sleepless wrote:เช neverdie wrote:sleepless wrote:เช neverdie wrote:sleepless wrote:เช neverdie wrote:
ส่วนประเด็นที่สอง คุณเอาการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านทางเวบบอร์ดหรือที่คุณเรียกว่า"ติดเวบบอร์ด" มาใว้ในกลุ่มเดียวกันกับการกราบพระ ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจิตใจคุณยังมืดบอดอยู่กับโลกียะธรรม หาใช่จิตใจที่จะมุ่งมั่นสู่โลกุตระธรรมไม่ ความหมายตามอักษรของคุณให้ความรู้สึกว่าการสนทนาผ่านทางเวบบอร์ดคล้ายกับการติดเกมส์ออนไลน์ ประมาณนั้น
คุณเชอธิบายหน่อยสิครับว่าการติดเว็บบอร์ดมันต่างยังไงกับการติดเกมส์ออนไลน์

ถามจริงๆ คุณ sleepless แยกแยะไม่ออกจริงๆหรือครับว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้-ทัศนคติผ่านทางเวบบอร์ด ต่างจากการติดเกมส์ออนไลน์อย่างไร แกล้งอำหรือเปล่า ไม่รู้จริงๆหรือครับ อายุเท่าไหร่แล้วครับเนี่ย ผมให้โอกาศกลับไปพิจารณาใหม่จนถึงค่ำวันนี้ครับว่า "การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้-ทัศนคติผ่านทางเวบบอร์ด ต่างจากการติดเกมส์ออนไลน์อย่างไร"
แล้วถ้ายังมีอวิชชามืดบอดในเรื่องนี้จนถึงค่ำนี้ เดี๋ยวค่ำๆผมจะมาวิสัชนาให้ดูในกระทู้นี้ครับว่า "การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้-ทัศนคติผ่านทางเวบบอร์ด ต่างจากการติดเกมส์ออนไลน์อย่างไร"

รอฟังอยู่ครับ
ผมขอบอกล่วงหน้าโดยที่ยังไม่ต้องฟังว่าคุณเชจะอธิบายอย่างไรว่าเหตุผลที่คุณเชจะใช้ในการอธิบายนั้น มันเกิดจากกิเลสของคุณเชเอง

คำตอบของผมจะมีหลัก มีที่อ้างอิง เป็นไปเพื่อความพิสูจน์ เพื่อความรู้ เพื่อรู้แจ้งยิ่งๆขึ้นไปได้ครับ อันมีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้น มีกุศลกรรมเป็นเบื้องปลาย มากกว่าการจะยกคำว่า "กิเลส" ขึ้นมาพูดลอยๆแบบพวกสมีเพื่อให้ดูเท่ครับ
หรือถ้าข้อความข้างบนทำให้คุณ sleepless ดวงตาเห็นธรรม จะชิงตัดหน้าตอบผมมาก่อนก็ได้นะครับว่า "การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้-ทัศนคติผ่านทางเวบบอร์ด ต่างจากการติดเกมส์ออนไลน์อย่างไร" โดยไม่ต้องรอไปถึงตอนค่ำเพื่อให้ผมวิสัชนาให้ดู เพื่อจะได้เป็นเครดิตของคุณ sleepless เองได้ครับ

ไม่ละครับ ผมรอดูว่ากิเลสคุณเชมันจะมีข้ออ้างว่าอย่างไรดีกว่า
กิเลสยิ่งเยอะ ข้ออ้างมันยิ่งวิจิตรพิศดาร ต้องใช้เวลาเรียบเรียงเยอะ
ผมให้เวลาคุณเชไปเปิด textbook เรียบเรียงคำตอบมาก่อน ไม่ต้องรีบครับ take your time.

ส่วนเครดิตผม ไม่ต้องห่วงครับ ผมว่าคนที่อ่านสิ่งที่ผมคุณกับคุณเชคุยดันตั้งแต่หน้าแรกมาจนถึงหน้านี้ และเคยศึกษากิเลสในใจตนเองมาบ้าง คงเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่เขาไม่อยากออกหน้ามาเท่านั้นเอง
ส่วนคนที่เป็นพุทธ textbook ผมคงไม่มีปัญญาไปอธิบายให้เขาเข้าใจและให้เครดิตผมหรอกครับ

งั้นไม่ต้องรอถึงค่ำครับ เอาคำตอบไปตอนนี้เลย ผมจะวิสัชนาให้ดูสดๆ เป็นๆ ด้วยเจนากรรมเพื่อสลายความมืดบอดทางปัญญาแก่เหล่ามนุษย์และเทวดา ลองอ่านดูนะครับ ...
ผมจำแนกความแตกต่างระหว่าง "การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้-ทัศนคติผ่านทางเวบบอร์ด ต่างจากการติดเกมส์ออนไลน์" ได้อย่างน้อยแปดข้อดังนี้
การสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านทางเวบบอร์ด เป็นกรรมที่จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตมีมงคล มงคลคือความสุข ความเจริญก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตเพราะเข้าพวกอยู่ในหลายข้อของ "มงคล 38 ประการ" ที่ตถาคตได้ตรัสใว้ ....
เช neverdie wrote:มงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต" ซึ่งมี ๓๘ ประการ
๑. การไม่คบคนพาล ๒. การคบบัญฑิต ๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร ๕. เคยทำบุญมาก่อน ๖. การตั้งตนชอบ
๗. ความเป็นพหูสูต ๘. การรอบรู้ในศิลปะ ๙. มีวินัยที่ดี ๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต ๑๑.การบำรุงบิดามารดา ๑๒.การสงเคราะห์บุตร ๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา ๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง
๑๕.การให้ทาน ๑๖.การประพฤติธรรม ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ ๑๙.ละเว้นจากบาป ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๒๒.มีความเคารพ ๒๓.มีความถ่อมตน ๒๔.มีความสันโดษ ๒๕.มีความกตัญญู
๒๖.การฟังธรรมตามกาล ๒๗.มีความอดทน ๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย ๒๙.การได้เห็นสมณะ
๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล ๓๑.การบำเพ็ญตบะ ๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์ ๓๓.การเห็นอริยสัจ ๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก ๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส ๓๘.มีจิตเกษม

๑. การไม่คบคนพาล บนเวบบอร์ด ผ่านทางตัวอักษร เรามองเห็นได้ว่าคนพาลมักไม่มีเหตุผล ใช้ถ้อยคำหยาบคาย-ใช้คำพูดส่อเสียด เราเลือกที่จะไม่คบได้ แต่บนเกมส์ออนไลน์นอกจากกดปุ่มยิงกันแล้ว เราจะรู้ได้ยากว่าอัยาศัยใครเป็นอย่างไร นี่เป็นความแตกต่างข้อที่หนึ่ง
๒. การคบบัญฑิต บนเวบบอร์ดเราได้แลกเปลี่ยนสนทนากับผู้มีความรู้ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ผู้เป็นบันฑิตในแขนงนั้นๆอย่างโดยระเอียด ซึ่งในโลกเกมส์ออนไลน์นอกจากกดปุ่มยิงกันแล้ว เราไม่อาจจะได้ความรู้อะไรใหม่ๆในศาสตร์แขนงนั้นๆจากผู้รู้ได้อย่างลึกซึ้งได้เลย นี่เป็นความแตกต่างข้อที่สอง
๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร บนโลกไซเบอร์ ถิ่นที่ผู้เป็นปัญญาชนมักใช้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้คือเวบบอร์ด และถิ่นที่ผู้คนใช้ระบายความเครียดก็คือเกมส์ออนไลน์ เปรียบไปแล้วเวบบอร์ดก็เหมือนโรงเรียน วิทยาลัย สมาคม วัด ส่วนเกมส์ออนไลน์ก็จะเหมือนสนามแข่งรถ สนามประลองยุทธ ซ่อง ผับ บาร์ นี่เป็นความแตกต่างข้อทีสาม
๗. ความเป็นพหูสูต แน่นอนบนเวบบอร์ดมีความรู้จากผู้รู้ในสาขานั้นๆสารพัดแขนง ที่เปิดโอกาศให้เราได้ซักถาม เปิดโอกาศให้เราได้เป็นผู้รอบรู้ เป็นพหูสูตร ซึ่งไม่มีแบบนี้ในเกมส์ออนไลน์แน่นอน นี่เป็นความแตกต่างข้อที่สี่
๑๕.การให้ทาน ธัมทานัง ชินาติ การให้ธัมมะ ชนะการให้ทั้งปวง บนเวบบอร์ดเรามีโอกาศที่จะให้ธัมมะที่เราพึงรู้แก่คนทั้งปวง เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่นี้ แต่บนเกมส์ออนไลน์ เราไม่มีโอกาศที่จะทำเช่นนี้เลย นี่เป็นความแตกต่างข้อที่ห้า
๑๖.การประพฤติธรรม ยกตัวอย่างข้อนี้ได้ว่า การเล่นเวบบอร์ดอย่างน้อยเราก็ได้ประพฤติธรรมสองกลุ่ม กลุ่มแรกธรรมอันคุ้มครองโลกมี หิริ (ความละอายแก่ใจ) โอตัปปะ (ความเกรงกัวต่อบาป) ธรรมกลุ่มที่สองเรียกว่าธรรมอันทำให้งามมี ขันติ(ความอดทนอดกลั้น) โสรัจจะ (ความเสงี่ยมเจียมตัว) เป็นต้น แต่ในเกมส์ออนไลน์ปลดปล่อยคำพูดตามอารมย์กันได้เต็มที่ นี่เป็นความแตกต่างข้อที่หก
๒๖.การฟังธรรมตามกาล แน่นอนบนเวบบอร์ดเรามีโอกาศที่จะได้ฟังธรรมจากผู้รู้ จากบันฑิต เหมือนอย่างที่ผมกำลังแสดงธรรมให้ดูนี้เอง แต่บนเกมส์ออนไลน์ใครจะมาแสดงธรรมให้คุณดู นี่เป็นความแตกต่างข้อที่เจ็ด
๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล นอกเหนือจากเรื่องการเมือง บนเวบบอร์ดที่เราได้สนทนากรรมกันอยู่นี้ก็เป็นหลักฐานแล้ว แต่ผมยังไม่เคยเห็นใครสนทนาธรรมกันผ่านทางเกมส์ออนไลน์ นี่เป็นความแตกต่างข้อที่แปด
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิสัชนาของผมนี้จะช่วยชี้ทางให้คุณ sleepless ได้ดวงตาเห็นธรรม เห็นความแตกต่างระหว่างการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้-ทัศนะคติผ่านทางเวบบอร์ด ว่าแตกต่างจากการติดเกมส์ออนไลน์อย่างไร
อามิตตพุทธ
