, 2011 2:07 am

sanddolphin ผมว่าจีนสมัยที่ยึดตำราคอมมิวนิสต์นี่อดอยากนะครับ(เหมือนเกาหลีเหนือตอนนี้)

อดอยากเพราะแนวคิด "รวมศูนย์การผลิตไว้ที่รัฐ" ที่มาลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะแนวคิดของเต้งเสี่ยวผิง ที่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิ์ในทรัพย์สิน

แนวคิดสังคมนิยมมันล้มเหลวมาตั้งแต่ต้นแหละครับ เพราะแนวคิดแบบนี้ต้องมาพร้อมกับเผด็จการ ที่ต้องบังคับเอากับประชาชน


คือถ้าจะทำตาม เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) (ผมอ่านแล้ว)ผมว่ามีทางเดียวคือบังคับเอากับประชาชน



ถึงน้าคนบาป งั้นก็แสดงว่าถ้าทักษิณสลัดพวกล้มเจ้าที่มาเกาะออกไปได้ คงจะมีอนาคตดีกว่านี้ :lol:
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์


สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก

"กฎหมายภาษีที่ดินเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาช่องว่างรายได้"
User avatar
ดราม่า
 
Posts: 1670
Joined: Mon Jan 10, 2011 2:37 pm

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby amplepoor » Sat Oct 01, 2011 2:09 am

ผมไม่รู้ว่าคุณโลมาทำให้เกิดความสับสนทำไม แต่ที่คุณเขียนนี่ มีคำผิดมากเหลือเกิน

นอกจากที่บอกว่าปรีดีเคยเป็นองคมนตรี ทั้งๆ ที่แกเป็นผู้สำเร็จ นัยยะก็ห่างกันแยะแล้ว
แต่ลองคิดดูว่าหลวงอดุลยเดชจำรัสก็เป็นองคมนตรี ในทางการเมืองหมายความว่าอะไร มันสะท้อนเรื่องเอาเจ้าไม่เอาเจ้าในวันนั้นหรือไม่ รวมถึงการที่นายเฉลียวมากินตำแหน่งใหญ่โตน่ะ บอกข้อเท็จจริงอะไรเรื่องความจงรักภักดี

คุณยังมาเล่นลิ้นว่าคอมมิวนิสต์คือระบอบเศรษฐกิจ ไม่ใช่ระบอบการเมือง นี่ก็แกล้งพูดอีก เพราะที่จริงแล้วปากชาวบ้านเวลาที่พูดถึงคอมมิวนิสต์นั้น เราหมายถคงระบอบการปกครอง มีน้อยคนที่หมายถึงระบอบเศรษฐกิจ ผมไม่อยากจะลองภูมิคุณเลย แต่ถ้าจะอธิบายว่าคอมมิวนิสต์ทางเศรษฐกิจน่ะ มีลักษณะที่น่าสนใจอย่างไร ก็จะเป็นพระคุณ

แล้วที่บอกว่ารัฐมนตรีก่อน 2475 แย่งงบกัน ก็ทำให้งง เพราะมันไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีในยุคนั้น

เอาละ ผมอยากให้คุณสงบสติอารมณ์สักหน่อย ลองอ่านคำโต้แย้งของพระปกเกล้าดู ตรองให้ถี่ถ้วนว่า ระหว่างเค้าโครงเศรษฐกิจกับคำแย้งนั้น ข้างใหนที่เข้าใจราษฎรมากกว่ากัน
User avatar
amplepoor
 
Posts: 2363
Joined: Wed Apr 06, 2011 2:52 am

Re: ปรีดี แฮททริค

Postby sanddolphin » Sat Oct 01, 2011 2:12 am

ดราม่า wrote:sanddolphin ผมว่าจีนสมัยที่ยึดตำราคอมมิวนิสต์นี่อดอยากนะครับ(เหมือนเกาหลีเหนือตอนนี้)

อดอยากเพราะแนวคิด "รวมศูนย์การผลิตไว้ที่รัฐ" ที่มาลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะแนวคิดของเต้งเสี่ยวผิง ที่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิ์ในทรัพย์สิน

แนวคิดสังคมนิยมมันล้มเหลวมาตั้งแต่ต้นแหละครับ เพราะแนวคิดแบบนี้ต้องมาพร้อมกับเผด็จการ ที่ต้องบังคับเอากับประชาชน


คือถ้าจะทำตาม เค้าโครงการเศรษฐกิจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) (ผมอ่านแล้ว)ผมว่ามีทางเดียวคือบังคับเอากับประชาชน



ถึงน้าคนบาป งั้นก็แสดงว่าถ้าทักษิณสลัดพวกล้มเจ้าที่มาเกาะออกไปได้ คงจะมีอนาคตดีกว่านี้ :lol:


ก็อาจจะเป็นอย่างที่ท่านว่าน่ะละครับ ว่าต้องบังคับประชาชนจริงๆจังๆ ผมถึงได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าไอ้นโยบายดังกล่าวมันมีระยะเวลานานเท่าไร และผมไม่เคยศึกษาลงในรายละเอียดเลยไม่ทราบว่าเขาให้ชาวบ้านสะสมทุนหรือเปล่า โดยส่วนตัว คิดว่ารัฐควรมีส่วนสร้าง+ปรับโครงสร้างพื้นฐานและ Capacity (ขออภัยไม่รู้จะแปลอย่างไรเป็นไทย) เสียก่อน
"The unjust law is no law at all."
User avatar
sanddolphin
 
Posts: 477
Joined: Sun Apr 12, 2009 1:35 pm

PreviousNext

Return to สภากาแฟ