MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

เรื่องการเมือง เชิญที่นี่เลยครับ
Forum rules
- ห้ามใช้คำพูดหยาบคาย
- ห้ามโพสกระทู้หรือข้อความที่ดูหมิ่นเสียดสีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันขาด

เชิญทุกท่านเข้าสู่บอร์ดใหม่ได้ที่ http://webboard.serithai.net ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ viewtopic.php?f=2&t=44976 ครับ

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 6:24 pm

Robert De Niro wrote:
ฉลาม wrote:ได้รับข้อมูลเป็นบทความเรื่อง "เหตุผลของคนแพ้ที่ฟังไม่ขึ้น" (คดีปราสาทพระวิหาร) ของ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

บทความค่อนข้างโจมตีอาจารย์อาวุโสหลายท่าน อาจโดนข้อหาไม่รักชาติเอาง่าย ๆ เลยไม่อยากนำมาลง ใครอยากอ่าน ลองๆ เสิร์ช ดู น่าจะเจอ

สรุปง่ายๆ ว่า หากเขมรนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้ง ไทยก็แพ้ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ ที่เคยต่อสู้แล้วแพ้มาก่อน โดยเฉพาะเรื่อง แผนที่ฝรั่งเศส

หากพูดไปก็ขัดใจกันเปล่า ๆ


ก่อนจะอ้างบทความของใคร อย่าละเลยที่จะใส่ใจปูมหลัง ตลอดจนผลงานในอดีต
ของผู้เขียนบทความด้วยนะครับ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี มีบทความไปลงบ่อยๆใน ฟ้าเดียวกัน ตลอดจนประชาไท
คนคนนี้เคยเขียน "ภูมิซรอล (ตอนวิหารแห่งความเขลา)" ต่อต้านการเปลี่ยนชื่อ
หมู่บ้านในเขตพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร ให้มีความเป็นไทยมากขึ้น

จำได้ไหมเร็วๆนี้ ฮุนเซ็น พูดว่าอย่างไรเรื่องการแบ่งเขตแดน นั่นก็คือไอเดียเดียวกัน
นั่นแหละครับ และถ้าจะเอาตามนั้น ประเทศไทยไม่ได้หายไปแค่ปราสาทเขาพระวิหาร
หรอกครับ แต่จะหายไปหลายจังหวัดเลยล่ะ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี คนคนนี้เค้าเดินเอียงๆ นะครับ :D


รัฐธรรมนูญ ให้สิทธิ์ เรื่องศิลปะวัฒนธรรม ภาษา ฯลฯ ของชุมชนพื้นถิ่น ก็ต้องเป็นไปตามนั้นครับ แถบอีสานใต้ มีเชื้อชาติต่างๆ กว่า 20-30 เชื้อชาติ ว่างๆ ลองศึกษาดูครับ

มันไม่ใช่มีแต่เขมรนะครับ...มีข่า ขมุ ส่วย ลาว ฯลฯ นั่นแหละคือ "สยาม" คือประเทศรวมเผ่าพันธุ์

ส่วนเรื่องแผ่นดินหายไปทั้งจังหวัด พี่ก็พูดเกินไป ใครเค้าจะไปยอมแบบนั้น สนธิสัญญามันมีอยู่ ปักปันกันเสร็จหมดแล้ว

ส่วน JBC กว่าจะไปเสร็จสิ้นที่รัฐสภาให้การรับรอง มีกรรมการอีกหลายชุด
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Tue Aug 17, 2010 6:35 pm

ดิฉันสงสัย..
เรามีโอกาสแค่ไหน ถ้าหากคิดจะยกเลิกสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904, 1907 ใครพอจะทราบบ้าง?
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 6:36 pm

เคยค้นดูเหมือนกัน แต่คิดว่าไม่น่าจะได้ นอกจากใช้สงคราม แบบ จอมพลป. แต่ก็มาได้ไม่กี่ปี ก็ต้องคืนเค้าไป

ลองค้นดู วิชากฎหมายระหว่างประเทศชั้นสูง (LA750) มีเรื่องแก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกสนธิสัญญาอยู่ด้วย
Last edited by ฉลาม on Tue Aug 17, 2010 7:10 pm, edited 1 time in total.
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ประชาไทย » Tue Aug 17, 2010 6:48 pm

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ Mou หรือสนธิสัญญา
แต่มันจากคนนี่แหละ ตั้งแต่ 2544-2549 ทักษิณทำอะไรบ้างกับปัญหาชายแดน
ทางพม่า ก็ช่วยให้ พม่ากำจัดชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน เพื่อประโยชน์ในการไปทำธรุกิจในพม่า
ทางเขมรก็ ยอมให้ เข้ามาตั้งบ้านเรือนถิ่นฐานในเขตไทยโดยไม่ยอมขับไล่ เพื่อประโยชน์ในการทำธรุกิจในเขมร
สิ่งที่เกิดอยู่ทุกวันนี้ ผลที่แน่ๆๆ มาจากทักษิณ90 เปอร์เชนต์
User avatar
ประชาไทย
 
Posts: 256
Joined: Thu Jun 25, 2009 8:55 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Robert De Niro » Tue Aug 17, 2010 6:56 pm

ฉลาม wrote:...ส่วนเรื่องแผ่นดินหายไปทั้งจังหวัด พี่ก็พูดเกินไป ใครเค้าจะไปยอมแบบนั้น... [/color]

แล้วผมเขียนไปรึยังครับว่าใครจะยอมหรือไม่อย่างไร ผมแค่พูดว่ามันเป็นแนวคิดของฮุนเซ็น
แค่เปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้าเอาตามแบบฮุนเซ็นมันก็หายกันเป็นจังหวัดน่ะสิ ซึ่งก็ไม่มีใครบ้าจี้
เอาตามนั้นอยู่แล้วนี่ครับ

โยงไปให้เห็นว่า คุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ท่านเอามาอ้างนั้น เค้าเคยออกมาต่อต้านด้วย
การเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านด้วยเหตุผลแบบนี้ ซึ่งมันรับกับไอเดียฮุนเซ็นที่อยากจะให้ตัดสินกันด้วย
ลักษณะทางท้องถิ่นพอดี มันก็แค่นั้นเอง

จริงๆเรื่องเปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน ชื่ออำเภอ ชื่อจังหวัด หรือชื่อต้นไม้ ถ้ามันทำแล้วดูดีขึ้น เพราะขึ้น
เรียกง่ายขึ้น ฟังแล้วรู้สึกว่าตรงนี้มันแผ่นดินไทย ไม่ใช่ของเขมร

ก็ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไร ไม่ใช่หรือครับ ?
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 7:09 pm

ลองเปิดหมวดสิทธิพื้นฐานในรัฐธรรมนูญดูนะครับ เผื่อจะเข้าใจอะไรง่ายขึ้น เอามาตรา 66 ก็ได้
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Robert De Niro » Tue Aug 17, 2010 7:40 pm

ฉลาม wrote:ลองเปิดหมวดสิทธิพื้นฐานในรัฐธรรมนูญดูนะครับ เผื่อจะเข้าใจอะไรง่ายขึ้น เอามาตรา 66 ก็ได้


ผมว่าคุณฉลามเข้าใจอะไรยากไปรึเปล่าครับ :mrgreen:

เค้าไม่ได้บังคับหรือเอาปืนจี้ว่าต้องพูดตามแบบนี้ แบบนั้นนะครับ
อยากเรียกชื่อเก่าก็เรียกไป แต่เค้ามีชื่อใหม่มาให้ด้วย

นั่งสองแถวจะบอกชื่อเก่าหรือชื่อใหม่ เค้าก็ไปได้ทั้งนั้น จังหวัด
อย่างเขลางค์นครยังเปลี่ยนเป็นลำปางได้เลยครับ เมืองต่างๆใน
ประเทศไทยก็เปลี่ยนชื่อกันมาเยอะแยะ

หรือยกตัวอย่างง่ายๆ เผื่อจะยังไม่หายงง เอาเรื่องต้นไม้ละกัน
ลั่นทม คือชื่อเดิมของต้นลีลาวดี ใช่ไหม


เวลาคุณไปซื้อคุณไปบอกคนขายว่าซื้อต้นลั่นทมก็ได้ใช่ไหมครับ
คุณไปบอกเค้าว่าซื้อต้นลีลาวดีก็ได้ใช่ไหมครับ

ไม่ได้มีใครไปบังคับ และก็ไม่ได้มีความผิดอะไรไม่ใช่หรือครับ :D
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Tue Aug 17, 2010 7:46 pm

เคยเห็นป้ายถนน เป็นภาษา พื้นถิ่นมั๊ยครับ

ภาคเหนือก็มีอักษรเหนือ อีสานใต้ก็มีอักษรแบบอีสาน ตัวหนังสือภาษาพื้นถิ่นของเค้าแท้ๆ ทำไมจะอนุรักษ์ไม่ได้

ทำไมจะอนุรักษ์ชื่อหมู่บ้านที่ปู่ย่าตายายเรียกกันตามภาษาพื้นถิ่นไม่ได้

รัฐธรรมนูญ มาตรา 66 ก็เปิดให้ใช้สิทธิ์นั้นอยู่แล้ว


ถ้าเจ้าหน้าที่ทะเบียน บอกว่า ให้คุณเปลี่ยนชื่อลูก คุณยอมมั๊ย
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Robert De Niro » Tue Aug 17, 2010 8:01 pm

อย่าเพิ่งดริฟท์สิครับท่าน :lol:

เมื่อกิ๊ประเด็นอยู่ที่เรื่องเปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน ท่านบอกว่าให้ไปอ่านหมวดสิทธิพื้นฐาน
ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 66 ทำนองว่ามันผิดนะ

ผมก็แย้งไปว่าเค้าไม่ได้บังคับให้เรียกนะ ไม่ใช่ว่าคุณเรียกผิดติดคุก อะไรทำนองนี้
เค้ามีชื่อใหม่มาให้ เพื่อให้มันฟังแล้วรู้สึกว่านี่มันชื่อไทย เป็นของแผ่นดินไทย

ส่วนใครจะชอบชื่อเขมรก็เรียกกันไปสิครับ ป้ายถนนก็มีวงเล็บชื่อเดิมได้นี่ครับ
ซอยบ้านผมเค้าเปลี่ยนชื่อใหม่ ยังไม่เห็นมีใครบ้าไปประท้วงกันเลย

คุยไปคุยมา ท่านก็พาออกทะเลอีกแล้ว จะเอางี้จริงๆ...เหรอ
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby loginofu » Tue Aug 17, 2010 8:35 pm

อืม...เรื่องเปลี่ยนชื่อลูกเนี่ย ถ้ามันเป็นชื่อที่ไม่เหมาะสม เขาไม่ให้จดให้ไปคิดชื่อมาใหม่ก็ได้นะ
หรือ ลีลาวดี นั่นก็เปลี่ยนมาจากลั่นทม เปลี่ยนแล้วก็ขายดิบขายดีซะอีก

แต่จะให้เรียกเปรีย วี เฮีย แทนพระวิหารเนี่ย อันนี้ ท่าจะยอมกันยาก
แต่ มันก็คนละเรื่องกันไม่ใช่เหรอ
http://www.prachathon.org/forum/index.php
ทางเข้าบอร์ดสำรอง http://siamseri.orgfree.com/
ประชาทนธิปไตย : ทนได้ก็ทนไป
loginofu
 
Posts: 10316
Joined: Mon Oct 13, 2008 3:22 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Robert De Niro » Wed Aug 18, 2010 8:36 am

ถ้าจะให้มานั่งโต้ท่านฉลามทุกประเด็นน่ะ ผมตอบท่านได้หมดแหละ
แต่มันจะทำให้กระทู้ที่ผมเห็นว่าดีอยู่แล้ว ที่ท่านตั้งใจจะรวบรวมข้อมูล
ในเรื่อง MOU มีอันต้องถูกเบี่ยงเบนไป

อย่างเรื่องป้ายถนนภาษาถิ่นนั้น ภาคเหนือก็ไม่มีป้ายถนนที่ใช้อักษร
ล้านนาดั้งเดิมเป็นป้ายหลัก เพราะไม่มีใครอ่านออก

อย่างมากก็แค่เป็นป้ายเสริม ทำสวยๆเพื่อการท่องเที่ยว ผมเป็นคนเหนือ
โดยกำเนิดผมยืนยันได้ครับ

ที่ผมติงในเรื่องการนำบทความของคุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ท่านมา
แนะนำนั้น ไม่ได้คิดว่ามันไม่ควรอ่าน(ผมเองยังอ่านจบไปแล้วเลย)

แต่อยากให้อ่านอย่างรู้เท่าทัน ว่าผู้เขียนท่านนี้ เคยมีความคิดความอ่าน
เช่นไรมาก่อน จะได้ประเมิณภาวะทางความคิดของผู้เขียนได้ถูกต้อง
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Robert De Niro » Wed Aug 18, 2010 9:09 am

มาว่าเรื่อง คุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ให้จบไปซะตรงนี้เลยดีกว่า

ท่านผู้นี้รู้เรื่องทางอีสานเป็นอย่างดี แต่ logic ในการแปลงความรู้เป็นความเห็นนั้น
ผมคิดว่ามีปัญหานะ

ตัวอย่างบางส่วนจากบทความเรื่อง "ภูมิซรอล (ตอนวิหารแห่งความเขลา)"

"...ก่อนที่จะได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้าน เห็นสมควรเสนอให้ท่านวุฒิสมาชิก
เสนอร่างกฎหมายสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อยกเลิกราชาศัพท์ และ ภาษาราชการ
จำนวนมากที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร จากนั้นจึงดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้าน
ให้สอดคล้องกับภาษาไทยที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว..."

ทะลึ่งโยงไปราชาศัพท์โน่น ทั้งๆที่ก็รู้กันอยู่ว่าภาษาไทยที่เราใช้ๆกันมันมีอิทธิพลจาก
หลายๆภาษา ซึ่งไม่ได้มีแค่ภาษาเขมร

เป็นเรื่องปรติที่ท้องถิ่นใกล้เคียงจะมีการเชื่อมโยงทางภาษาและวัฒนธรรมกัน ทางยุโรป
ก็เป็นแบบนี้ แต่จริตของผู้เขียนบทความก็ลากไปโน่น

คุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี เคยเขียนบทความเรื่อง "สมัคร สุนทรเวช - อีกหนึ่งความ
ภูมิใจของพันธมิตรประชาชนเพื่อการรัฐประหาร"

ด้วยการสรุปแบบหยาบๆว่าข้อกล่าวหาของพันธมิตรต่อทักษิณนั้นเหลวไหลเพราะอัยการ
สั่งไม่ฟ้อง

เชิญท่าน canthai และท่านฉลาม ว่าเรื่อง MOU ต่อเถอะครับ :D
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Wed Aug 18, 2010 12:08 pm

บทความเกี่ยวกับพระวิหาร ในสาย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ จะมีมุมมองที่ต้องก้าวให้พ้นเรื่องเชื้อชาติ

เนื่องเพราะมันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ "สยาม" ซึ่งหมายรวมถึงทุกเชื้อชาติในอุษาคเนย์

ลองเสิร์ช ชื่อ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และลูกศิษย์ลูกหา จะมีเนื้อหาที่ออกมาทางนี้

คือต้องก้าวให้พ้นมายาคติเรื่องเชื้อชาติ เพราะแม้แต่คำถามที่ว่า ใครคือต้นราชวงศ์ของกษัตริย์ที่สร้างปราสาทพระวิหาร

ก็ยังผูกโยงมาถึงลพบุรี ถ้าคิดว่ามันเป็นรดกของชนชาติสยาม ก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่จะพยายามมองหาแนวทางใช้ประโยชน์ร่วมกัน

เพราะความมุ่งหมายของปราสาทพระวิหารก็คือความเป็น ศาสนสถาน หรือ "วัด" นั่นเอง


เมื่อเป็น "วัด" ก็หมายรวมถึงคนทุกเชื้อชาติ ที่นับถือศาสนาเดียวกัน มันมีจุดร่วมกันตรงนั้น

เนื่องเพราะสมัยก่อนมันเป็นสาธารณะสถาน กควรคิดถึงประโยชน์ของศาสนสถานให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงเรื่อง มรดกโลก

ก็มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็น สมบัติของทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนาและไม่เคยคิดถึงขอบเขตประเทศ


http://www.charnvitkasetsiri.com/
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Robert De Niro » Wed Aug 18, 2010 12:56 pm

อุ๊บส์ ขออนุญาติแทรกข้อมูลท่านฉลามนะครับ ปล่อยผ่านไปไม่ได้จริงๆ

ก่อนที่จะอ่านบทความของ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ น่าจะลองอ่าน สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553
ลงในเวปของอาจารณ์เอง เพื่อพิจารณาภูมิปัญญาและคติความคิดในใจของผู้เขียนนะครับ

"...หากเราจะดูจาก “การ์ตูนการเมือง” (ซึ่งอาจจะดีกว่าอ่านบทความ) ในหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น“ไทยรัฐ”
หน้า 3 การ์ตูนของ “เซีย” หรืออย่าง “เกาเหลาชามเล็ก” ของ “ทิน” ใน “มติชน” ก็เอาเรื่องนี้มาล้อเลียน
ทำเป็นเรื่องตลก ทำให้อำนาจของรัฐ (หรือรัฐบาล) ขาดความขลัง มีสิทธิพัง ถูกหัวเราะเยาะ..."


ท่านนี้ให้เครดิตคนอย่าง “เซีย” แทนที่จะพูดถึงอีกท่านคือ ท่านชัย ราชวัตร ในฉบับเดียวกัน ซึ่งทิศทางของ
การ์ตูนวิ่งสวนกันมาโดยตลอด

ขอต่ออีกนิด ท่านนี้ยังคิดว่าการที่ ชวลิต-สมชาย ขอเข้าเฝ้าในตอนนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะทำตามตามแบบ
ทำเลียนแบบ เสกสรรค์ ในปี 2516

ผู้อ่านทั้งหลายก็ลองประเมิณบุคคลท่านนี้ดูเอาเองก็แล้วกันนะครับ

ปล. กรุณาอย่าดึงออกนอกประเด็นนะครับ และอย่าคิดว่าผมจ้องขวางท่าน ผมว่าไปตามเนื้อผ้า บางเรื่อง
เห็นด้วย บางเรื่องขอท้วงติง บางเรื่องก็ขอเสริม ใช่ว่าผมจะขัดแย้งไปซะทุกความเห็นของท่านฉลาม
หรือแม้แต่ของ ดร.ชาญวิทย์ :D
กองกำลังไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (...ใส่แว่นสีฟ้า)
User avatar
Robert De Niro
 
Posts: 6093
Joined: Sat Nov 08, 2008 11:27 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Wed Aug 18, 2010 1:14 pm

ความเห็นของมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันมิใช่หรือ

แต่ช่างน่าสงสารประชาชนผู้ยังหลงมายาคติเรื่องเชื้อชาติ ชนชาติ รัฐชาติ ในมิติของเพื่อนร่วมโลก
Last edited by ฉลาม on Thu Aug 19, 2010 4:42 am, edited 2 times in total.
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Wed Aug 18, 2010 1:50 pm

ฉลาม wrote:บทความเกี่ยวกับพระวิหาร ในสาย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ จะมีมุมมองที่ต้องก้าวให้พ้นเรื่องเชื้อชาติ

เนื่องเพราะมันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ "สยาม" ซึ่งหมายรวมถึงทุกเชื้อชาติในอุษาคเนย์

ลองเสิร์ช ชื่อ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และลูกศิษย์ลูกหา จะมีเนื้อหาที่ออกมาทางนี้

คือต้องก้าวให้พ้นมายาคติเรื่องเชื้อชาติ เพราะแม้แต่คำถามที่ว่า ใครคือต้นราชวงศ์ของกษัตริย์ที่สร้างปราสาทพระวิหาร

ก็ยังผูกโยงมาถึงลพบุรี ถ้าคิดว่ามันเป็นรดกของชนชาติสยาม ก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่จะพยายามมองหาแนวทางใช้ประโยชน์ร่วมกัน

เพราะความมุ่งหมายของปราสาทพระวิหารก็คือความเป็น ศาสนสถาน หรือ "วัด" นั่นเอง


เมื่อเป็น "วัด" ก็หมายรวมถึงคนทุกเชื้อชาติ ที่นับถือศาสนาเดียวกัน มันมีจุดร่วมกันตรงนั้น

เนื่องเพราะสมัยก่อนมันเป็นสาธารณะสถาน กควรคิดถึงประโยชน์ของศาสนสถานให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงเรื่อง มรดกโลก


ก็มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็น สมบัติของทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนาและไม่เคยคิดถึงขอบเขตประเทศ


http://www.charnvitkasetsiri.com/


อยากให้กัมพูชาเพื่อนบ้านของเรา มองเห็นเช่นนี้เหมือนกันค่ะ
ถ้าต่างมองเห็นซึ่งจุดมุ่งหมายดีงามร่วมกัน ปัญหาการขึ้นทะเบียนมรดกโลกก็คงจบไปได้นานแล้ว
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby Jseventh » Wed Aug 18, 2010 2:09 pm

แต่ความจริงแล้ว มันคืออะไร?

ฝ่ายที่ฝันสวยงามว่า เราจะก้าวข้ามมายาคติเรื่องเชื้อชาติ...ทำไมสร้างฝันให้เราแต่ฝ่ายเดียว
มีเราฝ่ายเดียว ประเทศเดียวเท่านั้นหรือ ที่ต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ ตบมือข้างเดียวจะดังหรือ?

ทำไมไม่ปลุกจิตสำนึกร่วมกัน ทำไมไม่โน้มน้าวให้เพื่อนบ้านเราเห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่ดีๆนี้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันด้วยความสมัครใจ จะได้ไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายขมขื่น รู้สึกเหมือนถูกบังคับ หรือต้องรู้สึกว่าเป็นผู้แพ้

เห็นแต่มีคำต่อว่าต่อขานคนในประเทศเดียวกันเอง แต่บางครั้ง กลับปิดหูปิดตาไม่มองพฤติกรรมของเพื่อนบ้านหรือนานาชาติ /ใครบ้างไม่อยากอยู่ในสังคมหรือท่ามกลางมิตรประเทศที่ดีๆ...แต่คำถามก็คือ เราทำได้แค่ไหน? และอย่างไร?
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเทวาหรือซาตาน มนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
User avatar
Jseventh
 
Posts: 1741
Joined: Wed Nov 19, 2008 11:19 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Wed Aug 18, 2010 2:16 pm

Jseventh wrote:
ฉลาม wrote:บทความเกี่ยวกับพระวิหาร ในสาย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ จะมีมุมมองที่ต้องก้าวให้พ้นเรื่องเชื้อชาติ

เนื่องเพราะมันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ "สยาม" ซึ่งหมายรวมถึงทุกเชื้อชาติในอุษาคเนย์

ลองเสิร์ช ชื่อ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และลูกศิษย์ลูกหา จะมีเนื้อหาที่ออกมาทางนี้

คือต้องก้าวให้พ้นมายาคติเรื่องเชื้อชาติ เพราะแม้แต่คำถามที่ว่า ใครคือต้นราชวงศ์ของกษัตริย์ที่สร้างปราสาทพระวิหาร

ก็ยังผูกโยงมาถึงลพบุรี ถ้าคิดว่ามันเป็นมรดกของชนชาติสยามก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่จะพยายามมองหาแนวทางใช้ประโยชน์ร่วมกัน

เพราะความมุ่งหมายของปราสาทพระวิหารก็คือความเป็น ศาสนสถาน หรือ "วัด" นั่นเอง


เมื่อเป็น "วัด" ก็หมายรวมถึงคนทุกเชื้อชาติ ที่นับถือศาสนาเดียวกัน มันมีจุดร่วมกันตรงนั้น

เนื่องเพราะสมัยก่อนมันเป็นสาธารณะสถาน ก็ควรคิดถึงประโยชน์ของศาสนสถานให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงเรื่อง มรดกโลก


ซึ่งก็มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็น สมบัติของทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนาและไม่เคยคิดถึงขอบเขตประเทศ


http://www.charnvitkasetsiri.com/


อยากให้กัมพูชาเพื่อนบ้านของเรา มองเห็นเช่นนี้เหมือนกันค่ะ
ถ้าต่างมองเห็นซึ่งจุดมุ่งหมายดีงามร่วมกัน ปัญหาการขึ้นทะเบียนมรดกโลกก็คงจบไปได้นานแล้ว


แนวคิดเรื่อง "สยามประเทศ" เป็นเรื่องที่ควรใคร่ครวญ แม้จะไม่สามารถดึงกลับคำว่า สยามประเทศได้ แต่แนวคิดสายนี้ คือการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อสยามในอุษาคเนย์ นั่นเอง

คนที่ศึกษาเรื่องเอเชียใต้ ย่อมมีความสะดวกใจที่จะนำเสนอแนวคิดนี้ เพราะถึงที่สุดแล้ว การศึกษาก็เพื่อให้มวลมนุษยชาติหันมาปรองดองสมานฉันท์

มิใช่ตั้งตัวเป็นศัตรูกันเพียงเพราะเกิดต่างพื้นที่ แตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา

ซึ่งน่าจะเป็นเรื่อง "น่าสงสาร" ที่โลกนี้มีแนวคิดที่ไม่ส่งเสริมสันติภาพหรือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สมานฉันท์

ถึงที่สุดคนที่ทำงานหรือศึกษาเรื่องเอเชียศึกษาที่ยังก้าวไม่พ้นมายาคติเรื่องเชื้อชาติ พรมแดน ก็น่าเสียดายมาก หากยังตกหลุมดำเรื่องเชื้อชาติ ศาสนากันอยู่เช่นนั้น
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Wed Aug 18, 2010 2:19 pm

สยามประเทศ ก่อนปรากฏบนแผนที่โลก

http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0% ... %E0%B8%81/
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Thu Aug 19, 2010 4:45 am

Jseventh wrote:แต่ความจริงแล้ว มันคืออะไร?

ฝ่ายที่ฝันสวยงามว่า เราจะก้าวข้ามมายาคติเรื่องเชื้อชาติ...ทำไมสร้างฝันให้เราแต่ฝ่ายเดียว
มีเราฝ่ายเดียว ประเทศเดียวเท่านั้นหรือ ที่ต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ ตบมือข้างเดียวจะดังหรือ?

ทำไมไม่ปลุกจิตสำนึกร่วมกัน ทำไมไม่โน้มน้าวให้เพื่อนบ้านเราเห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่ดีๆนี้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันด้วยความสมัครใจ จะได้ไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายขมขื่น รู้สึกเหมือนถูกบังคับ หรือต้องรู้สึกว่าเป็นผู้แพ้

เห็นแต่มีคำต่อว่าต่อขานคนในประเทศเดียวกันเอง แต่บางครั้ง กลับปิดหูปิดตาไม่มองพฤติกรรมของเพื่อนบ้านหรือนานาชาติ /ใครบ้างไม่อยากอยู่ในสังคมหรือท่ามกลางมิตรประเทศที่ดีๆ...แต่คำถามก็คือ เราทำได้แค่ไหน? และอย่างไร?


มันเป็นเรื่องของ "ผู้นำ" หรือ "ชนชั้นนำ" "ผู้นำทางความคิด" ของแต่ละชาติที่จะต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ เพื่อจะนำพาประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ทำให้เป็นบ้านพี่เมืองน้อง

มันเป็นเรื่องที่ประชาชนผู้ที่ถือว่ามีการศึกษาสูง ควรจะได้ทำความเข้าใจในมิติการอยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกันอย่างสันติ เอื้อเฟื้อปรองดอง แสวงหาทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

แต่มันน่าอนาถ ที่แม้แต่ภายในชาติเดียวกัน ยังไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้

อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนไว้ใน "จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" ว่า...

"เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ"

แต่ความฝัน ความหวังแบบนั้น เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก เพราะมีผู้คนที่พร้อมจะก่อสงครามพาคนไปตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...

ชาวบ้านแถบชายแดน คงต้องตายเพราะสงครามบ้าๆ ที่ตนเองไม่ได้ก่อ ญาติพี่น้องสองฝั่งชายแดน อาจต้องตายเพราะคมกระสุน กับระเบิด และห่ากระสุนที่จะตกลงมาดังห่าฝน ที่คนอื่นก่อสงครามให้...ใครจะรับผิดชอชีวิตชาวบ้านตาดำๆ ที่เกิด เติบโต ทำมาหากินในท้องถิ่นตนเองบรรดานั้น

แต่ชาวบ้านเหล่านั้นคงไม่รู้จะร้องกับใคร อย่างมากหากมีใครไปทำให้ชายแดนตึงเครียด เค้าก็มีหน้าที่ ขับไล่ สิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น

ด้วยหมัดต่อหมัด ไม้ต่อไม้ ปืนต่อปืน และ ชีวิตต่อชีวิต !

เพราะไม่อยากหอบลูกเมียคอยวิ่งลงหลุมหลบภัยยามสงคราม ไม่อยากให้ลูกเมียญาติพี่น้องต้องมารับกรรมจากสงครามที่พวกตนเองไม่ได้ก่อขึ้น
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 12:18 am

An Open Letter for Peace and Preah Vihear
from Scholars of Southeast Asian Studies

Faculty of Liberal Arts,
Thammasat University
Siam/Thailand
July 2008

To Teachers, Parents, Mass Media, Students, and the People of Thailand and Cambodia,

The recent border dispute over the “Preah Vihear” World Heritage site has led to a series of highly emotional protests from some organizations and individuals in Thailand, leading to a situation of unwarranted hostility among them and between people of the two countries.

Scholars of Southeast Asian Studies, whose purpose is to contribute to knowledge about the Southeast Asian region, wish to emphasize that the root of this border dispute is in the historical and cultural legacies of Thailand and Cambodia. Facts and interpretations of historical evidences should be conducted with respect to the truth, and not to serve partisan political interests. Accordingly, we would like to propose the following:

1. In the case of ‘Preah Vihear’, we fully support the ruling of the International Court of Justice on 15 June 1962 at The Hague, Netherlands; that the sovereignty over the “Preah Vihear” belongs to Cambodia.

2. We support and promote vigorous debate over contentious issues, providing that knowledge should not be used to cause prejudice and antagonism between neighboring countries that may even lead to warfare.

3. We recognize that various countries in the region share a common history and culture. These commonalities should serve as the foundation of international cooperation to protect human dignity and for fraternity among nations, particularly in the face of increasing challenges to all countries in the region posed by globalization.

4. We recommend that the necessary steps should be taken to resolve this dispute through organizational mediation. The Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) should initiate this process to achieve this goal.

We urge teachers, parents, mass media, students, and the people of Thailand and Cambodia to call for a peaceful solution to this dispute, based on respect for the integrity of all Southeast Asian nations.

Yours sincerely,

Signed (enclosed)


จดหมายเปิดผนึก นักวิชาการด้านอุษาคเนย์

เขียนที่ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

กรุงเทพฯ สยาม/ประเทศไทย

กรกฎาคม 2551

เรื่อง จุดยืนทางวิชาการต่อกรณี “ปราสาทพระวิหาร”

เรียน คณาจารย์ ผู้ปกครอง สื่อมวลชน นักศึกษา และพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา

อนุสนธิจากการปะทุขึ้นของความขัดแย้งในกรณีการขอจดทะเบียน “ปราสาทพระวิหาร” เป็นมรดกโลกโดยทางการประเทศกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่การประท้วงคัดค้านจากกลุ่มการเมืองและประชาชนไทย กระทั่งนำไปสู่การสร้างอารมณ์ความรู้สึกอันรุนแรงขึ้นทั่วไปในหมู่ประชาชนไทยวงการต่างๆ

นักวิชาการด้านอุษาคเนย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มของอาจารย์และนักวิชาการ ที่ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนและทำงานศึกษาวิจัย เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออุษาคเนย์ เห็นว่าประเด็นที่กลุ่มการเมืองและประชาชน ที่ต่อต้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชานั้น เกี่ยวพันกับความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของภูมิภาคสุวรรณภูมินี้ ความรับรู้ในข้อเท็จจริงและการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งหลายนั้นควรมีการกระทำอย่างเคารพต่อความจริง และเพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่และสังคมได้มีโอกาสศึกษา และใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจของตนเอง ว่าจะสนับสนุนนโยบายและปฏิบัติการอะไร โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มการเมืองใดๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าว นักวิชาการด้านอุษาคเนย์ จึงตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องแสดงจุดยืนทางวิชาการ 4 ข้อ ดังนี้

1. ต่อกรณีของ “ปราสาทพระวิหาร” นั้น นักวิชาการด้านอุษาคเนย์ เคารพต่อคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 กล่าวคืออำนาจอธิปไตยเหนือ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นของประเทศกัมพูชา

2. นักวิชาการด้านอุษาคเนย์ สนับสนุนการศึกษาประวัติศาสตร์ของภูมิภาคสุวรรณภูมิอย่างวิพากษ์และรอบด้านเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช้องค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อเป็นไปในการปลุกปั่นสร้างกระแส และสร้างความชิงชังรังเกียจต่อประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก่อให้เกิดความดูถูกทางเชื้อชาติระหว่างกันขึ้นอันเป็นมรดกของลัทธิอาณานิคมตะวันตก ทั้งอาจเป็นชนวนของความรุนแรงกระทั่งสงครามระหว่างรัฐชาติได้

3. นักวิชาการด้านอุษาคเนย์ เห็นด้วยและสนับสนุน ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของสุวรรณภูมิ ว่ามีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกัน มาอย่างยาวนาน จึงควรร่วมมือกันสร้างและปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และภราดรภาพของประเทศและประชาชนที่เป็นเพื่อนบ้านกันในสังคมโลกาภิวัตน์ที่ไร้พรมแดนยิ่งขึ้นทุกวัน

4. นักวิชาการด้านอุษาคเนย์ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมเจรจากัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้น โดยขอเสนอให้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ องค์กรอาเซียน เข้ามาเป็นองค์กรกลางในการไกล่เกลี่ยและสร้างหนทางในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท ดังกล่าว

จึงเรียนมาเพื่อแจ้งให้คณาจารย์ ผู้ปกครอง สื่อมวลชน นักศึกษา และพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา ได้ทราบจุดยืนทางวิชาการของ นักวิชาการด้านอุษาคเนย์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ปัญหาดังกล่าวจะยุติลงได้ เพื่อการอยู่ร่วมกันของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอย่าง สงบสันติและเคารพซึ่งกันและกัน

ขอแสดงความนับถือ

ลงชื่อ (รายนามแนบท้าย)

รายชื่อผู้ร่วมลงนาม/The Co-Signed

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
Dr.Charnvit Kasetsiri (Former Rector, Thammasat University)

รองศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ (คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
Associate Professor Dr.Thanet Aphornsuvan (Faculty of Liberal Arts, Thammasat University)

ศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย วินิจกุล (โครงการอุษาคเนย์ศึกษา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน)
Professor Dr.Thongchai Winichakul (Southeast Asian Studies Program, University of Wisconsin Madison)

ศาสตราจารย์ ดร.ทักษ์ เฉลิมเตียรณ (อุษาคเนย์ศึกษา มหาวิทยาลัยคอร์แนล)
Professor Dr.Thak Chaloemtiarana (Southeast Asian Studies Cornell University)

ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร (คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
Professor Dr.Pasuk Phongpaichit (Faculty of Economics, Chulalongkorn University)

ศาสตราจารย์ ดร.ชารล์ส คายส์ (ศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขามานุษยวิทยาและการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน)
Professor Emeritus Dr.Charles Keyes (Professor Emeritus of Anthropology and International Studies, University of Washington)

ศาสตราจารย์ ดร.รูธ แมคเวย์ (ศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขาการเมืองอุษาคเนย์ วิทยาลัยบูรพศึกษาและอาฟริกาศึกษา มหาวิทยาลัยลอนดอน)
Professor Dr.Ruth McVey (Emeritus Reader in the Politics of Southeast Asia, School of Oriental and African Studies, University of London)

ศาสตราจารย์ ดร.คอนสแตนซ์ เอ็ม วิลสัน (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ธเทิร์น อิลินอยส์)
Professor Dr.Constance M. Wilson (Emeritus Professor, Department of History, Northern Illinois University)

ศาสตราจารย์ ดร.แอนโทนี รีด (สถาบันวิจัยเอเชีย มหาวิทยาลัยสิงคโปร์)
Professor Dr.Anthony Reid (Asia Research Institute, National University of Singapore)

ศาสตราจารย์ ดร.ชัว เบ็ง ฮวท (สถาบันวิจัยเอเชีย มหาวิทยาลัยสิงคโปร์)
Professor Dr.Chua Beng Huat (Asia Research Institute, National University of Singapore)

ศาสตราจารย์ ดร.โรเบิร์ต เจ. บิคเนอร์ (ผู้อำนวยการสถาบันภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน)
Professor Dr.Robert J. Bickner (Chair Department of Languages and Cultures of Asia University of Wisconsin)

รองศาสตราจารย์ ดร. สุวิทย์ เลาหศิริวงศ์ (อดีตผู้อำนวยการสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครพนม)
Associate Professor Dr. Suwit Laohasiriwong (Former Director Institute for Dispute Resolution Khon Kaen University and President of Nakhon Phanom University)

รองศาสตราจารย์ ดร.จีนี อามาเรลล์ (ผู้อำนวยการ ศูนย์อุษาคเนย์ศึกษา มหาวิทยาลัยโอไฮโอ)
Associate Professor Dr.Gene Ammarell (Director, Center for Southeast Asian Studies Ohio University)

รองศาสตราจารย์ ดร.กัมปนาท ภักดีกุล (คณะสิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
Associate Professor Dr.Kampanad Bhaktikul (Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University)

รองศาสตราจารย์ ดร.พิภพ อุดร (คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
Associate Professor Dr.Pipop Udorn (Faculty of Commerce and Accountancy, Thammasat University)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.แคทลีน กิลลอกลี (มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ปาร์คไซด์)
Assistant Professor Dr.Kathleen Gillogly (University of Wisconsin-Parkside)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ (วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต)
Assistant Professor Dr.Thamrongsak Petchlertanan (College of Social Innovation, Rangsit University)

ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี (โครงการสิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล)
Dr.Sriprapha Petcharamesree (Human Rights Studies Program, Mahidol University)

ดร.กุสุมา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
Dr.Kusuma Snitwongse (Chulalongkorn University)

ดร.เคย์ โมหล์แมน (นักวิชาการ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา)
Dr.Kay Mohlman (Scholar, Southeast Asian Studies)

ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา)
Dr.Pitch Pongsawat (Faculty of Political Sciences, Chulalongkorn University)

ดร.นฤมล ทับจุมพล (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
Dr.Naruemon Thabchumpon (Faculty of Political Sciences, Chulalongkorn University)

ดร.ซูซาน เอฟ. เคปเนอร์ (มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์)
Dr.Susan F. Kepner (University of California, Berkeley)

ดร.แทเรล ฮาเบอร์คอร์น (ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง มหาวิทยาลัยคอลเกต ฮามิลตัน)
Dr.Tyrell Haberkorn (Peace and Conflict Studies, Colgate University Hamilton)

ดร.ไชยันต์ รัชชกูล (ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
Dr.Chaiyan Rajchagool (Department of History, Faculty of Humanities, Chiang Mai University)

ดร.เจ. เอ. พลาเช็ค (ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา วิทยาลัยแลงการา แคนาดา)
Dr.J.A. Placzek (Chair, Asian Studies Department, Langara College, Canada)

ดร.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ (นักวิชาการอิสระ)
Dr.Laddawan Tantivitayapitak (Independent Scholar)

ดร.เอริค เดวิส (ศูนย์ศาสนศึกษา วิทยาลัยมาคาเลสเตอร์)
Dr.Erik Davis (Religious Studies, Macalester College)

ดร.คริส เบเกอร์ (นักวิชาการอิสระ)
Dr.Chris Baker (Independent Scholar)

อาจารย์ฌาง ซง (อดีตวุฒิสมาชิกและอดีตรัฐมนตรีกระทรวงข่าวสาร กัมพูชา)
Chhang Song (Retired Senator and Former Minister of Information of Cambodia)

อาจารย์ทรงยศ แววหงษ์ (มหาวิทยาลัยศิลปากร)
Songyote Waeohongsa (Silpakorn University)

อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย (นักวิชาการ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา)
Somrit Luechai (Scholar, Southeast Asian Studies)

อาจารย์กฤษณา พรพิบูลย์ (โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
Kridsanah Pornpibul (Southeast Asian Studies Program, Thammasat University)

อาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ (คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร)
Chatri Prakitnonthakan (Faculty of Architecture, Silpakorn University)

อาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ (โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
Akkharaphong Khamkhun (Southeast Asian Studies Program, Thammasat University)

อาจารย์เม็ง วง (สถาบันภาษาแห่งชาติ ราชบัณฑิตยสถานแห่งกัมพูชา)
Meng Vong (Institute of National Language, Royal Academy of Cambodia)

อาจารย์เนียก จันทฤทธิ์ (โครงการศึกษานานาชาติ ราชวิทยาลัยแห่งพนมเปญ)
Neak Chandarith (Senior Lecturer, International Studies Program, Royal University of Phnom Penh)

อาจารย์ คู บูน ดา (ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมาลายา)
Ku Boon Dar (Department of History, Faculty of Arts and Social Sciences, University of Malaya)

เมโลดี้ รอด-อารี (มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอส แองเจลิส)
Melody Rod-ari (University of California Los Angeles)

ทอดด์ แอล. เปอร์เรียรา (มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตา บาร์บารา)
Todd L. Perreira (University of California, Santa Barbara)

แมททิว เจ. ทริว (ศูนย์ศึกษามานุษยวิทยาและเอเชีย-แปซิฟิก มหาวิทยาลัยแห่งโตรอนโต)
Matthew J. Trew (Anthropology and Asia-Pacific Studies, The University of Toronto)

ชินวุฒิ์ เตชานุวัตร์ (มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด)
Chinnawut Techanuvat (University of Oxford)

พิชญา วรรธนะโกวินท์ (มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด)
Pichaya Vadhanakovint (University of Oxford)

วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ (มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด)
Wanwiphang Manachotphong (University of Oxford)

โชติกา สุวรรณวัฒนา (มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด)
Chotika Suwanwattana (University of Oxford)

สุริยาพร โสกันต์ (โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
Suriyaporn Sokan (Southeast Asian Studies Program, Thammasat University)

นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ (ผู้ช่วยบรรณาธิการอำนวยการ เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป
Nithinand Yorsaengrat (Assistant Editor-in-Chief, Nation Multimedia Groups)

ป่านแก้ว ศักดิ์ศรชัย (นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง ประเทศอังกฤษ)
Pankaew Saksornchai (Oxfordshire, England)
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 1:32 am

ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษ

ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา

ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดศรีสะเกษก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฎหลักฐานแน่นอน มีการจดบันทึกไว้พอสังเขป ส่วนมากได้จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุเล่าต่อๆ กันมา เอาความแน่นอนไม่ได้นัก นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีสันนิษฐานว่า พื้นที่ภาคอีสานในปัจจุบันเคยเป็นที่อยู่ของพวกละว้าและลาว มีแว่นแคว้นอาณาเขตปกครองเรียกว่า "อาณาจักรฟูนัน"

ประมาณปี พ.ศ.1100 พวกละว้าที่เคยมีอำนาจปกครอง อาณาจักรฟูนันเสื่อมอำนาจลง ขอมเข้ามามีอำนาจแทนและตั้งอาณาจักรเจนละหรืออิศานปุระขึ้น พวกละว้าถอยร่นไปทางเหนือ ปล่อยให้พื้นที่ภาคอีสานรกร้างว่างเปล่าเป็นจำนวนมากเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียงจึงถูกทิ้งให้เป็นที่รกร้างและเป็นป่าดง ขอมได้แบ่งการปกครองเป็น 3 ภาค

โดยมีศูนย์การปกครองอยู่ที่ละโว้(ลพบุรี) พิมาย(นครราชสีมา)และสกลนคร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองใหญ่ที่นครวัด

ในยุคที่ขอมเรืองอำนาจ ศรีสะเกษน่าจะเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่ขอมใช้เป็นเส้นทางไปมาระหว่างเมืองประเทศราชดังกล่าวแล้ว เพราะปรากฎโบราณสถานโบราณวัตถุของขอมซึ่งกรมศิลปากรสำรวจในจังหวัดศรีสะเกษเมื่อ พ.ศ.2512 จำนวน15 แห่ง ไม่รวมเขาพระวิหารซึ่งเป็นเทวะสถานของขอมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ สระกำแพงน้อย ปราสาทลุมพุก ปราสาทบ้านทามจาน(บ้านสมอ) ปราสาทเยอ ปราสาทโดนต็วล (ช่องตาเฒ่า อ.กันทรลักษ์)

สันนิษฐานว่าโบราณสถานเหล่านี้มีอายุประมาณ 1,000 ปีเศษ มีอยู่ตามท้องที่อำเภอต่างๆ ของจังหวัดศรีสะเกษ ขอมคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักและประกอบพิธีทางศาสนาระหว่างเดินทางจากนครวัด นครธมข้ามเทือกเขาพนมดงรักษ์มาสู่ศูนย์กลางการปกครองภาคอีสานทั้ง 3 เมืองดังกล่าวแล้ว

เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง ไทยเริ่มมีอำนาจครอบครองดินแดนเหล่านี้ ขณะเดียวกันจังหวัดศรีสะเกษมีสภาพเป็นป่าดงอยู่นานเพราะแม้แต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางก็มิได้บันทึกกล่าวถึงจังหวัดศรีสะเกษในเอกสารใด เพิ่งจะได้มีการบันทึกหลักฐานในพงศาวดารกล่าวถึงเมืองสุรินทร์ด้วย

ประวัติโดยละเอียด อ่านได้ที่
http://www.sisaket.go.th/story_sisaket.html
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 2:27 am

ชาญวิทย์ ‘ปาฐก ป๋วย’ ปี 52 ชาตินิยมกับพระวิหาร “ไทยเผาบ้าน ขะแมร์อังกุ้ง”

Image

9 มีนาคม 2552 ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการปาฐกถาพิเศษ ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ ครั้งที่ 11 หัวข้อ “ลัทธิชาตินิยมไทย-สยาม กับกัมพูชา : ข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร (กลับมาเยือน)” โดย นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อดีตข้าราชการชั้นจัตวาของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมรับฟังเต็มห้องประชุมและนอกห้องประชุม และมีการถ่ายทอดระบบวงจรปิดออกมาใต้ถุนคณะเศรษฐศาสตร์ รวมประมาณ 200 คน โดยผู้มีชื่อเสียงที่เข้าร่วม อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล กรรมการมูลนิธิป๋วย อึ๊งภากรณ์ นายอัมมาร สยามวาลา นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม นายเกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม เป็นต้น

ในงานมีการฉายวีดีทัศน์ “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ซึ่ง เป็นบทความและข้อคิดของนายป๋วย มีเนื้อหาเกี่ยวกับทิศทางที่สังคมการเมืองควรจะเป็น เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตของพลเมืองตั้งแต่เกิดไปจนถึงตาย โดยสรุปว่า รัฐควรจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดี ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เป็นธรรม มีช่องทางการกู้ยืมเงินมาลงทุนมีที่ดินทำกินรวมทั้งมีตลาดรองรับผลผลิต นอกจากนั้น ประชาชนก็ควรจะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ สามารถซื้อหนังสือพิมพ์อ่านได้ในราคาไม่แพง มีโอกาสในการเข้ารับการรักษาพยาบาล มีเวลาว่างในการ พักผ่อนในสวนสาธารณะ สามารถรับฟังดนตรี เข้าถึงศิลปะวัฒนธรรม งานการกุศล มีสิ่งแวดล้อมมีอากาศและน้ำที่ดี มีการรวมกลุ่มกันตั้งสหกรณ์ สหภาพ มีส่วนกำหนดทิศทางการเมือง รวมถึงคู่สามีภรรยาก็ควรได้รับการวางแผนครอบครัว เมื่อยามชราก็ควรได้รับค่าใช้จ่ายจากการประกันสังคม

ข้อคิดของนายป๋วย ระบุด้วยว่า บุคคลไม่ควรตายอย่างโง่ๆ บ้าๆ ในสงครามที่คนอื่นก่อและไม่ควรตายเพราะการเมืองเป็นพิษ

หลัง จากนั้นเป็นการปาฐกถาของนายชาญวิทย์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยอดีตอธิการบดีผู้นี้ เผยว่า ตนอยู่ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างที่ไทย-กัมพูชามีปัญหาเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดก โลก ซึ่งตนได้รับอีเมลล์จากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายเตช บุนนาค) บอกให้รีบกลับประเทศไทย แต่ตนปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม ตนมีเพื่อนซึ่งเป็นชาวกัมพูชา ได้ให้ความเห็นว่า กรณีพิพาทดังกล่าว เปรียบเหมือนการอังกุ้ง (อังกุ้งให้สุกด้วยความร้อน) เป็นเพียงเรื่องการเมืองที่หากแต่ละฝ่ายได้อะไรที่ตนเองต้องการแล้ว เรื่องก็คงเงียบกันไปเอง

นาย ชาญวิทย์ กล่าวด้วยว่า กรณีปราสาทพระวิหาร เป็นหลุมดำของประวัติศาสตร์บาดแผลที่จะต้องศึกษาหลายด้านเพื่อทำการ สมานฉันท์ เนื่องจากเป็นทั้งการเมืองภายในประเทศที่กลุ่มพันธมิตรฯต้องการโค่นรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยอาศัยวาทกรรมที่ถ่ายทอดจากตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่บอกว่าประเทศไทยเสียดินแดนครั้งแล้วครั้งเล่า จากเดิมทีเคยบอกว่าเสียดินแดนไป 8 ครั้ง ต่อมาขยายเป็น 14 ครั้ง และล่าสุด กลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่าเป็นการเสียดินแดนครั้งที่ 15 อย่างไรก็ตาม นอกจากจะเป็นการเมืองภายในแล้วก็ยังเป็นการเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้โดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชาด้วย เพราะเป็นการปะทะกันระหว่าง 2 ประเทศชาตินิยม ขณะที่ไทยบอกว่า ตัวเองเสียดินแดน แต่กัมพูชาก็อธิบายต่อพลเมืองในประเทศตัวเองว่า ถูกพวกเสียม(สยาม)บุกรุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกัมพูชามีการใช้จิตวิทยาให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ซึมซับเอาการ เตือนว่า ชาติของตัวเองเป็นอย่างไร ผ่านสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ที่ระบุว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา กระทั่งสถาปัตยกรรมของอาคารกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาก็เป็นหน้าบันแบบ ปราสาทพระวิหาร นายชาญวิทย์พูดติดตลกว่า คนไทยอย่าเข้าใจผิดไปพูดว่าเป็นศิลปะแบบไทย เพราะอาจทำให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งเผาสถานทูตได้ ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้รับฟัง

นาย ชาญวิทย์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากเรื่องปราสาทพระวิหารจะเป็นวาระของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและเงินทุน แล้ว ก็เป็นวาระของพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุน เซน ด้วย เพราะขณะที่ประเทศไทยประท้วงอยู่หลายเดือน ยูเนสโกก็ได้ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว มีการเฉลิมฉลองชัยชนะกันอย่างอื้ออึง รองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชานำประชาชนร้องเพลงพงศาวดารขะแมร์ ประพันธ์โดยบุคคลเดียวกันกับผู้ประพันธ์เพลงชาติ ซึ่งน่าจะเป็นเพลงที่เชยแต่กลับสร้างความรู้สึกตื้นตันจนขนลุกรู้สึกถึงความ ยิ่งใหญ่ของชนเผ่าขะแมร์ เป็นบรรยากาศแห่งอารมณ์ความรู้สึก จากนั้นส่งผลให้สมเด็จฮุน เซน ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนขาดลอยเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

นาย ชาญวิทย์ กล่าวว่า ขณะที่สมเด็จฮุน เซน มีฐานะที่มั่นคงมาก แต่ฐานะของรัฐบาลไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย กลับอยู่ในฐานะที่ลำบาก เป็นปัญหาที่ต้องเผชิญ เหตุการณ์ปราสาทพระวิหารนั้น เป็นการอังกุ้ง (อังกุ้งให้สุกด้วยความร้อน) ของสมเด็จฮุน เซน แต่เป็นการเผาจนมอดไหม้ของการเมืองภายในของประเทศไทยหรือไม่ ปราสาทพระวิหารเป็นเพียงซากปรักหักพัง คือกองหินทรายที่ไม่มีการดัดแปลงเป็นอะไรเลยมากว่า 500 ปี ไม่มีการปลูกต้นลั่นทมบริเวณทางขึ้น ไม่มีการปรับปรุงเป็นสถานที่ประกอบพิธีใดๆ แต่เราถูกผู้นำประเทศตัวเองที่แพ้คดีมาบอกให้เราเข้าใจผิดเป็นเวลา 50 ปี เช่น พ.อ.(พิเศษ)ถนัด คอมันตร์ อดีต รมว.ต่างประเทศ วาดภาพให้คนไทยคิดว่า ขะแมร์ขึ้นปราสาทพระวิหารไม่ได้ แต่ภรรยาของสมเด็จฮุน เซน พร้อมคนเป็นร้อยก็ได้ขึ้นไปประกอบพิธีกรรมบนปราสาทพระวิหารแล้ว หลังจากสมเด็จฮุน เซน ชนะการเลือกตั้ง โดยเดินทางอ้อมผ่านเนินอินทรี มีวัดแก้วฯ ตรงนั้นที่ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน จึงอยากฝากถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำไทยอีกคนที่มักจะบอกว่า ขะแมร์ขึ้นปราสาทพระวิหารไม่ได้ให้ทำความเข้าใจใหม่ และน่าสังเกตว่า นายอภิสิทธิ์ยังจะเชื่อเหมือน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคคนเก่า (ประชาธิปัตย์) อีกหรือ คราวนั้นก็แพ้จากคำพิพากษาศาลโลกมาแล้ว 9 ต่อ 3 เสียง ล่าสุดยูเนสโกก็ลงมติ 21 ต่อ 0 เสียงให้กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก น่าประหลาดใจที่นายอภิสิทธิ์ยังยืนยันตรงกับหัวหน้าพรรคคนเดิมอีกว่า ยังไงๆ ก็ต้องสรุปให้ไทยชนะคดี

นาย ชาญวิทย์ กล่าวสรุปว่า ปราสาทพระวิหารเป็นหลุมดำชาตินิยมแบบอำมาตยาธิปไตย ถ้าเราเดินตามไปก็ตายแน่ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินกัมพูชา โดยมาในมาดใหม่ เป็นผู้ดีแห่งสยามประเทศ เพราะเลิกใช้คำพูดหยาบคายทั้งหมดหลังจากได้อังกุ้งและเผากุ้งไปแล้ว ตนคิดว่าชาติของคนที่สะพานมัฆวานกับคนที่เขาพระวิหารใช่ชาติเดียวกันหรือไม่ คำถามของผมคือถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะมีชาตินิยมในระนาบเดียวกันแบบ ของประชาชน ไม่ใช่ท็อปดาวน์จากบนลงล่างเหมือนอมาตยาธิปไตย เราควรสร้างความสมานฉันท์ระหว่างรัฐกับรัฐ ระหว่างอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้านของพวกเรา

…………………………………….

หมายเหตุ : ติดตามคลิปวิดีโอ ‘ปาฐกถา ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ ครั้งที่ 11 โดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ ในรายการ ‘บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา’ ทางเว็บไซต์ประชาไท เร็วๆ นี้

http://www.prachatai.com/05web/th/home/15881


ที่มา http://www.charnvitkasetsiri.com/Puey%2 ... tation.htm
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 3:11 am

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:37:16 น. มติชนออนไลน์

มาร์ค ย้ำแก้ปัญหา "ไทย-เขมร" ด้วยสันติวิธี

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 19 สิงหาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้คณะนักเรียนและครูจากโรงเรียนประจวบวิทยาลัย เข้าเยี่ยมคารวะ และเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งคำถาม ซึ่งประธานนักเรียนได้ถามถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาปราสาทพระวิหาร นายอภิสิทธิ์ระบุว่า ที่ผ่านมาไทยก็มองอย่าง กัมพูชาก็มองอย่าง แต่หลักการแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเจรจา ซึ่งก็มีกระบวนการเจรจาแต่ไม่ง่าย เพราะเจรจาอย่างไรต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นของตัวเอง ก็ต้องมีวิธีการในการที่จะแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการ

"คนระดับผู้นำต้องมีความจริงใจในการที่จะหาทางออกด้วยสันติวิธี ถ้าหากผู้ที่มีอำนาจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ตั้งใจที่จะให้เป็นอย่างนี้ โอกาสที่จะเกิดการสู้รบ เกิดการปะทะกัน เราพยายามใช้วิธีการให้ถึงที่สุดในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี แต่คงต้องใช้เวลา" นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาส่งหนังสือถึงเวียดนามในฐานะประธานอาเซียน เรียกร้องให้อาเซียนเข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศกำลังยกร่างหนังสือถึงเวียดนามในฐานะประธานอาเซียน เพื่อชี้แจงในเรื่องความเข้าใจผิดและข้อกล่าวหาใดๆ จากฝ่ายกัมพูชา โดยหนังสือดังกล่าวจะเป็นการให้ข้อเท็จจริงและจะเวียนหนังสือให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ได้รับทราบด้วย

"ผมเพิ่งพบกับรัฐมนตรีคนหนึ่งของกัมพูชาที่ดานัง ประเทศเวียดนาม และขอให้เขานำความไปกราบเรียนต่อสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่าท่าทีในการหาทางออกจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้รัฐมนตรีกลาโหมของสองประเทศก็ยังติดต่อกันอยู่ ทั้งนี้ ในการเจรจาระหว่างสองประเทศก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงไม่สามารถมาชี้แจงต่อสาธารณชนได้ทันทีทันควัน"นายกษิตกล่าว

วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ รายงานว่า นายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา กล่าวว่า ถ้าหากทางการไทยยึดมั่นกับการเจรจาทวิภาคีจริงๆ ก็จะต้องเร่งรัดให้มีการรับรองการเจรจาเพื่อปักปันแนวเขตแดนระหว่างกันโดยเร็ว

"ความอดทนในการเจรจาสองฝ่ายกับไทยของกัมพูชานั้นหมดไปแล้ว ดังนั้น จึงพยายามหาทางให้มีการหารือเรื่องนี้ในระดับพหุภาคี"
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby eastisred » Fri Aug 20, 2010 4:38 am



ดูเองกัน ขี้เกียจให้อ่าน
แนวร่วมประชาธิปไตย ขับไล่เดียรถีย์
User avatar
eastisred
 
Posts: 219
Joined: Tue Aug 17, 2010 2:20 am
Location: 496/2 soi chareonkrung 85 bangkok

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 11:52 am

ยังมีคนเชื่อว่าหลักหมุดโครงข่าย หมุดอ้างอิง เป็นหมุดหลักเขตแดนอยู่อีกหรือเปล่า

พวกทวงคืนเข้าพระวิหาร จะดำเนินการทวงคืนแผ่นดินที่คิดว่าเป็นของตนด้วยวิธีการใด ที่ไม่ก่อสงคราม?
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby vv123 » Fri Aug 20, 2010 4:43 pm

ก็เขาพระวิหารเป็นของไทยอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกะตัวปราสาทที่ศาลโลกตัดสิน ถ้าสมัยนั้นให้ลื้อเอาปราสาทคืนไปป่านนี้ก็จบไปแล้วอิ อิ
User avatar
vv123
 
Posts: 99
Joined: Wed Jun 09, 2010 7:37 pm

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 5:05 pm

คำตัดสินบอกว่าตัวปราสาทตั้งอยู่บนดินแดนที่เป็นอธิปไตยของกัมพูชา
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 5:18 pm

วันที่ 19 ส.ค. 2553 จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยเขียนบทความแสดงความเห็นต่อกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ผ่านบล็อก http://chaturon.posterous.com/
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


กรณีปราสาทเขาพระวิหาร (1)


เมื่อไม่กี่ปีก่อนรัฐบาลไทยเคยมีนโยบายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยความคิดทางยุทธศาสตร์ว่า การช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านเป็นการช่วยเหลือประเทศไทยเองด้วย

ภายใต้นโยบายนั้นประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา และต่อมามีเวียดนามด้วย มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากยิ่งขึ้นและมีความร่วมมือ คบค้าสมาคมกันมากขึ้น

มีคนเคยคิดกันว่าวันหนึ่ง ถ้ามีการพัฒนาปราสาทพระวิหารให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ทั้งกัมพูชาและไทยจะได้ประโยชน์ และความจริงแล้วไทยจะได้ประโยชน์มากกว่ากัมพูชามาก เพราะทางขึ้นไปชมปราสาทที่สะดวกอยู่ทางฝั่งไทย

แต่จากกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และความขัดแย้งแตกต่างระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องนี้ ทำไปทำมากลับกลายเป็นว่าทั้ง 2 ประเทศต่างฝ่ายต่างกำลังชี้แจงข้อมูลต่อสหประชาชาติ ในขณะที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังเตรียมพร้อมในการใช้กำลังทหารมากขึ้น พร้อมๆกับข่าวที่หลายประเทศกำลังพลอยวิตกไปด้วยว่าเรื่องนี้อาจพัฒนาไปสู่การสู้รบกันระหว่าง 2 ประเทศ

คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาเห็นชอบให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่กรกฎาคม 2551 และกำลังจะพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร เพียงแต่วันเวลาที่จะอนุมัตินั้นถูกเลื่อนจากปีนี้ไปเป็นปีหน้า

ไม่ว่าจะไปเวทีไหน การที่ไทยหวังจะขอความเห็นชอบให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกัน หรือการที่ไทยจะคัดค้านการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารนั้น คงต้องยอมรับว่าเลยขั้นตอนไปแล้ว เมื่อปราสาทพระวิหารได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วจะคัดค้านเรื่อยไป ไม่ให้มีแผนบริหารจัดการก็ย่อมเป็นไปไม่ได้อีก

ปัญหาที่อาจจะยังแตกต่างกันในรายละเอียดก็คือพื้นที่ที่จะบริหารจัดการจะครอบคลุมแค่ไหน

เท่าที่ฟังการถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ รัฐบาลไทยคงจะคัดค้านแผนบริหารจัดการนี้ โดยยืนยันว่าพื้นที่รอบตัวปราสาทเป็นของไทย หากจะมีแผนบริหารจัดการ ก็ให้บริหารจัดการได้เพียงตัวปราสาท พื้นที่โดยรอบปราสาททั้งหมดไม่สามารถอยู่ในแผนบริหารจัดการได้

เฉพาะเรื่องแผนบริหารจัดการนี้จะครอบคลุมพื้นที่แค่ไหน ถ้าดูตามคำพิจารณาของศาลโลกและการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะเห็นว่าประเทศไทยเสียเปรียบ เพราะไทยเคยปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกที่ให้เอาเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลและกำลังทหารออกจากบริเวณปราสาทมาแล้ว การจะอ้างว่าพื้นที่รอบตัวปราสาทเป็นของไทยเพื่อคัดค้านแผนบริหารจัดการนี้ก็คงจะไม่สำเร็จ

แต่ปัญหาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารได้ลุกลามไปไกลกว่าประเด็นเหล่านี้อีกมาก นั่นคือกำลังมีความเสี่ยงที่ 2 ประเทศจะรบกันหรือปะทะกันด้วยกำลังเพราะเรื่องนี้ประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่งคือ ข้อพิพาทในเรื่องนี้กำลังถูกหยิบยกขึ้นสู่การพิจารณาขององค์กรระหว่างประเทศอย่างอาเซียนและสหประชาชาติ

ที่ผ่านมาไทยกับกัมพูชา เช่นเดียวกับประเทศที่มีชายแดนติดต่อกันอีกจำนวนมาก เคยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนมาเป็นเวลานาน เกิดการปะทะและสู้รบกันมาแล้วก็มี แต่ในที่สุดไทยกับกัมพูชาก็ตกลงที่จะแก้ปัญหาด้วยการตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมาปักปันเขตแดน เพื่อแก้ปัญหาอย่างสันติ ด้วยการเจรจาหารือ เพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกัน โดยประเทศทั้ง 2 เอง

วันนี้กลับมาพูดเรื่องอาจจะต้องรบกัน กับการหาทางออกโดยอาศัยสหประชาชาติเข้ามาช่วย

เราก้าวมาสู่จุดนี้กันได้อย่างไร

ปัญหาทั้งหมดเกิดจากการปลุกกระแสชาตินิยม-คลั่งชาติ ที่หวังประโยชน์ทางการเมืองของพันธมิตรฯ ที่มีการผสมโรงอย่างแข็งขันโดยพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยคุณอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคเอง

การปลุกกระแสชาตินิยม คลั่งชาติของพันธมิตรนี้เริ่มแรกก็เพื่อใช้เป็นประเด็นในการปลุกระดมคนมาต่อต้านรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช แต่มาถึงตอนนี้จุดมุ่งหมายหลักดูเหมือนจะเป็นการรักษาและฟื้นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ กับการสร้างกระแสความนิยมให้เกิดขึ้นแก่พรรคการเมืองที่ชื่อว่า “พรรคการเมืองใหม่”

ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เริ่มเคลื่อนไหวเรื่องนี้เพื่อล้มรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช และในปัจจุบันก็พยายามยืนยันความคิดท่าทีเดิมแบบคลุมๆเครือๆ เพื่อดึงความสนับสนุนจากผู้ที่มีความคิดในทางเดียวกันไว้ แต่ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะไม่สามารถทำอย่างที่พูดได้แล้ว เนื่องจากรู้ดีอยู่ว่าไม่สามารถทำอะไรสุดโต่งอย่างที่พวกพันธมิตรกำลังเสนอได้

รัฐบาลนี้ไม่ได้อธิบายข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่ใช้วิธีทำเป็นขึงขังขู่ว่าไทยอาจลาออกจากการเป็นกรรมการมรดกโลก หรืออาจถึงขั้นลาออกจากภาคียูเนสโก ซึ่งมีแต่จะแสดงถึงความขาดวุฒิภาวะให้เป็นที่อับอายไปทั่ว

สิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ทำได้มากที่สุดขณะนี้คือการยืดเวลาออกไป กับการโยนความผิดทั้งหมดไปให้รัฐบาลคุณสมัคร โดยเฉพาะที่คุณนพดล ปัทมะ

ทั้งๆที่ความจริงแล้ว สิ่งที่คุณนพดล ปัทมะ พยายามทำไปนั้นคือ การกันเรื่องพื้นที่พิพาทออกจากการจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร เพื่อป้องกันมิให้ไทยต้องเสียดินแดนส่วนนี้ไปอย่างเป็นทางการเสียเปล่าๆ

แต่รัฐบาลกลับสรุปง่ายๆว่าหากจะมีความผิดพลาดอะไร ก็อยู่ที่แถลงการณ์ร่วมระหว่างกัมพูชากับไทยที่คุณนพดลไปลงนามไว้ ทั้งๆที่แถลงการณ์ร่วมฉบับนั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารก็ดี หรือการจัดทำแผนบริหารจัดการก็ดี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแถลงการณ์ฉบับนั้นเลย

พันธมิตรและผู้สนับสนุนมีความเห็นโดยสรุปคือ การแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นให้ใช้เส้นสันปันน้ำตลอดแนว ซึ่งหมายความว่าตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบปราสาท รวมทั้งพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นล้วนเป็นของไทย

พันธมิตรและผู้สนับสนุนเห็นว่าคำพิพากษาศาลโลกมีผลต่อตัวปราสาทเท่านั้น ไม่มีผลต่อพื้นที่โดยรอบปราสาท ซึ่งพวกเขาเห็นว่ายังเป็นของไทย ในส่วนคำพิพากษาของศาลโลก พวกเขาก็ยืนยันว่าประเทศไทยยังคงสงวนสิทธิที่จะคัดค้านคำพิพากษานี้อยู่ โดยความหมายแล้วก็คือ “พวกเขา” ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดก็คงเป็นหลายส่วน ยังเห็นว่าแม้ตัวปราสาทเองก็ยังเป็นของไทยอยู่


พันธมิตรและผู้สนับสนุนประกาศจุดยืนชัดเจนคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลกและการจัดทำแผนบริหารจัดการ พวกเขายังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกบันทึกข้อตกลงหรือ MOU ปี2543 เสีย พร้อมๆกับเสนอให้รับบาลไทยใช้กำลังทหารขับไล่ชาวกัมพูชาที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรออกไป พร้อมกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายออกไปจากพื้นที่ดังกล่าวด้วย


โดยสรุปก็คือ ให้ยกเลิกการแก้ปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนโดยการเจรจาหารือ แล้วให้หันมาใช้กำลังทหารเข้าจัดการนั่นเอง


สำหรับนายกฯอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์นั้น เห็นว่าศาลโลกพิพากษาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ประเทศไทยยังสงวนสิทธิ์ที่จะคัดค้านอยู่ ยังไม่เคยยอมรับคำพิพากษาของศาลโลก


คุณอภิสิทธิ์เคยอภิปรายในสภาขณะเป็นผู้นำฝ่ายค้านว่า เราใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนยกเว้น “ตัวปราสาท” ซึ่งก็ได้มี ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์บางคน ได้ช่วยขยายความเพิ่มเติมว่า พวกเขาเห็นว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา นอกจากนั้นอย่าว่าแต่พื้นที่รอบๆปราสาทเลย แม้แต่พื้นที่ใต้ปราสาทก็เป็นของไทยทั้งสิ้น

เมื่อคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯแล้วได้ยืนยันความเห็นนี้ในโอกาสต่างๆรวมทั้งในการอภิปราย หรือชี้แจงร่วมกับพันธมิตรเมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณอภิสิทธิ์ก็ยังย้ำอย่างหนักแน่นว่า สิ่งที่เขาพูดไว้ในขณะเป็นผู้นำฝ่ายค้านนั้น ถึงวันนี้ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม


ไม่มีใครไปถามย้ำว่าหมายถึงคุณอภิสิทธิ์ยังคงเห็นว่า พื้นที่ใต้ปราสาทเป็นของไทยใช่หรือไม่


แต่ถึงแม้คุณอภิสิทธิ์จะไม่พูดเรื่องนี้ออกมาให้ชัดเจน ใครที่ติดตามการใช้ตรรกะ เหตุผลของคุณอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่อาจเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากจะเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์เองยังคงยืนยันว่าพื้นที่ใต้ปราสาทพระวิหารเป็นของไทยด้วย


โดยรวมๆแล้ว นายกฯอภิสิทธิ์กับพันธมิตรมีความเห็นต่อกรณีปราสาทพระวิหารใกล้เคียงกันมาก จุดต่างที่สำคัญตอนนี้ก็คือ ในขณะที่พันธมิตรเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ปี 2543 แต่นายกฯอภิสิทธิ์กลับเห็นว่า MOU ปี 2543 นี้เป็นประโยชน์และควรคงไว้ต่อไป


การใช้เวลาทางทีวี 3 ชั่วโมงของรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรเพื่ออภิปราย หรือควรจะใช้คำว่าร่วมกันชี้แจงกรณีปราสาทพระวิหารนั้น ทำให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็น จุดยืนที่ใกล้เคียงกัน ประเด็นที่ยังแตกต่างกันมากก็คือ การยกเลิก MOU ปี 2543


เมื่อรัฐบาลไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิก MOU ปี 2543 เช่นนี้แล้วพันธมิตรจะชุมนุมกดดันรัฐบาลอีกหรือไม่ หรือจะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็ไม่มีใครทราบ เข้าใจว่าอย่างน้อยในระหว่างที่ยังมีการหาเสียงเลือกตั้งสก. สข.กันอยู่ พันธมิตรคงไม่หยุดการเคลื่อนไหวไปง่ายๆ เพราะการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ดูจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งพันธมิตรเองและต่อการหาเสียงของพรรคการเมืองใหม่อยู่ไม่น้อยทีเดียว


แต่ความต่างระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับความเหมือนกัน หรือสิ่งที่พวกเขาเห็นตรงกัน ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นสาเหตุทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ โดยไม่เป็นประโยชน์กับใคร โดยเฉพาะไม่เป็นประโยชน์กับประเทศไทยแต่อย่างใดเลย


ถ้าจะทำความเข้าใจว่าเราจะเอาอย่างไรกันดีกับกรณีปราสาทพระวิหารและเรื่องที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องศึกษาประวัติความเป็นมาและรายละเอียดข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น เราอาจต้องตั้งคำถามใหญ่ๆ มากๆ เสียก่อนว่า ประเทศไทยเราจะอยู่ในโลกนี้อย่างไร เราจะอยู่อย่างไรในเอเชีย จะเอาอย่างไรกับอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้าน และกัมพูชา


ในยุคปัจจุบันการเป็นมิตรกับประเทศต่างๆ อยู่ร่วมในกระบวนการโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การคบหาสมาคมกับมิตรประเทศ สร้างสรรค์พัฒนาร่วมกันในเวทีโลก เป็นสิ่งสำคัญจำเป็นอย่างยิ่ง


ในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจของโลก เอเชียกำลังเป็นจุดที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะกำลังมีศักยภาพในการฟื้นตัว กระทั่งเป็นกำลังสำคัญในการฉุดให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้นด้วย ประเทศไทยเคยมีบทบาทริเริ่มหลายๆอย่างในเอเชีย จนเป็นที่ยอมรับและทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศต่างๆในเอเชียมาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะลดบทบาท หรือทำลายศักยภาพของตนเองในการเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียที่กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นทุกที


ที่ผ่านมาประเทศต่างๆในอาเซียนพยายามผลักดันให้มีการกระชับความสัมพันธ์ภายในอาเซียนให้แน่นแฟ้นขึ้น และไทยก็เคยถูกมองว่าจะมีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการพัฒนาอาเซียนให้ก้าวหน้าไป อาจต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าอาเซียนจะพัฒนาไปถึงจุดที่คล้ายหรือใกล้เคียงกับยุโรป แต่ความคิดที่ต้องการขับเคลื่อนอาเซียนไปในทิศทางนั้นก็นับว่าเป็นความคิดที่ก้าวหน้า เป็นประโยชน์ต่อประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้


ในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน คงต้องเริ่มจากความคิดพื้นฐานง่ายๆว่า การเป็นมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้การอยู่ใกล้กันหรือติดกัน เมื่อประเทศหนึ่งมีปัญหา ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศข้างเคียง การช่วยเหลือซึ่งกันและกันยิ่งมีความจำเป็น

การช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน จริงๆแล้วก็คือการช่วยเหลือตัวเราด้วยนั่นเอง


สิ่งที่ควรทำก็คือจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านให้แน่น เพิ่มบทบาทการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาเซียน มีบทบาทในเอเชียร่วมกับประเทศอื่นๆ เพื่อยืนอยู่ในเวทีโลกอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ร่วมในกระบวนการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ประเทศต่างๆ โดยหลีกเลี่ยงและพยายามลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการโลกาภิวัตน์

เมื่อมามองปัญหากรณีปราสาทพระวิหาร เราก็ควรเริ่มจากวิสัยทัศน์พื้นฐานอย่างนี้ อะไรที่เป็นการสวนทางกับวิสัยทัศน์อย่างนี้จึงไม่ควรทำ และต้องหาทางระงับยับยั้งเสีย
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

Re: MOU 2543 / สัญญา 1907 และสัญญาปักปันเขตร์แดน

Postby ฉลาม » Fri Aug 20, 2010 5:20 pm

กรณีปราสาทเขาพระวิหาร (2)

เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่มีข่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาอาจจะนำเรื่องพิพาทกรณีปราสาทพระวิหารเสนอไปยังอาเซียนและสหประชาชาติ รัฐบาลไทยนำโดยนายกฯอภิสิทธิ์ได้แสดงความเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแก่สหประชาชาติ แต่มาสัปดาห์นี้ท่าทีของนายกฯอภิสิทธิ์และรัฐบาลดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือบอกว่าไม่ต้องการให้เรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาหารือที่มีประเทศที่ 3 หรือองค์กรระหว่างประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย แต่ต้องการให้เป็นทางออกโดย 2 ประเทศคู่กรณี คือไทยและกัมพูชาเท่านั้น

มีเสียงประสานจากนายเตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ที่เคยทำงานเรื่องนี้มานาน บ่นเสียดายที่รัฐบาลมีมติบอกเลิกบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับพื้นที่ในอ่าวไทย และยืนยันประโยชน์ของบันทึกข้อตกลงดังกล่าว รวมทั้งบันทึกข้อตกลงปี 2543 พร้อมกับการอธิบายว่ากว่า 2 ประเทศจะมาถึงจุดที่สามารถมีบันทึกข้อตกลงร่วมว่าจะหาทางออกด้วยการเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศได้นั้นต้องใช้เวลานานนับ 10 ปี และต้องผ่านการพิพาท ขัดแย้ง หรือแม้กระทั่งปะทะกันด้วยกำลังอาวุธมาแล้ว ท่านยังได้ย้ำว่าทางออกสำหรับกรณีปราสาทพระวิหารและกรณีขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาก็คือการเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศ โดยอาศัยบันทึกข้อตกลงที่มีอยู่แล้วนี้เอง

ขณะเดียวกันก็ยังมีข้อเสนอจากบางฝ่ายให้ยกเลิกบันทึกข้อตกลงปี 2543 บ้าง ให้ใช้มาตรการเชิงรุกบ้าง หรือกระทั่งให้ใช้กำลังผลักดันประชาชนและอาคารทรัพย์สินต่างๆของกัมพูชาออกไปจากพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรเสีย

ที่เลยเถิดไปกว่านั้นคือ ถึงขั้นเสนอให้ทวงปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของไทยเลยก็มี พร้อมกันนั้นก็มีข่าวการเตรียมพร้อมบ้าง เพิ่มกำลังหรือถอนกำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือของทั้ง 2 ฝ่ายให้ได้ยินได้ฟังกันอยู่เป็นประจำ มีการพูดถึงความเสี่ยงที่ 2 ประเทศจะปะทะกันด้วยกำลังอาวุธบ่อยขึ้น ในขณะที่การปลุกกระแสชาตินิยมคลั่งชาติยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดคุณประสงค์ สุ่นศิริ ก็ได้เสนอให้ทหารไทยกระชับพื้นที่ ผลักดันคนกัมพูชาออกไปจากพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยไม่ต้องรอฟังคำสั่งของรัฐบาลไทย

ถ้าหากมีการปะทะกันด้วยกำลังทหารจะมีผลดีหรือไม่ดีกับไทยอย่างไร

ถ้ามีการนำเรื่องปราสาทพระวิหารเข้าสู่การพิจารณาของอาเซียนหรือสหประชาชาติจะมีผลดีหรือไม่มีกับไทยอย่างไร

สองเรื่องนี้สัมพันธ์กันเสียด้วย คือถ้ามีการสู้รบกันเกิดขึ้น โอกาสที่เรื่องนี้จะไปสู่การพิจารณาของที่ประชุมใดที่ประชุมหนึ่งของสหประชาชาติก็จะมีสูงขึ้นทันที

ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายไปถึงขั้นนั้น ผู้ที่จะเสียเปรียบอย่างมากก็คือ ประเทศไทย

ต้องย้ำว่าทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยคือการเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศ โดยอาศัยบันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้วเป็นพื้นฐานในการเจรจา

การที่รัฐบาลไทยมีมติให้ยกเลิกข้อตกลงว่าด้วยการแบ่งพื้นที่ในอ่าวไทย หรือความคิดที่มีการเสนอให้ยกเลิกบันทึกข้อตกลงปี 2543 ล้วนเป็นความคิดที่มีแต่จะนำความเสียหายมาสู่ประเทศไทยทั้งสิ้น

หากมีการนำเรื่องปราสาทพระวิหารและพื้นที่พิพาท รวมทั้งเรื่องเขตแดน เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาเซียนหรือสหประชาชาติ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ไทยจะสูญเสียดินแดนอย่างเป็นทางการ ทั้งบริเวณปราสาทและพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร

ดีไม่ดี ถ้ามีการยกเรื่องเขตแดนขึ้นมาพิจารณา ไทยเราอาจเสียดินแดนมากกว่านั้นอีกด้วยก็ได้

ทั้งนายกฯอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ และพันธมิตร พยายามจะทำให้คนเข้าใจเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่มีคำพิพากษาของศาลโลกให้ตกเป็นของกัมพูชา ซึ่งในข้อนี้นายกฯอภิสิทธิ์เคยอภิปรายในสภาฯไว้ว่า รัฐบาลไทยยังสงวนสิทธิ์ที่จะคัดค้านเรื่องนี้ ไม่เคยสละสิทธิ์นี้ไป

พวกเขายังไปไกลกว่านี้ถึงขั้นแสดงความเห็นให้คนเข้าใจว่าตัวปราสาทเท่านั้นที่ตกเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ใต้ปราสาทยังเป็นของไทย เหมือนปราสาทพระวิหารจู่ๆก็ลอยมาตกในเขตแดนของไทย

แต่ถ้าเราพิจารณาเรื่องนี้โดยไม่บิดเบือน หรือไม่แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ข้อเท็จจริง เราก็จะพบว่าศาลโลกได้พิพากษาไปเมื่อปี พ.ศ. 2505 แล้วว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และยังมีมติด้วยว่าให้ฝ่ายไทยถอนกำลังและผู้ดูแลออกจากปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชาด้วย

ที่นายกฯอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตร พยายามอธิบายว่าเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่รอบตัวปราสาทหรือแม้แต่พื้นที่ใต้ปราสาทเอง ล้วนเป็นของไทย จึงเป็นการจงใจแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ข้อเท็จจริงเพื่อหวังที่จะปลุกความคิดชาตินิยมแบบคลั่งชาติขึ้นมา โดยไม่คำนึงว่าจะเกิดผลเสียหายตามมามากน้อยเพียงใด

สำหรับปัญหาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใคร และเส้นเขตแดนระหว่างประเทศอยู่ตรงไหนกันแน่นั้น หากพิจารณาคำพิพากษาของศาลโลกก็จะพบว่า แม้ว่าศาลโลกจะไม่ได้ชี้ว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใคร แต่ศาลโลกก็ได้มีคำพิจารณาชี้ขาดไว้ว่า เส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในเขตพิพาทในบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นเขตที่ลากไว้บนแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม ที่เรียกกันว่าภาคผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา

ไม่ใช่เส้นสันปันน้ำที่ฝ่ายไทยยกขึ้นต่อสู้ในสมัยนั้น หรือที่พยายามยกมาอ้างกันในขณะนี้

คำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 ได้มีผลไปแล้ว คือการที่รัฐบาลไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น โดยได้ถอนกำลังทหารออกจากปราสาทประวิหารและบริเวณใกล้เคียงมาแล้ว แม้ต่อมาจนถึงปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงทางวิชาการ ไม่เป็นที่ยุติว่าคำพิพากษาของศาลโลก ได้รับรองแผนที่ที่กัมพูชาอ้างว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ และมีสถานะทางกฎหมายเพียงใดแน่ก็ตาม แต่ถ้าเรื่องนี้มีการนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมองค์การระหว่างประเทศเมื่อไร ประเทศไทยย่อมเสียเปรียบกัมพูชาอย่างแน่นอน

การพิจารณาขององค์การระหว่างประเทศใดๆก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นการย้อนไปดูคำพิพากษาของศาลโลกปี 2505 ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะสามารถแก้คำพิพากษาเสียใหม่ว่า ปราสาทพระวิหารไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาแต่อยู่ในเขตไทย

ปัญหาที่จะต้องมีการพิจารณาต่อไปก็คือ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของใครและเส้นเขตแดนที่ถูกอยู่ตรงไหน การจะตอบคำถามนี้ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องถามต่อไปว่า การที่ศาลโลกพิจารณาว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชานั้น ศาลโลกใช้เส้นใดเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา คำตอบที่ปรากฏในคำพิพากษาก็คือ เส้นเขตแดนที่ปรากฏใน ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชานำมาอ้าง

ในการพิจารณาของศาลโลกในครั้งนั้น เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ร้องให้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน แต่ร้องว่าปราสาทอยู่ในเขตแดนของใคร ศาลจึงไม่ได้ตัดสินเรื่องของเขตแดนโดยตรง แต่ในการจะต้องตัดสินว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนของใคร ศาลย่อมต้องพิจารณาว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน ซึ่งปรากฏในคำพิพากษาว่าศาลไม่ถือเอาเส้นสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน แต่ถือเอาเส้นเขตแดนตามที่กัมพูชาเสนอ

ถ้ามีการตัดสินอย่างเป็นทางการว่า นั่นเป็นเส้นเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศเมื่อใด ก็หมายความว่าไทยเราจะเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรอย่างเป็นทางการทันที

ผู้ที่ได้โต้แย้งไม่ยอมรับเรื่องนี้ เช่น พวกพันธมิตรก็จะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องยอมรับความเห็นของที่ประชุมระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นของใคร รวมทั้งสหประชาชาติด้วย พร้อมกับอาจจะเสนอให้ฝ่ายไทยใช้กำลังทหารเข้าผลักดันประชาชนและทรัพย์สินของชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นเสีย เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าว พวกนั้นบางคนก็ไปไกลถึงขั้นอาจเสนอให้ฝ่ายไทยยึดปราสาทพระวิหารมาเป็นของไทยเสียเลยด้วย

หากมีการใช้กำลังทหารเข้าจัดการแก้ปัญหา ก็จะยิ่งเป็นเหตุผลให้นานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก เรียกว่ามีแต่เสียกับเสียสำหรับฝ่ายไทย

ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ หันกลับมาใช้การเจรจาหารือระหว่าง 2 ประเทศ โดยอาศัยบันทึกข้อตกลงที่เคยมีมาแล้วเป็นพื้นฐานเงื่อนไขในการเจรจา หลีกเลี่ยงการที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมหารือในที่ประชุมองค์กรระหว่างประเทศใดๆ เพื่อจะให้การหาทางออกในเรื่องนี้เป็นไปได้ และยังเกิดผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศ

ทั้งรัฐบาลไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพันธมิตรจะต้องหยุดความพยายามที่จะปลุกกระแสชาตินิยมคลั่งชาติ หยุดการบิดเบือนข้อเท็จจริงและการเคลื่อนไหวใดๆที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองของพวกตน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศอย่างที่ทำมาตลอดเสียที
User avatar
ฉลาม
 
Posts: 3824
Joined: Sun Aug 08, 2010 1:46 am

PreviousNext

Return to สภากาแฟ



cron