amplepoor wrote:ผมไม่รู้ว่าคุณโลมาทำให้เกิดความสับสนทำไม แต่ที่คุณเขียนนี่ มีคำผิดมากเหลือเกิน
นอกจากที่บอกว่าปรีดีเคยเป็นองคมนตรี ทั้งๆ ที่แกเป็นผู้สำเร็จ นัยยะก็ห่างกันแยะแล้ว
แต่ลองคิดดูว่าหลวงอดุลยเดชจำรัสก็เป็นองคมนตรี ในทางการเมืองหมายความว่าอะไร มันสะท้อนเรื่องเอาเจ้าไม่เอาเจ้าในวันนั้นหรือไม่ รวมถึงการที่นายเฉลียวมากินตำแหน่งใหญ่โตน่ะ บอกข้อเท็จจริงอะไรเรื่องความจงรักภักดี
คุณยังมาเล่นลิ้นว่าคอมมิวนิสต์คือระบอบเศรษฐกิจ ไม่ใช่ระบอบการเมือง นี่ก็แกล้งพูดอีก เพราะที่จริงแล้วปากชาวบ้านเวลาที่พูดถึงคอมมิวนิสต์นั้น เราหมายถคงระบอบการปกครอง มีน้อยคนที่หมายถึงระบอบเศรษฐกิจ ผมไม่อยากจะลองภูมิคุณเลย แต่ถ้าจะอธิบายว่าคอมมิวนิสต์ทางเศรษฐกิจน่ะ มีลักษณะที่น่าสนใจอย่างไร ก็จะเป็นพระคุณ
แล้วที่บอกว่ารัฐมนตรีก่อน 2475 แย่งงบกัน ก็ทำให้งง เพราะมันไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีในยุคนั้น
เอาละ ผมอยากให้คุณสงบสติอารมณ์สักหน่อย ลองอ่านคำโต้แย้งของพระปกเกล้าดู ตรองให้ถี่ถ้วนว่า ระหว่างเค้าโครงเศรษฐกิจกับคำแย้งนั้น ข้างใหนที่เข้าใจราษฎรมากกว่ากัน
ประการแรกผมชี้แจงไปแล้วว่าข้อมูลคลาดเคลื่อน
ประการที่สอง นี่ไม่ใช่การเล่นลิ้นแต่ผมพูดตามหลักรัฐศาสตร์เลย ผมถึงได้บอกว่าคนส่วนมากเอา "ประชาธิปไตย" ไปผูกกับ "เสรีประชาธิปไตย" ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเป็นสองอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันนั้นก็คือ "เสรีนิยม" และ "ประัชาธิปไตย" (ลองหางานง่ายๆของ สมเกียรติ วันทะนะอ่านได้ชื่อว่า
อุดมการณ์ทางการเมือง) นอกจากนี้สิ่งที่ท่านอยากให้ผมเสนอว่ามัน "น่าสนใจ" นั้น ท่านหมายถึง "ลักษณะ" ของระบบ หรือว่าท่านหมายถึง "จุดเด่นหรือจุดด้อย" ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์ในแง่ของ มาร์กซ์ละก็ สังคมจะพัฒนาแบบไดอาเลกติคจนไปถึงสังคมคอมมูินิสต์ขั้นสุดท้ายโดย "ปราศจากปัญหาทางด้านความเหลื่อมล้ำต่ำสูง" ไม่มีแม้กระทั่ง "รัฐบาล" ที่จะมาถือกรรมสิทธิ์ของเหล่ากรรมชีพ (proletarians) แต่ถ้าท่านสนใจระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์นั้น จุดเด่นจริงๆของมันก็คือการ "ยึดถือกรรมสิทธิ์ทุกอย่างให้เป็นของรัฐ" นี่คือขั้นแรก ส่วนจุดเด่นในเชิงรายละัเอียดนั้น ของโซเวียตผมไม่ทราบเ้พราะไม่เชี่ยวชาญ ถ้าเป็นกรณีของจีนเข้าใจว่าแบ่งได้ "กว้างๆ" สองยุค คือในช่วง "ก้าวกระโดด" และช่วง "เปิดประตู" ซึ่งอย่างแรกถ้าจะให้รวบยอดสั้นๆก็คือจีนใช้นโยบาย "หูโข่ว" คือไม่ได้คนเคลื่อนย้ายจากมณฑลหนึ่งไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบนอกจากนั้นยังได้ยึดกรรมสิทธิ์มาจากเอกชนราวปี 1956 หลังจากการเรียนรู้เทคนิคการผลิตมาเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง (หลัง 1 ตุลาึคม 1949) เหล่านี้ เพื่อที่จะจัดตั้ง คอมมูนประชาชนขึ้นมา (คอมมูนเหล่านี้ยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีก) ด้วยความจำเป้นที่จะไปเน้นทางด้านอุตสาหกรรมหนัก คือ ตอนแรกก่อนปี 1953 มีการใช้นโยบายซื้อสินค้าจากทางเกษตรจากภาคการเกษตรก่อนและก็ค่อยๆเป็นไปด้วยดี ประชาชนกระเตื้องที่จะขายสินค้าให้รัฐ (ในช่วงนี้ยังไม่เป็น "คอมมูนิสต์ในรูปแบบจีน" ) แต่ด้วยความจำเป็นทางด้านการทหารทำให้จีนจำต้องเน้นมาทางด้านอุตสาหกรรมหนักเป็นเหตุให้รัฐต้องกดราคาของสินค้าการเกษตรซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตซึ่งรับมาจากชนบทภาคการเกษตร ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ทำเพื่อลดต้นทุนการผลิตของรัฐวิสาหกิจในเขตเมือง---เหนื่อยพิมพ์เยอะ--- นี่คือตัวอย่างของเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม หรือจะท่านจะเรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็แล้วแต่ แต่แล้วก็มีเศรษฐกิจช่วงก้าวกระโดด 1958-1961
ทั้งหมดที่กล่าวมาก็ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าไอ้ระบบเศรษฐกิืจคอมมิวนิสต์ที่ท่านอยากให้ผมบอกเนี่ย แม่มหลากหลายมากมาย คือแล้วแต่ประเทศ อย่างในกัวตานาโม ก่อน ที่ ปธน เจคอบ อาร์เบ็นซ์จะถูก รปห โดย การร่วมมือระหว่าง รมต ต่างประเทศ US + United Fruit Company รบ อาร์เบนซ์มีแนวนโยบายไปทางสังคมนิยม ซึ่งก็คือเริ่มเอาใจ labor union มากขึ้น แต่ US บอก ลื้อมันเป็น "commie" ว่ะ
ผมไม่เคยคิดว่าระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์จะเดินไปได้ในระยะยาว เพราะว่ามันเน้นไปที่การเพิ่ม inputs อย่างเดียวแต่ปราศจากการพัฒนาประสิทธิผล (efficiency) ซึ่งเมื่อเพิ่มปริมาณดังกล่าวอย่างเดียวมากๆขึ้นจะเิกิดในสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ (ผมไม่ใช่) เรียกมันว่า Law of diminishing returns ซึ่งก็คือเมื่อคุณเพิ่ม input จนถึงจุดๆหนึ่ง Outputs จะเิริ่มลดลงเนื่องจากไม่ได้มีการพัฒนาทางด้านการศึกษาและความสามารถพิเศษเฉพาะ อย่างที่ Paul Krugman นักเศรษศาสตร์รางวัลโนเบล เคยโต้แย้งถึงความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจของโซเวียตในช่วงแรกๆในบทความที่ชื่อ the Myth of Asia's Miracle (ผมจะมาอีดิตถึงตัวเลขและรายละเอียดภายหลัง) อย่างไรก็ดี ใช่ว่าระบบเศรษฐกิจที่รัฐเข้ามามีบทบาทจะ "เลว" เสมอไป อย่างเช่น โมเดล "ฉันทามติปักกิ่ง" พูดง่ายๆก็คือ มีการสร้างแรงจูงใจ+ปรับโครงสร้างพื้นฐานของประชากรจีนที่มีมากอย่างล้นหลาม ซึ่งสามารถกระชากคนจีนออกจากความยากจนได้มากถึง 230 ล้านคน ในปี 2008 (หลังจาก 1978 ซึ่งมีการปฏิรูปนโยบายทางเศรษฐกิจของจีน) ในส่วนนี้นั้น นักวิชาการจีนบางคนยังคงเรียกเลยว่า "ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ของเติ้ง" จะเห็นได้ว่า เส้นแบ่งระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เริ่มถูกเบลอ
สรุป 1.ไม่มีทางที่ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์จะประสบความสำเร็จในระยะยาว 2. จุดเด่นของระบบ ศก คอม นั้นหลากหลายและแล้วแต่กรณีศึกษาของแต่ละรัฐมาก ถ้าพิมพ์หมดอาจจะได้วิทยานิพนธ์หนึ่งเล่มจากการศึกษาอย่างจริงๆจังๆในเชิงเปรียบเทียบ
ประเด็นต่อมา ที่ผมใช้คำว่า "รัฐมนตรี" อันเนื่องมาจากผมอ่านตำราภาษาอังกฤษของ Benjamin Batson ซึ่งเขียนเกี่ยวกับความเปลี่ยนผ่านของการเมืองไทยในระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งหนังสือใช้คำว่า Minister แทนคำว่า เสนาบดีกระทรวงบลาๆๆๆ ไหนๆก็ไหนๆ สมัยนั้นมีการขาดดุลของทางราชสำนักอย่างรุนแรง ในปี 2462-2464 ขาดดุลมาตลอดจนต้องกู้ยืมเงินจาก ตปท ซึ่งเป็นเหตุให้เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 7 ขึ้นครองราชย์จำต้องตัดทอนรายจ่ายด้วยการตัดข้าราชการบางส่วนออกไป แต่ทว่าในปี 2472-75 นั้นสภาพ ศก โลกได้ส่งผลให้ไทยได้ัรับผลกระทบหนักขึ้นไปอีกซึ่ง ต้องลดเงินเดือนข้าราชการ เหตุปะทุระหว่างกระทรวงดังกล่าวก็คือช่วงที่ ในหลวงรัชกาลที่ 7เสด็จ ไป US 7เดือน เรื่องของเรื่องก็คือ เสนาบดีกระทรวงกลาโหมขณะนั้น (พระองค์เจ้าบวรเดช) เสนอเลื่อนเงินทหาร 322 นาย ในจำนวนนี้ 231 ได้รับการเลื่อนยศ ดังนั้นเพิ่มเงินก็ไม่มีเรื่องราว แต่ทว่า 91 นายที่ไม่ได้เลื่อนแต่อยากได้ตังค์เพิ่ม กระทรวงพระคลังก็เห็นว่ามีความสำคัญเพราะเบิกล่วงหน้าไปแล้วแต่ขอไว้ว่ากระทรวงอื่นๆจะไม่ทำตาม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ประท้วงไม่เห็นด้วย ดังนั้น กรมพระยาดำรงฯ อภิรัฐมนตรี (นายกฯ ถ้าคุณพอใจจะเรียกอย่างไหน) พระองค์เจ้าบวรเดชรู้สึกเสียพระพักตร์อย่างยิ่ง จึงได้ลาออกไป ภายหลังก็ยังมีข้อขัดแย้งกับ กระทรวงการคลังอีกอันสืบเนื่องมาจากงบประมาณที่จะเป็นไปในรูปแบบเหมาจ่ายหรือขึ้นอยู่กับการตรวจสอบงบเช่นกระทรวงอื่นๆ ฯลฯ
ประการสุดท้าย กรณีคำโต้แย้งของในหลวงรัชกาลที่ 7 นั้น ผมอยากจะบอกอย่างใจจริงว่าผมไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้มากมาย เหตุผลก็เพราะว่าผมไม่ทราบว่าการอธิบายของผมนั้นจะเป็นการก้าวล่วงพระยุคลบาทของพระองค์ท่านหรือไม่ ผมไม่สามารถพูดได้ว่า ฝ่ายใดเห็นใจราษฎรมากกว่ากัน ถ้าผมบอกว่าคณะราษฎร ผมก็โดนหาว่าไม่จงรักภักดี ถ้าผมบอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 7 ก็จะมีอีกกลุ่มมาด่าผมได้เช่นกัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เค้าโครงฯดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาใช้ปฏิบัติ ถ้าถูกนำมาใช้แล้วค่อนก็อาจจะประเมินได้ว่า จุดประสงค์ของปรีดีนั้นเพื่อประชาชนจริงหรือไม่