nopantaman wrote:ก่อนอื่นต้องขอบอกว่ารู้สึกยินดีนะครับที่เราเริ่มที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุและผล เพราะผลสุดท้ายไม่ว่าใครจะคิดผิดหรือคิดถูก
ผมก็คิดว่าคนอ่านน่าจะได้ความรู้เพิ่มเติมดีครับ ทีนี้ขอตอบคุณ Bookmarks ทีละประเด็นนะครับ
ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนที่ผมอาจทำให้คุณเข้าใจผิดในข้อความครับ คือที่ผมบอกว่า " ถึงรัฐมนตรีมหาดไทยจะลงนาม แต่ไม่ได้ออก(หรือที่เรียกว่าร่าง)โดยรัฐบาลครับ แต่มี***าน(พิมพ์ติดกันโดนดูด) คือกรุงเทพมหานคร(ซึ่งขณะนั้นคุณอภิรักษ์เป็นผู้ว่าอยู่)" หมายความว่ารัฐมนตรีมหาดไทยลงนามครับ แต่ก็ลงนามตามที่คณะกรรมการผังเมือง
ได้ร่างมาครับ
ประเด็นคณะกรรมการ คุณเอามาจากพระราชบัญญัติผิดอันครับ ต้องเป้นพระราชบัญญัติการผังเมือง ไม่ใช่พระราชบัญัติควบคุมอาคาร
http://www.bma-cpd.go.th/default.asp?ID=005 (ต้องขออภัยเนื่องจากผมไม่สามารถก๊อปข้อความจาก pdf มาวางเป็นภาษาไทยได้เลยขอให้ไปอ่านเอานะครับ)
พระราชบัญญัติปี 18 กำหนดคณะกรรมการตามนั้น สังเกตุตรงกำหนดให้มีผู้แทนจากองค์กรอิสระและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวางผังเมือง (ถ้าวางผังเมืองกรุงเทพฯ ใครเกี่ยวครับ) จำนวน 7 คน
พระราชบัญญัติเพิ่มเติมปี 35 มาตรา 19 กำหนดให้มีการฟังความเห็นประชาชนเพิ่มเติม
ทีนี้ที่ผมบอกว่า กทม. เป็น***าน (ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์ในการชี้ขาดนะครับ) เพราะเป็นการวางผังเมืองของกทม. ทำให้ต้องใช้คนของ กทม. มาร่วมในการวางผังเมืองด้วยครับ
คราวนี้จากพระราชบัญญัติ ทำให้ต้องมีการวางผังเมืองดังกล่าว และออกเป็นกฏกระทรวงซึ่งก็ต้องเซ็นต์โดยรัฐมนตรีมหาดไทย พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา ตอนปี 49 นั่นแหละครับ ทีนี้มาดูที่ตัวกฏกระทรวงตามนี้
http://www.bma-cpd.go.th/files/001/DOC_01.pdf และดูว่าที่ดินรัชดาอยู่ใน ย.6 ตามนี้ [urlhttp://www.asa.or.th/?q=node/312[/url]
คราวนี้ย้อนกลับมาดูกฏกระทรวงหน้า 26 ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับที่ดิน ย.6 นี่แหละครับคือข้อจำกัดของการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษที่คุณคิดว่าพจมานจะสร้าง (ตกลงเขาจะเอาไปทำธุรกิจหรือเอาไปสร้างบ้านครับ) จากข้อห้ามที่ 10 และ 11 จะสร้างได้ต้องอยู่ติดถนนขนาด 30 เมตรขึ้นไป ทำให้ไม่สามารถสร้างได้ครับ
และเงื่อนไขอีกข้อที่กฏกระทรวงปี 49 ที่คุณคิดว่าเอื้อให้ทำธุรกิจมากขึ้น แต่กลับจำกัดพื้นที่การใช้ประโยชน์มาขึ้น จากหน้า 29 เรื่องการใช้ประโยชน์ข้อ 1
ที่จำกัดพื้นที่อาคารรวมต่อพื้้นที่ดินไม่เกิน 4.5 ต่อ 1 ซึ่งลดลงจากเดิม 10 ต่อ 1
และอีกประเด็นเรื่องห้ามสร้างอาคารสูง จาก "ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท"
ซึ่งบริเวณโดยรอบศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ก็ถูกกำหนดเอาไว้ใน "ข้อ 2 เพื่อรักษาความปลอดภัยของสถาบันระดับสูงและบริเวณที่สมควรรักษาเป็นพิเศษเฉพาะแห่ง"
จาก
http://download.asa.or.th/03media/04law/cba/bb/bb32-03.pdf (จริงๆ ของสำนักผังเมืองก็มีแต่เป็น zip ผมเลยเอาของสมาคมสถาปนิกให้ดูแทนครับ) ซึ่งกำหนดไว้ในหน้า 115 ข้อ 5(2) ห้ามสร้างอาคารสูงเกิน 9 เมตร และ 5(3) พื้นที่รวมทุกชั้นในหลังเดียกันห้ามเกิน 1000 ตารางเมตร
ซึ่งข้อบัญญัตินี้ยังมีผลบังคับใช้อยู่ โดยดูได้จากข่าวการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรมจีนซึ่งอยู่ข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องขอให้ ครม. เห็นชอบให้ยกเว้น
ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัตินี้ในปี 52 จากข่าว
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000058850หรือ
http://news.impaqmsn.com/articles.aspx?id=265027&ch=gn2 ดังนั้นโดยสรุปจากหลักฐานเหล่านี้ คุณคิดว่าคำกล่าวหาที่ว่าทักษิณสั่งให้มีการแก้กฏหมายหลังจากซื้อที่ดินเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์เป็นความจริงหรือไม่ครับ
และจากมูลเหตุนี้ ผมถามคุณต่อว่า คุณคิดว่าทักษิณประมูลซื้อที่ดินรัชดาโดยละโมบหรือไม่ละครับ
คราวนี้อีกประเด็นคือ "ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดแต่ยังทำ" ผมคิดว่าคุณยกตัวอย่างไม่ตรงครับ เพราะทักษิณผิดเพราะคิดว่าตนเองไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจบังคับกองทุนฟื้นฟู
ซึ่งนายกรัฐมนตรีท่านก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็นคุณชวนหรือคุณบรรหารก็ไม่รู้ (ดูได้จากคำให้การครับ) และประกอบกับสอบถามไปที่กองทุน (โทษทีครับไม่ใช่กฤษฏีกา)
ก็บอกว่าประมูลได้ก็เลยประมูล อย่างนี้นับว่าเป็นการ รู้ว่าผิดแต่ยังทำ หรือ ทำโดยไม่รู้ว่าผิดครับ ซึ่งแตกต่างจากตัวอย่างของคุณที่เป็นกรณีรู้ว่าผิดแต่ยังทำครับ
ปล. ตอบคุณหงส์แดง ถ้าคิดจะวิเคราะห์คำตัดสินเชิงวิชาการเรื่อง 5 ต่อ 4 เสียง รบกวนไปค้นหาจากกูเกิลและอ่านพิจารณาเองครับ