ผมก็ หางอึ่งไม่กล้าเถียงเรื่อง ไอเอ็มเอฟ แระ
เอาของคนนี้ไปดีกว่า ขอโทษที่ยาวหน่อย
------------------------------------------------------------
ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟ
คอลัมน์ คนเดินตรอก โดย วีรพงษ์ รามางกูร ประชาชาติธุรกิจ หน้า 2 วันที่ 11 สิงหาคม 2546 ปีที่ 27 ฉบับที่ 3504 (2704)
เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคมปีนี้ ผมคอยฟังสุนทรพจน์ของท่านนายกรัฐมนตรีที่กล่าวกับประชาชน เนื่องจากเป็นวันที่เราชำระหนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 2 งวดหมดก่อนกำหนดถึง 2 ปี ที่จริงจะใช้ให้หมดเสียแต่ต้นปีก็ได้ แต่บังเอิญขณะนั้นกำลังจะมีสงครามในตะวันออกกลาง น้ำมันกำลังขึ้นราคา แล้วต่อมาก็ตามมาด้วยโรคทางเดินหายใจอักเสบอย่างเฉียบพลัน ก็เลยชะลอไว้ก่อนจ่ายเป็นงวดๆ
ขณะที่ฟังสุนทรพจน์ของท่านออกทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ผมรู้สึกว่ามีอารมณ์ร่วมกับท่านนายกฯเป็นอย่างมาก ฟังจบแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ยินดีปรีดาไปกับรัฐบาลและประชาชนคนไทยด้วย ยินดีว่าเราจะสามารถดำเนินนโยบายการเงินการคลังของเราเองได้
ดีใจที่เราชำระหนี้ไอเอ็มเอฟได้หมด แล้วก็ก่อนเวลาด้วย โดยไม่ต้องรวมบัญชี "ทุนสำรองเงินตรา" กับทุน "สำรองทั่วไป" อย่างที่เคยคิดจะทำกัน โดยจะเอามรดกเก่ามาใช้เขา เราใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้หมดโดยไม่ต้องขายรัฐ วิสาหกิจเอามาใช้หนี้ ซึ่งทั้งสองรายการนี้เราเคยคิดจะทำกันอยู่เมื่อ 4-5 ปีก่อน
แต่เราใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้โดยการทำมาหาเงินตราต่างประเทศได้เองจากนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายดอกเบี้ยที่ถูกต้อง ใช้ระยะสองปีครึ่งที่ผ่านมา
ดีใจที่ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดแล้วและทุนสำรองของเราไม่ได้ลดลงเลย แต่ตรงกันข้ามทุนสำรองของเรากลับมีมากขึ้น เพียงพอที่จะใช้รักษาเสถียรภาพของเงินบาทของเราได้หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ตื่นเช้าวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันเกิดครบ 5 รอบของผม จึงรู้สึกเบิกบานใจเหมือนกับได้ของขวัญวันเกิดที่วิเศษสุดในชีวิต เพราะผมเองรู้สึกขมขื่นกับไอเอ็มเอฟมานานถึง 5-6 ปี แล้วก็นำธงชาติขึ้นปักที่ประตูหน้าบ้าน ตามคำชักชวนของท่านนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้ออกจากบ้านไปทำงาน
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับไอเอ็มเอฟ ครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับไอเอ็มเอฟในปี 2524 ปี 2525 และปี 2528 ในสมัยรัฐบาลป๋า ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยของเราก็ประสบกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจการเงินเหมือนกัน แต่สืบเนื่องมาจากวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 2
สมัยนั้นผมได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะจะต้องเป็นคนไปอธิบายชี้แจงป๋าเพื่อจะต้องลงนามใน "จดหมายแสดงเจตนา" หรือ "Letter of Intent" ครั้งนั้น เราต้องเบิกเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศถึง 5 งวด
แต่ความรู้สึกของผมกับไอเอ็มเอฟยุคนั้นกับไอเอ็มเอฟยุคนี้ต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน
หัวหน้าคณะของไอเอ็มเอฟยุคนั้นชื่อสก็อตต์ ชื่อต้นว่ายังไงก็ลืมเสียแล้ว เป็นชาวอังกฤษ การทำงานเป็นการทำร่วมกัน ระหว่างทีมไอเอ็มเอฟกับทีมคนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นความเห็นของคนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่ คุณสก็อตต์จะเป็นผู้ไปเสนอ กรรมการบริหารไอเอฟเอฟ ส่วนผมจะแอบไปชี้แจงป๋ากับท่าน รมต.ศุรี มหาสันทนะ
อาการของโรคในยุคนั้นกับยุคนี้นั้นไม่เหมือนกัน กล่าวคือในยุคนั้นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของเรา เกิดจากน้ำมันขึ้นราคา อย่างรวดเร็ว และอย่างมาก ทำให้เราต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศซื้อน้ำมันเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงประมาณหนึ่งในสาม ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด เป็นการนำเข้าน้ำมันและพลังงานอื่นๆ ขณะเดียวกันการส่งออกซบเซา เพราะทั้งภูมิภาคเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น รวมทั้งอเมริกาและยุโรปพากันแย่ตามกันไปหมด ราคาสินค้าเกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของเราก็แย่ไปด้วย การท่องเที่ยวก็ซบเซาไปพร้อมกัน ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของเราจึงขาดดุลเป็นจำนวนมากและยืดเยื้อติดต่อกันเป็นเวลานาน
น้ำมันแพงทำให้เกิดเงินเฟ้อในอัตรา 19-20% ต่อปี เงินเฟ้อในอัตราที่สูงทำให้อัตราดอกเบี้ยถีบตัวสูงขึ้นไปด้วย จำได้ว่าป๋าต้องแก้กฎหมายยอมให้อัตราดอกเบี้ยกู้ยืม จากสถาบันการเงินสูงกว่า 15% ได้ เกิดภาวะเงินตึงตัวเป็นระยะๆ อยู่เสมอ
พวกเราคนไทยต้องอธิบายให้คุณสก็อตต์เสมอว่า ระบบเศรษฐกิจของเราเป็นอย่างไร มาตรการมีจากเบาไปทางหนัก ถ้าอันไหนทำแล้วเสียหายก็ถอย
ขณะนั้นมีบริษัทเงินทุนกว่า 30 แห่งธนาคาร 5 แห่งมีปัญหา ตามธรรมเนียมไอเอ็มเอฟก็จะให้ปิดท่าเดียว แล้วก็ไม่ให้ประกันเงินฝาก จะให้ตั้งสถาบันประกันเงินฝากแทน ท่านรัฐมนตรีสมหมายลองปิดไป 8 แห่งเกิดเรื่องใหญ่ ทำท่าจะลุกลามล้มหมดทั้งระบบ ท่านจึงเลิกแล้วทำโครงการ 4 เมษา หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Life Boat Program" มาใช้แทนการปิด แล้วประมูลขายสินทรัพย์แบบที่ไอเอ็มเอฟบังคับให้ทำในยุคนี้ จึงไม่ทำให้การเงินถูกตัดขาดตอนแบบที่เราทำในคราวหลังนี้ ทำให้บริษัทดีๆ ก็เลยย่ำแย่ไปด้วย
เมื่อเรานำมาหารือกันแล้วไอเอ็มเอฟก็ยอม เมื่อคราวขึ้นราคารถเมล์เกิดเรื่องใหญ่ มีการประท้วงใหญ่โต ผู้นำกองทัพไม่เห็นด้วย การเมืองจะไปไม่รอด เมื่อปรึกษากันแล้วไอเอ็มเอฟก็ยอมให้ถอย
การทำงานกับไอเอ็มเอฟยุคป๋าจึงไม่ค่อยผิดพลาด เพราะความเห็นมาจากทีมคนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่
หนังสือแสดงเจตนาแต่ละฉบับป๋าไม่ได้อนุมัติง่ายๆ ไม่ได้ปล่อยให้รัฐมนตรีกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยว่ากันไปง่ายๆ เพราะท่านต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง
มีอยู่หลายครั้งป๋าไม่ยอมอนุมัติหนังสือแสดงเจตนารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉบับที่ 5 ท่านรัฐมนตรีสมหมายกับท่านผู้ว่าการกำจร จึงขอให้ผมไปชี้แจงป๋าที่บ้านสี่เสา เพราะพวกเขาได้เห็นกันมาก่อนแล้ว
ป๋าซักรายละเอียดอยู่นานตั้งแต่ 6 โมงเย็น ไปจนถึง 4 ทุ่มครึ่งไม่ได้ทานข้าวเย็นทั้งคู่
มาคราวนี้ในการเจรจากับไอเอ็มเอฟ เมื่อผมเข้าไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี บรรยากาศเป็นคนละเรื่องกับคราวก่อน ดร.สแตนลี ฟิชเชอร์ รองผู้อำนวยการใหญ่คนที่หนึ่งของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ขอนัดพบรองนายกฯ โดยให้มารับประทานข้าวเช้าด้วย ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ไม่ได้ขอมาพบที่ทำงาน โดยอ้างว่าไม่มีเวลา ผมต้องยอมลดเกียรติของตำแหน่งไปพบ เพราะคิดว่าต้องพึ่งเงินกู้จากเขา ผมนึกในใจว่า ดร.ฟิชเชอร์ลงทุนบินมาเมืองไทยทั้งที ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะพบกับรองนายกฯ แล้วมาทำไมก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา แค่มากินข้าวเช้าด้วยกันมื้อเดียว จะได้เรื่องอะไร
ผมบอกเขาว่าเราควรจะปรึกษาหารือกันว่าที่เจ้าหน้าที่ทำข้อเสนอเรื่องนโยบายมานั้นถูกต้องหรือไม่ เขาบอกว่าทางไอเอ็มเอฟมีผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายฮูแบรต ไนส์ กับทีมงานของเขา ผมไม่ต้องทำอะไรหรอก เขาจะเตรียมหนังสือแสดงเจตนามาให้เอง เพราะมีแบบมาตรฐานอยู่แล้ว
ตัวเขาเองต้องดูแลประเทศต่างๆ ที่มีปัญหาทางการเงินอยู่ทั่วโลก ไม่มีเวลาจะมาดูแลประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ ผมนึกในใจว่าถ้านายคนนี้มีความคิดแบบนี้ บ้านเราคงแย่แน่
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ไอเอ็มเอฟเที่ยวนี้มองประเทศไทยเหมือนกับประเทศ เอนพีแอล จุดมุ่งหมายมีอย่างเดียวทำอย่างไรปล่อยเงินกู้ไปแล้วเขาจะได้เงินคืน
นโยบายที่ไอเอ็มเอฟบังคับให้เราทำในเวลาต่อมาจึงไม่ใช่มุ่งประเด็นประคับประคองสถานการณ์ซึ่งอย่างไรก็ต้องแย่อยู่แล้ว ไม่ได้มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่บีบให้ทุกอย่างหดตัวลงทุกทาง ทั้งในด้านการเงินการคลัง ทั้งสถาบันการเงินให้ปิดสถาบันการเงิน ประฌามประเทศไทยว่ามีแต่ผู้บริหารที่คดโกงทั้งในภาครัฐบาลและภาคเอกชน ไม่โปร่งใส ไม่มีธรรมาภิบาลในบริษัท (bad governance) ทั้งๆ ที่เจ้าหนี้ฝรั่งทั้งหลายเวลาปล่อยเงินกู้ก็ปล่อย เพราะผู้บริหารที่เขาประฌามนั่นเอง
การที่ผู้บริหารบริษัทไทย สถาบันการเงินของไทยไปออกพันธบัตรหุ้นกู้ และกู้ยืมก็เพราะการแนะนำ ของบริษัทวาณิชธนกิจทั้งหลายเหล่านั้น และยิ่งกว่าการแนะนำ ยังเป็นผู้ค้ำประกันการขายพันธบัตรหุ้นกู้เหล่านั้นด้วย
แต่พอเกิดเรื่องผู้บริหารทั้งในภาคเอกชน และภาครัฐบาลทั้งหลายที่นายธนาคารสถาบันการเงินฝรั่งยกย่องให้เป็นผู้กู้เงิน ประกันการขายตราสารหนี้ทั้งหลายให้ก็เลยเป็นผู้ร้ายไปหมด ไม่โปร่งใสไปหมด ไม่มีธรรมาภิบาลไปหมด ต้องออกกฎหมายใหม่มาแก้กฎหมายเล่นงานให้ได้
ตอนที่จะแห่กันมาหาธุรกิจ มาหากำไรในเมืองไทยก็บอกว่าเราเป็นพระเอก เป็นเสือตัวที่ห้า
ปกติหน้าที่ของรัฐบาลก็คือเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ดูแลเศรษฐกิจและพ่อค้าประชาชนมากขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของเอกชนในยามเศรษฐกิจรุ่งเรือง และคอยดูอย่าให้ร้อนแรงเกินไป
ไอเอ็มเอฟมาใหม่บอกว่า ไม่ได้ต้องเป็นไปตาม "กลไกตลาด" รัฐบาลห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยว ใครจะล้มจะมีผลกระทบอย่างไร อย่าเข้าไปยุ่ง รัฐบาลมีหน้าที่ปัดกวาดสถาบันการเงินให้สะอาด มีหน้าที่บีบบังคับให้สถาบันการเงินมีการสำรองให้พอกับหนี้เสีย ซึ่งได้เปลี่ยนคำจำกัดความให้เข้มงวดยิ่งขึ้น แล้วต้องเพิ่มทุนให้พอ ถ้าเพิ่มทุนไม่ได้ก็ให้ขายออกไปให้ต่างชาติเสีย
ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ก็ต้องลดขนาดของตนลง (down sizing) โดยการเรียกหนี้คืน ตัดสินเชื่อ ฯลฯ อย่างที่เราเห็นกัน
คำจำกัดความของหนี้เสียแทนที่จะเข้มงวดตอนเศรษฐกิจร้อนแรงแล้วก็ผ่อนคลายตอนเศรษฐกิจมีวิกฤต แต่ให้ทำกลับกัน
ทุกอย่างถ้ารัฐบาลเข้าไปช่วยหรือผ่อนคลาย หรือให้ลูกหนี้เข้ามาซื้อหนี้เสียของตนคืนหรือเจรจาประนอมหนี้ไม่ได้เพราะจะเป็น "อันตรายต่อศีลธรรม" หรือ "เสียวัฒนธรรมของการเป็นลูกหนี้" แต่ถ้าฝรั่งประมูลถูกๆ แล้วไปเจรจาประนอมหนี้กับลูกหนี้ได้ไม่เป็น "อันตรายต่อศีลธรรม" หรือไม่ "เสียวัฒนธรรมของการเป็นลูกหนี้"
ที่น่าช้ำใจที่สุดก็คือ รัฐบาลในยุคนั้นกลับไปเห็นดีเห็นงามกับเขาไปเสียหมด สุนทรพจน์ของผู้นำไทย ในการประชุมระหว่างประเทศฟังแล้วเหมือนสุนทรพจน์ของไอเอ็มเอฟ มากกว่าเป็นสุนทรพจน์ของผู้นำของเรา
เมื่อมาเลเซียประกาศนโยบายที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับมาเลเซีย ไม่เป็นไปตามสูตรสำเร็จของไอเอ็มเอฟ กองทุนการเงินระหว่างประเทศรวมทั้งพวกเราในยุคนั้นด้วยก็รุมประฌามมาเลเซียกันใหญ่ และทำนายว่ามาเลเซียจะต้องแย่จะต้องล้มละลาย ภายหลังจึงยอมรับว่ามาเลเซียทำถูก
ในที่สุดไอเอ็มเอฟเองก็ต้องยอมรับว่า ยาที่ตัวปรุงให้ประเทศไทยนั้นผิด นายกองเดส์ซูส์ นายสแตนลี ฟิชเชอร์ นายฮูแบรต ไนส์ ก่อนครบวาระต้องลาออกกันหมด แต่ผู้ที่ต้องรับกรรมเพราะความผิดพลาดของไอเอ็มเอฟคือประชาชนคนไทย เกียรติภูมิของไอเอ็มเอฟตั้งแต่นั้นมาก็ตกต่ำลงเป็นอันมาก
บทเรียนที่เจ็บปวดครั้งนี้ควรจะต้องเขียนบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประเทศอื่นๆ ที่ต้องพึ่งไอเอ็มเอฟในยามมีวิกฤตและเป็นบทเรียนกับเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟชุดใหม่ด้วย
สำหรับบ้านเราหวังว่าจะไม่ต้องไปยุ่งกับไอเอ็มเอฟอีก