น้ำท่วมครั้งนี้ บ่งชี้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไร้คุณภาพ (เขียนให้คิด)
คงไม่จำเป็นต้องพูดหรือถามอีกแล้วว่าเมืองไทย และ คนไทยทั้งประเทศได้รับความเสียหายมากมายสักเพียงใดจากเหตุอุทกภัยที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะแค่เพียงการได้สัมผัสด้วยตาของตัวเอง คนไทยก็คงจะสามารถตอบตัวเองได้ว่าน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ธรรมดา ส่วนคนที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินและต้องสูญเสียญาติพี่น้องไปในอุทกภัยครั้งนี้ ก็จะยิ่งสามารถตอบตัวเองได้ชัดเจนมากยิ่งกว่า คนที่มิได้ประสบความเสียหายโดยตรง
ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้น 1 แสนล้านบาท หรือตกประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยประเมินจาก ความเสียหายของภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม ส่วน นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนักประเมินตรงกันว่า ปัญหาที่จะตามมาโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงคือกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงักเป็นเวลาอย่างน้อย 5-6 เดือน ในขณะที่ตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจจะขยายวงกว้างขึ้นอย่างแน่นอน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องยอมรับว่าน้ำท่วมครั้งนี้มิได้ทำให้คนไทยเกือบทั้งประเทศได้รับความเสียหายอย่างมหันต์ แต่ภาพน้ำท่วมพื้นที่ต่างๆ เกือบค่อนประเทศในครั้งนี้ได้ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจในประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลอย่างไม่มีทางปฏิเสธ นักลงทุนญี่ปุ่นและชาติตะวันตกหลายรายที่ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาทิ โรจนะ ไฮเทค และสหรัตนนคร และบางปะอิน เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในการจัดการแก้ไขวิกฤติของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันอย่างชัดเจนที่สุด เริ่มตั้งแต่การเตรียมการรับมือกับปัญหาที่ไร้ทิศทาง ขาดการบูรณาการด้านการให้ ข่าวสารข้อมูลที่เที่ยงตรงกับประชาชน จนทำให้ประชาชน ไม่สามารถเตรียมการรับมือกับเหตุร้ายได้อย่างเท่าทันสถานการณ์
แต่ทว่าประเด็นที่สามานย์ยิ่งกว่าก็คือ รัฐบาลให้ข่าวสาร ที่สับสน เร่งเร้าอารมณ์ให้ประชาชนเกิดความแตกตื่น แล้วสุดท้าย เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่กล่าวอ้าง รัฐบาลก็ไร้ความรับผิดชอบ ในการกระทำเช่นเดิม ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้คือพฤติกรรมการให้ข่าวแบบมุทะลุของคุณปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
องค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) โดยคุณซัทซึโอะ เออุจิ ประธานเจโทรแสดงความเป็นห่วงเรื่องการว่าจ้างแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งที่ถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรง แต่ยังมิได้เปิดเผยตัวเลข ความเสียหายอันเกิดมาจากน้ำท่วมครั้งนี้ ส่วนคุณพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าโรงงานต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรมที่ถูก น้ำท่วมต้องใช้เวลาปรับปรุงโรงงานประมาณ 3-10 เดือนกว่าจะสามารถกลับมาเปิดดำเนินกิจการได้ตามปกติ และแสดงความเป็นห่วงว่าจะเกิดปัญหาคนตกงานจำนวนมหาศาลตามมา
สาระที่กล่าวในข้างต้นคือข้อเท็จจริงที่สาธารณะต่างรับรู้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ที่ต้องย้ำให้เห็นอีกครั้งในที่นี้ก็เพื่อตอกย้ำ ให้เห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารงานล้มเหลวโดยดุษณี
หากจะตั้งคำถามเพื่อถามหาความรับผิดชอบกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ต้องย้อนไปถึงประเด็นที่ว่า รัฐบาลเคยศึกษาข้อมูลปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศบ้างหรือไม่ ประเด็นต่อมาคือเคยศึกษาเรื่องระดับปริมาณน้ำฝนของประเทศในรอบ 2-3 ปีจนถึงช่วงปัจจุบันบ้างหรือไม่ คำถาม ก็คือรัฐบาลไม่รู้บ้างเลยหรือว่าปริมาณน้ำฝนปีนี้มากกว่า ช่วง 2 ปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลสำคัญที่ยกประเด็นนี้ มาถามรัฐบาลก็เพราะต้องการจะให้ตอบให้ชัดๆ ว่า แล้ว ที่ผ่านๆ มารัฐบาลบริหารจัดการเรื่องน้ำในเขื่อนและน้ำฝน อย่างไร มีการระบายน้ำออกจากเขื่อนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จริงมากน้อยเพียงใด (ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากสถิติน้ำฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยา และข้อมูลน้ำในเขื่อนต่างๆ จากกรมชลประทาน และจาก website thaiwater)
คำถามพื้นๆ ก็คือในเมื่อรัฐบาลรู้ดีว่าน้ำในเขื่อนมีมาก และฝนก็มีมากเช่นกัน แล้วทำไมจึงไม่บริหารจัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม แน่นอนว่าน้ำในเขื่อนมีมาก่อนที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ครั้นหากจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องนี้ สาธารณชนมีข้อแนะนำที่สั้นและกระชับที่สุดสำหรับคุณยิ่งลักษณ์คือ จงลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีเสียโดยทันที แน่นอนเช่นกันว่าอดีตรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยไหม คำตอบคือต้องรับผิดชอบด้วย แต่ภาระความรับผิดชอบก็ย่อมจะน้อยกว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน
อีกคนหนึ่งที่ต้องตอบเรื่องนี้ให้ชัดก็คือคุณธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพราะดูแลตำแหน่งนี้มาตั้งแต่สมัยอดีตรัฐบาลอภิสิทธิ์จนกระทั่งยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ทราบว่าคุณธีระจะตอบอย่างไรกับคำถามที่ว่า ทำไมไม่ระบายน้ำออกจากเขื่อนให้เหมาะสมเสียตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม-สิงหาคม จะเก็บน้ำไว้ให้ใครทำนา 4-5 ครั้งกระนั้นหรือ
ส่วนประเด็นการทำงานแบบชอบเอาหน้า และใช้อารมณ์มุทะลุ โดยขาดความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดกับ ส่วนรวมตามกรรมวิธีของคุณปลอดประสพ สุรัสวดี รมว. วิทยาศาสตร์ฯ นั้น สาธารณชนคงไม่เสียเวลาวิจารณ์ เพราะไม่มีคุณค่าพอกับให้ความสำคัญ วิญญูชนตระหนักดีว่าเมื่อเกิดปัญหาเกิดความโกลาหลแล้ว คุณปลอดประสพก็มิได้แสดงความรับผิดชอบแต่ประการใด แต่กลับทำเป็นลอยตัวเหนือน้ำแล้วหายหน้าไป
ลองฟังข้อแก้ตัวของคุณปลอดประสพดูก็แล้วกัน "ผมทำตามหน้าที่ เห็นชีวิตคนเป็นสำคัญ ด่าผมแล้วสบายใจหายเครียดก็เชิญ ก็ผมหวังดี ผมเคยเป็นผู้อำนวยการ ศูนย์เฝ้าระวังภัยคนแรก คนเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง ต้องยอมรับคำวิจารณ์ได้ สำหรับผมแล้วการเตือนผิดพลาด ไม่เป็นไร แต่คนตายเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตาม จะให้ผมไปแถลงคงไม่แล้ว ขอทำงานดีกว่า" อ่านแล้วไม่ทราบว่ามีวิญญูชนเห็นตรงไหนบ้างที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ข่าวจนสังคมโกลาหล จะรู้สึกสำนึกในความผิดพลาดของตนบ้าง
สำหรับประเด็นคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ แสดงบทร้องไห้ต่อหน้ากล้องโทรทัศน์และ ต่อหน้าสาธารณชนนั้น วิญญูชนไม่ขอวิจารณ์ เพราะไม่ทราบว่าร้องไห้ด้วยเหตุอันใด แต่รู้แค่เพียงว่าเป็นน้ำตาของนักการเมือง ซึ่งก็คงไม่ต่างไปจากการเล่นบทละครการเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น
บทสรุปสำคัญสำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้คือ ความเสียหายครั้งใหญ่หลวงของคนไทยทั้งประเทศ และ เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไร้ประสิทธิภาพ ในการบริหารจัดการเหตุภัยพิบัติของประเทศ ขอย้ำว่ารัฐบาลที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและแก้ไข วิกฤติน้ำได้ ต้องมิใช่รัฐบาลอ่อนหัด รัฐบาลเสแสร้ง รัฐบาล เสนอหน้า และรัฐบาลสร้างภาพ แต่ต้องเป็นรัฐบาลที่ ให้ข้อเท็จจริงกับประชาชนตลอดเวลา และต้องจัดการแก้ไข วิกฤติได้อย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ ข้อสรุปของข้อสรุป ครั้งนี้คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์มิมีความเหมาะสมกับการแก้วิกฤติ ของชาติด้วยประการทั้งปวง ดังนั้นจึงไม่ควรจะดันทุรังอยู่ในตำแหน่งต่อไป
http://www.naewna.com/news.asp?ID=284086