amplepoor wrote:ลองตัดประเด็นเรื่องปรีดีเนรคุณรัชกาลที่ 7 ออกไป มาดูกันที่สาระของการกบฏ เราได้เห็นอะไร
หลัก 6 ประการนั่นแหละ คือสาระของการกบฏ ผมจะเรียงให้ดู "เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ การศึกษา"
หลักที่ 0 ทรราช
ผมถือว่าการกล่าวหาที่นำหน้าหลัก 6 ประการ คือหลักที่ 0 ซึ่งมีข้อสรุปว่า กษัตริย์เลว สมควรถูกโค่นล้ม
หลักที่ 1 เอกราช
ปรีดีกล่าวหาว่ารัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราช ไม่สามารถทำให้สยามเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ เพราะยังอยู่ใต้กฏหมายระหว่างประเทศที่กดขี่.....แต่ที่น่าสังเวชคือ ปรีดีขอให้ให้เกียรติคนที่มีผลงานด้านนี้ให้ถูกคน คือต้องยกย่องเวสเตนการ์ด ที่ปรึกษาของรัชกาลที่ 6 ด้วย แปลว่า รัฐบาลสยาม ก็ทำเรื่องนี้มาตั้งแต่รัชกาลก่อนโน่น (และสำเร็จผลในเบื้องต้น เพราะร. 6 เข้าข้างสัมพันธมิตร อันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด แต่ปรีดีเลือกที่จะหุบปาก)
หลักที่ 2 ปลอดภัย
จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
ผมถามคำเดียว ปรีดีที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ เป็นทั้ง RUTH เป็นทั้งผู้สำเร็จ เป็นทั้งนายก เรียกว่า ไม่มีใครใหญ่กว่าอีกแล้ว ทำให้คดีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 กระจ่างได้หรือไม่ ....ถามมาถึงวันที่แกตายด้วย
หลักที่ 3 เศรษฐกิจ
แกสัญญาว่า ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ถามว่า ที่รัฐบาลปรีดีทำให้เกิดข้าวยากหมากแพงเพราะเอาข้าวไปขายอังกฤษ นี่คือผลงานหรือ (นิธิอ้างว่า ขายเพื่อแก้ปัญหาที่เราจะต้องจ่ายค่าปรับให้อังกฤษ ข้ออ้างนี้ถ้าฟังขึ้น ก็ยึดอำนาจได้ทุกวันแหละ)
หลักที่ 4 เสมอภาค
(ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่)
แหมฟังเท่จัง......แล้วทำไมคณะราษฎร ไม่มีสักตัวที่ถอดยศถอดตำแหน่ง เปลี่ยนมาใช้นาย....และนาง เพื่อให้เกิดความเสมอภาคล่ะจ๊ะ ปล่อยให้ตาแปลกมาทำในช่วงรัฐนิยม เหอๆๆๆๆๆ แล้วเมียเธอ ทำไมใช้ท่านผู้หญิง มันเสมอภาคนักหรืองัย
หลักที่ 5 เสรีภาพ
จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการข้างต้น
หลักข้างบนน่ะ เขาจะซื้อที่ดินจากราษฎรทั้งหมด ให้ราษฎรเป็นพนักงานของรัฐ และเลือกอาชีพตามที่รัฐสั่ง โห...เสรีบ้านคุณอะดิ ข้าไม่อยากขายที่นาที่บรรพบุรุษก่นสร้างมา ข้าไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน และข้าไม่อยากเป็นหนี้การออกพันธบัตรห่าเหวในโครงการนี้ ข้าทำได้ป่าว......นี่หรือวะ เสรีภาพ ฝรั่งเศษประเทศพ่อคุณ ยังไม่ทำอย่างนี้เลย
หลักที่ 6 การศึกษา
ถามสั้นๆ ธรรมศาสตร์ที่เอ็งตั้ง เหนือกว่ามหาวิทยาลัยที่กษัตริย์ตั้งหรือเปล่า ส่วนมหิดลที่ตั้งในปี 2512 โดยรัฐบาลเผด็จการทหาร ..... เขาไปถึงใหนแล้ว ปรีดี
สรุปว่า ในความเห็นของผม ความเลวของปรีดีใน 2475 นี้ แม้จะลบด้วยความดีของเสรีไทย ก็ยังเหลือเกียรติบัติเลวชาติรายัมสุนัขติดในวงศ์ตระกูลอยู่ดี
เพราะเท่าที่เป็นมา รัชกาลที่ 1-7 ทำให้อาณาประชาราษฎร์ได้เกินกว่าหลักเส็งเคร็งของเอ็ง มากมายก่ายกอง ที่เอ็งทำนั้น คือการไล่พญาหงส์ลงจากวอ แล้วเอาคางคกคณะราษฎรขึ้นไปแทน....จบข่าว
หลักที่ 1 ผมเข้าใจว่าผมไปนำข้อมูลจกากเว็บมาแปะไว้แล้วนี่ฮะ (
http://www.pridiinstitute.com/autopage/ ... =2&start=1) และอีกอย่างจะไม่ เป็นการย้ำหรอกหรือว่าเขาตั้งใจไม่พูดถึงความดีต่างๆของสถาบันกษัตริย์เพราะเขากำลังกระทำการล้มรัฐฎาธิปัตย์ไป เขากำลังจะล้ม และจะลดความชอบธรรมของรัฐบาลในหลวงรัชกาลที่ 7 ท่านจะให้เขาออกมาชื่นชมหรือเขียนบทความทางวิชาการงั้นหรือครับ?? ผมบอกไปแล้วไง คุณมองคนละมุมกับผม ผมมองว่าเขาไม่ได้จะล้ม แต่จะให้พระองค์มา "ทรงราชย์" จึงต้องให้พระองค์เลิก "ทรงรัฐ" (ตามที่นครินทร์ใช้คำนี้ในหนังสือ "การปฏิวัติ 2475" ของเขา) คุณจะมองมุมนั้นก็แล้วแต่สิครับ
หลักที่ 2 ก็เป็นธรรมดาของรัฐที่จะต้องให้คนมีความรู้สึกปลอดภัย ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมต่างๆเช่น Thomas Hobbes คือ เมื่อคุณไม่สามารถสร้าง "ระเบียบ" ขึ้นมาได้ ไม่สามารถสร้างความ "มั่นคงและมั่นใจ" ระหว่างผู้ใต้ปกครองได้ เมื่อนั้นรัฐจะเริ่มขาดความชอบธรรม เพราะไม่รู้จะมีรัฐอยู่ทำแป๊ะอะไรเมื่อไม่สามารถปกป้องนาย A จากการประทุษร้ายของนาย B หรือไม่สามารถที่จะใช้มาตรการจัดการกับโจรขโมยอย่างเช่นลงโทษอันนำไปสู่ภาวะอนาธิปไตยได้ อีกอย่างในกรณีการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ถ้าคุณอ้างว่าอำนาจเยอะที่สุดในขณะนั้น (นายกฯ) แล้วต้องรู้ทุกอย่าง มันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือ สมัยลิ้มโดนยิงอะ อภิสิทธิ์อยู่ในฐานะใดละครับ ยังตอบไม่ได้
หลักที่ 3 นี่ผมไม่ยากจะพูดเลยจริงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าคุณหมายถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สองหรือไม่ แต่ถ้าใช่ ผมชี้แจงว่า ที่ข้าวยากหมากแพงก็เพราะ 1.เป็นปัญหาการเมืองโลก 2.เป็นปัญหาต่อความเป็น "เอกราช" ของไทย หลักจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ไทยเราได้พลิกแพลงไม่ยอมแพ้แต่กลับมาเป็นผู้ชนะตามที่ มรว เสนีย์มิได้ยื่นจดหมายประกาศสงครามอย่างเป็นทางการต่ออเมริกา แต่ท่วากรณีของไทยกับอังกฤษนั้นแตกต่างกัน อังกฤษได้มองไทย ว่าเป็นผู้เข้าร่วมสงครามและอังกฤษได้เข้าร่วมต่อสู้กับไทยด้วยอย่างจริงๆจังๆ จะเห็นได้จากการเจรจาเพื่อยุติสงครามระหว่างไทยกับอังกฤษรวมทั้งหมด 4 เดือนเต็มๆ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2488 จนถึง ธันวาคมปีเดียวกัน และลงนามในวันที่ 1 มกราคม 2489 ซึ่งเป็นการลงนามใน Formal Agreement ไม่ใช่ Treaty ซึ่งความตกลงนั้นทำให้เราต้องจ่ายค่าปฏิมากรรมสงครามจำนวน 5224220 ปอนด์ คืนดินแดนในพม่าและมลายู อังกฤษควบคุึมการส่งออกยางพาราและดีบุกของไทยไว้ระยะหนึ่ง
ไทยตกลงส่งข้าวให้อังกฤษเพื่อเลี้ยงอาณานิยม 1.5 ล้านตั้น และไทยจะไม่ขุดคอคอดกระโดยปราศจากความยินยอมจากอังกฤษ ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วอ่อนมาก เนื่องจากอังกฤษมีความประสงค์ที่จะเข้ามาจัดตั้งกองทหารของตนเพื่อเปลี่ยนแปลงกองทัพไทย ซึ่งดังที่เซอร์ โจไซห์ ครอสบี เอกอัครราชฑูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้กล่าวว่า "กรณีของสยามนั้นเป็นเรื่องยกเว้น ในแง่ที่ว่าสยามเป็นประเทศเดียวท่ามกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นรัฐเอกราช พร้อมทั้งเป็นศัตรูของบริเตนใหญ่กับสหรัฐฯ ที่สยามได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการเมื่อมีการกำหนดข้อตกลงสันติภาพ ก็จำเป็นที่สยามจำต้องถูกลงโทษ" เขายังกล่าวเพิ่มอีกว่า "การจัดตั้งรูปแบบบางอย่างของการควบคุมสยามไว้สักระยะหนึ่งหลังการสิ้นสุดของสงคราม ดูจะเป็นการเพียงพออย่างยิ่งในขณะนั้น" (ดู Sir Josiah Crosby, "observation on a Post War Settlement in Southeast Asia",
International Affairs (July 1944), pp.361-2) ยิ่งไปไกลกว่านั้นก็คือ ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตตัน ผู้ซึ่งยื่น "21 Demands" ไว้ก่อนหน้าซึ่งรวมมาตรการทั้งหมด ทั้งเข้ามาปลดอาวุธกองทัพไทย และด้านการควบคุมกาค้าการส่งออก ฯลฯ ซึ่งทางสหรัฐฯ เห็นว่าเป็นข้อเรียกร้องที่มากเกินไปเพราะไปละเมิดอธิปไตยของไทย ดังจะเห็นได้จาก นสพ ของสหรัฐฯ ได้ประณามข้อเรียกร้องดังกล่าวซึ่งสามารถสืบค้นได้จาก "New York Herald Tribune, Washington Star และ New York Times" (September 15, 1945) ซึ่งในการประชุมทั้งหมด สามครั้ง นั้นสหรัฐได้มีบทบาทเข้ามาไกล่เกลี่ย นอกจากนี้ ไทยยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก UN ด้วยแต่ก็ด้วยเงื่อนไขของอังกฤษ ต่อมายังต้องคืนดินแดนที่ได้มาจากอินโดจีนให้ฝรั่งเศส ส่วนกรณีของ USSR นั้น เขาเรียกร้องให้ยกเลิก พรบ ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ และได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตหลังจากการตัดขาดไปในปี 2460
หลักที่ 4 นั้น เข้าใจว่าหมายถึงความเสมอภาคทางด้านโอกาสโดยการริเริ่มให้มีรัฐธรรมนูญ
หลักที่ 5 นั้น คุณต้องเข้าใจก่อนว่า เสรีภาพที่พูดๆถึงเีนี่ย เรามองตัดสินจากประสบการณ์การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมในระยะเวลายาวนานที่เราเห็นมาแล้ว แต่ว่าในสมัยของปรีดีนั้น ความคิดแบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เพิ่งเฟื่องฟูไม่นาน และคิดว่าเป็นหนทางเดียวที่จะปลดแอกคนเพื่อสร้างเสรีภาพในภายภาคหลังได้ ซึ่งในเวลานั้นก็มีการปฏิวัติของรัสเซียในปี 2460 เพียงที่เดียว ซึ่งสั่นสะเทือนความคิดเสรีนิยมมาก ฉะนั้น ถ้าผมตัดสินโดยใช้ Criteria ของปัจจุบันไปตัดสินปรีดี ผมก็มองว่าัมันโง่ก็ได้ถ้ามันคิดจะใช้เค้าโครงฯ ที่ว่านั้นตลอดชีวิต แต่ผมกลับมองว่าสมัยนั้น ความคิดเรื่องเสรีภาพกับสังคมนิยมมันค่อนข้างผูกติดกันอย่างยิ่งยวด ผมถึงไม่ด่าปรีดี หรือหลายประเืืทศที่มีลักษณะสังคมนิยมไงละ
ในส่วนหลักที่ 6 นั้น จุดประสงค์ไม่ได้ตั้งมาเพื่อให้เด็กเก่งเหนือกว่าจุฬาฯ หรือว่ามหิดล แต่ว่าตั้งมาเพื่อให้คนที่ไม่ค่อยมีจะกินได้รับโอกาสทางด้านการศึกษาเท่าๆกัน กล่าวคือ เป็นเป็นตลาดวิชา เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ไม่ต้องสอบอยากเรียนก็มาสมัครเอาหนังสือกลับบ้านไปอ่านถึงเวลามาสอบ ซึ่งเมื่อเปิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองครั้งแรกนั้นมีผู้เข้าสมัคร 7094 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมาก นอกจากนี้สถานที่ๆตั้งมหาวิทยาลัยนั้น ติดแม่น้ำเพื่อการเดินทางสัญจรที่สะดวกสบายของราษฎรในสมัยนั้น ซึ่งต่างจาก "ทุ่งสามย่าน" ที่ๆซึ่งการเ้ดินทางเข้าไปเรียนได้นั้นยากลำบากเพราะเป็นมหาวิทยาลัยในลักษณะ Campus นอกจากนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในขณะนั้นก็ถือว่าเป็นมหาวทิยาลัยในเขตเมืองแห่งแรกอีกด้วยซึ่งเปลี่ยนมาจากโรงเรียนสอนกฎหมายในสมัยนั้น ปรีดีเคยกล่าวว่า "มหาวิทยาลัยย่อมอุปมา ประดุจบ่อน้ำ บำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาส ที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักเสรีภาพ ของการศึกษา..." คือไม่ได้อยากให้เด็กออกมาเก่งมากมาย ไม่ได้อยากจะแข่งกับมหาวิทยาลัยอย่างเช่นจุฬาฯ แต่ให้โอกาสทางด้านการศึกษามันก็เท่านั้น ถ้าคุณสนใจจะศึกษาเกี่ยวกับธรรมศาสตร์เพิ่มเติม รบกวนเชิญที่ตึกโดม (อีกครั้ง)